สมาชิกพรรคการเมืองใหม่ มีมติไม่เห็นด้วยส่งคนลงสมัครรับเลือกตั้ง และร่วมรณรงค์โหวตโน ตามแนวทางพันธมิตรฯ เพื่อสร้างกระแสให้เกิดพลังนำไปสู่การปฏิรูปการเมือง ตามอุดมการณ์ตั้งแต่ก่อตั้งพรรค เตรียมจัดประชุม กก.บห.ภายใน 7 วัน เพื่อทบทวนบาทและจัดระดับความสัมพันธ์ระหว่างกันใหม่ ด้าน “ยะใส” พร้อมไขก๊อกนำร่องเพื่อแสดงจุดยืน และรับผิดชอบต่อความล้มเหลวที่เกิดขึ้น
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง สุริยะใส กตะศิลา ให้สัมภาษณ์
วันนี้ (24 เม.ย.) ที่สมาคมจีนโผวเล้งแห่งประเทศไทย ถ.สาธุประดิษฐ์ ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2554 ของพรรคการเมืองใหม่ ซึ่งมี นายสมศักดิ์ โกศัยสุข หัวหน้าพรรค ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ว่า ภายหลังจากการประชุมตามระเบียบวาระการประชุมเสร็จสิ้นลง และเข้าสู่การพิจารณาวาระอื่นๆ ซึ่งมีการเสนอให้มีการลงมติเพื่อตัดสินว่าพรรคการเมืองใหม่จะส่งตัวผู้สมัครลงเลือกตั้งหรือไม่ โดยได้เปิดให้สมาชิกร่วมอภิปรายถึงเหตุและผลในการส่งผู้สมัครหรือไม่
โดยเวลาประมาณ 12.00 น.ในระหว่างการเปิดโอกาสให