ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - วลีอมตะที่ผู้คนในสังคมไทยยังจดจำได้กันมาจนถึงทุกวันนี้ ด้วยความรู้สึกผะอืดผะอมปนสะอิดสะเอียน คือ "บกพร่องโดยสุจริต" ที่ ทักษิณ ชินวัตร กล่าวให้การในชั้นศาลรัฐธรรมนูญใน “คดีซุกหุ้น” เมื่อเขาเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใหม่ ๆ
ทำเอานักกฎหมายเกาหัวแกรก ๆ กับศัพท์ใหม่ที่ "ทักษิณ" ใช้เพื่อเอาตัวรอดเพราะไม่เคยได้ยินมาก่อนว่า จะมีผู้ถูกกล่าวหารายใดใช้วาทกรรมเช่นนี้ฟอกตัวให้พ้นโทษจากการกระทำผิดกฎหมาย
ยิ่งมาเจอดาวดับของสภาอย่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่พูดโพล่งขึ้นมากลางสภา หวังเลียขนหน้าแข้งนายใหญ่ว่า "พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย เพียงแต่ทำในสิ่งที่กฎหมายห้ามเท่านั้นเอง" ก็ยิ่งทำให้คนไทยงงงวยกับวิธีคิดเกี่ยวกับหลักนิติรัฐของคนแวดล้อม ทักษิณมากขึ้น
แต่นี่ก็คือมันสมองของคนที่ภาคภูมิใจว่าจบด็อก(เตอร์) แถมตอนนี้ยังได้รับมอบหมายจากนารีขี่ม้าแดง อย่าง "ยิ่งลักษณ์" โคลนนิ่งของ "ทักษิณ" ให้เป็นผู้ดูแลเรื่องหลักของตระกูลชินวัตร ในการชิงอำนาจครั้งนี้ คือ กรณีนิรโทษกรรมล้างความผิดให้กับ ทักษิณ ปล้นเงินแผ่นดินที่โกงชาติ กลับไปสู่เซฟของคนโคตรโกง
ก็ยิ่งเป็นเรื่องที่สังคมต้องจับตาว่า คนเหล่านี้จะใช้เล่ห์กลใดมาทวงคืนอำนาจ ปกป้องผลประโยชน์ตัวเอง และที่สำคัญ คือ เป้าหมายสร้าง “รัฐไทยใหม่” ล้มระบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข จะไปสุดทาง ณ จุดใด
เรื่อง “ล้มเจ้า” นี่ไม่ว่าใครในพรรคเพื่อไทยจะอมพระประธานมาพูดว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง รับรองได้ว่าไม่มีใครเชื่อ เพราะความจริงได้พิสูจน์ตัวมันเองจากบัญชีรายชื่อ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคเพื่อไทยที่มีชื่อ “คางคกตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ ที่ถูกถอนการประกันตัวจากวาทกรรมจาบจ้วงปลุกปั่นคนเสื้อแดงให้เข้าใจผิดเกิดความเกลียดชังต่อสถาบันหลักของชาติ ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อความมั่นคงของประเทศ
ย่อมแสดงให้เห็นชัดเจนว่า นอกจากทักษิณเจ้าของพรรคเพื่อไทยที่พยายามตอแหลว่า จงรักภักดี ทั้งๆ ที่ครั้งหนึ่ง จักรภพ เพ็ญแข เคยหลุดปากตอบคำถามนักข่าวต่างประเทศว่า "ทักษิณไม่ได้จงรักภักดี 100 % ผมไม่เคยพูดอย่างนั้น แต่ ทักษิณมีความจงรักภักดี อยู่บ้าง" และคนที่พูดก็ยังหนีคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอยู่นอกประเทศในขณะนี้ คงเป็นคำตอบได้ดีว่า วิธีคิดของคนพรรคเพื่อไทยต่อสถาบันหลักของชาติเป็นอย่างไร
การที่พรรคเพื่อไทยส่งคนเสื้อแดงถึง 22 ราย ลงในระบบบัญชีรายชื่อ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในลำดับที่ปลอดภัย คือมีโอกาสได้เป็น ส.ส. ยิ่งสะท้อนชัดถึงวาระซ่อนเร้นของพรรคเพื่อไทย ที่กำลังเดินยุทธศาสตร์ 2 ขา พร้อมกับการเคลื่อนไหวนอกสภาของคนเสื้อแดงว่า ต้องการให้หัวโจกแดงเหล่านี้มีเอกสิทธิ์ความเป็น ส.ส. คุ้มกะลาหัว ให้พ้นจากคุก เหมือนที่ “คางคกตู่”เคยได้อานิสงส์มาก่อน เหมือนจะเตรียมความพร้อมให้เศษเดนแดงเหล่านี้ปฏิบัติการเผาบ้านเผาเมืองอีกรอบ หากชิงอำนาจผ่านการเลือกตั้งไม่ได้โดยไม่ต้องติดคุก
แต่กรรมมีจริงแม้ “คางคกตู่” จะรอดตะรางมาได้ในช่วงที่เพื่อนพ้องน้องพี่ต้องติดคุกนาน 9 เดือน วันนี้ “คางคกตู่” ดวงชะตาตกเข้าไปอยู่ในคุกแทน ปล่อยให้ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และพวกมีอิสระจากกรงขังและตะกร้อครอบปาก ออกมาเห่าหอนนอกคุกแทน
ความยุติธรรมที่คนพวกนี้เรียกร้องคือ ยุติความเป็นธรรมในการเอาผิดหากพวกมันทำชาติฉิบหาย และความชั่วที่เกิดโดยกมลสันดานย่อมไม่หยุดอยู่เพียงแค่การคิด แต่กำลังนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ซึ่งคนไทยจะได้เห็นการเปลี่บนแปลงโครงสร้างทางอำนาจครั้งใหญ่ที่นำไปสู่การสร้าง “รัฐไทยใหม่” ที่มี ทักษิณ เป็นประมุขแน่ หากปล่อยให้พรรคเพื่อไทยได้มีโอกาสจัดตั้งรัฐบาล
เพราะขนาดหัวเพิ่งจะชูคอยังไม่สุดดี หางก็โผล่ให้เห็นซะแล้ว ว่ากบฎคิดชิงเมืองผ่านการเลือกตั้งอย่างไร
วาทกรรมสองมาตรฐานเกิดขึ้นเพื่อปลุกปั่นคนเสื้อแดงจนหลงเชื่อว่าศาลกลั่นแกล้งทักษิณ ขาดความเป็นธรรมในคดีที่ตัดสินว่าเขาและครอบครัวมีความผิด แต่กลับไม่พูดถึงคดีที่ศาลเมตตาให้ ทักษิณ ชนะในหลายคดี โดยเฉพาะคดีหมิ่นประมาท หรือแม้แต่กรณีที่ศาลแพ่งมีคำสั่งให้คืนเงินซื้อที่ดินพร้อมดอกเบี้ยให้กับ คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยาทักษิณ รวมถึงกรณีศาลภาษีไม่เรียกเก็บภาษีหลายพันล้านบาทจาก พิณทองทา และพานทองแท้ เพราะไม่ใช่เจ้าของบริษัทตัวจริง แต่คนที่จ่ายภาษีคือ ทักษิณ ชินวัตร ที่ลากลูกมาเป็นนอมินีเสี่ยงต่อคุกตาราง ไม่ได้มีใครไปกลั่นแกล้งเด็กเหมือนที่ ทักษิณ พยายามตะโกนโกหกคนทั้งโลก
จึงไม่น่าแปลกใจที่ ปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย จะโผล่หางจรเข้ฟาดเข้าใส่ศาลอย่างตรง ๆ เมื่อวันที่ 23 พ.ค. 54 ที่ผ่านมาว่า
"หากเพื่อไทยได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล จะแก้ไขรัฐธรรมนูญในจุดที่มีปัญหาต่อการบริหารจัดการประเทศทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของศาล องค์กรอิสระ กฎหมายสองมาตรฐานและความเท่าเทียมอื่นๆโดยจะเป็นการแก้ไขแบบยกเครื่องทั้งหมด”
หรือพูดง่าย ๆ ก็ คือ พรรคเพื่อไทยมีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารประเทศด้วยการลดอำนาจตุลาการและองค์กรอิสระที่ ทักษิณ เห็นว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจที่ถีบเขากระเด็นจากอำนาจนั่นเอง
รับรองได้ว่า "ศาลรัฐธรรมนูญ" จะเป็นเป้าหมายแรกที่พรรคเพื่อไทยจะยุบทิ้งในการแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบฉีกฉบับเก่าแล้วเขียนใหม่หมด เพราะแค้นฝังหุ่นจากที่โดนยุบพรรคไปถึง 2 ครั้ง โดยไม่ได้ส่องกระจกมองตัวเองเลยว่า ถ้าพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชน ไม่มีผู้บริหารไปทำผิดกฎหมายพรรคการเมืองและกฎหมายเลือกตั้งก็ไม่มีเหตุผลใดที่ศาลรัฐธรรมนูญจะยุบสองพรรคนี้
ส่วนการยุบพรรคพลังประชาชน ก็เพราะ ยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ถูกศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งให้ใบแดงยืนตามมติ กกต.จากกรณีทุจริตการเลือกตั้งและคำชี้แจงฟังไม่ขึ้น
หลังจากนั้นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 ให้ยุบพรรคพลังประชาชน และตัดสิทธิทางการเมืองหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรค 5 ปี ส่งผลให้ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีทั้งๆ ที่ไม่เคยได้ก้าวเข้าสู่ตึกไทยคู่ฟ้า นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เอาเแค่สองเรื่องนี้ยังไม่รวมคดีทักษิณ ติดคุก 2 ปี และถูกยึดทรัพย์ ก็น่าจะพอมองออกว่า ถ้อยคำสวยหรูที่มีคนเขียนบทให้ "ยิ่งลักษณ์" อ่านว่า "จะเข้ามาแก้ไข ไม่คิดแก้แค้น" จะเป็นจริงได้หรือไม่
คนไทยจะได้เห็นการฉีกรัฐธรรมนูญทั้งฉบับโดยใช้การเลือกตั้งเป็นเครื่องมือแทนการปฏวัติในยุคนี้แหละ หากพรรคเพื่อไทยได้เสียงข้างมากในสภา
เพราะหนทางเดียวที่จะพาทักษิณกลับบ้านโดยไม่มีความผิด คือการรื้อระบบศาลและการนิรโทษกรรมเท่านั้น อย่าลืมว่า ทักษิณไม่ได้ติดคุกคดีที่ดินรัชดาเพียงคดีเดียว แต่ยังมีอีกหลายคดีที่ยังพิจารณาไม่ได้ เนื่องจากทักษิณซึ่งเป็นจำเลยไม่ไปปรากฏตัวต่อหน้าศาล ทำให้คดีหยุดชะงักไป ไม่ว่าจะเป็นคดีทุจริตโครงการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตัว “หวยบนดิน”
คดีทุจริตแปลงค่าสัมปทานโทรศัพท์มือถือ-ดาวเทียม เป็นภาษีสรรพสามิต เอื้อประโยชน์ธุรกิจบริษัทชินคอร์ป ทำให้รัฐเสียหายกว่า 6.6 หมื่นล้านบาท
คดีเอ็กซิมแบงก์ ปล่อยเงินกู้ 4,000 ล้านบาท ให้กับรัฐบาลพม่า เพื่อดำเนินโครงการจัดซื้ออุปกรณ์กิจการโทรคมนาคม จากบริษัทในเครือชินคอร์ป ของครอบครัวชินวัตร
ย้อนรอยข้อเท็จจริงให้เห็นแบบนี้คงไม่สงสัยแล้วว่าทำไมเป้าหมายแรกของการยกเครื่องรัฐธรรมนูญทั้งฉบับพุ่งเป้าไปที่อำนาจตุลาการเป็นอันดับแรก และองค์กรอิสระเป็นคิวถัดไป
สำคัญไปกว่านั้น คนไทยคงยังไม่ลืมว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับโหวงเหวง มีเนื้อหาล้มล้างสถาบันองคมนตรี ไม่เพียงเท่านั้น “คางคกตู่” จตุพร ซึ่งติดคุก เพราะมีพฤติกรรมจาบจ้วงเบื้องสูงปลุกปั่นยุยงเป็นภัยร้ายต่อชาติ ยังบังอาจตะโกนกลางสภา ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นเกี่ยวกับผู้สำเร็จราชการด้วย
และถ้าได้มีโอกาสเข้าไปอ่านเว็บไซต์ของพวกเพื่อไทยแดง เช่น thai E-New จะเห็นความชัดเจนที่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อลดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในหัวข้อ 17 ประเด็นแก้รัฐธรรมนูญเพื่อยกเลิกระบอบอำมาตย์
คนไทยต้องถามตัวเองว่าอยากได้รัฐไทยใหม่ที่มี ทักษิณ เป็นประมุข หรือเราจะรักษาระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ ซึ่งทรงไว้ด้วยทศพืศราชธรรมเป็นประมุข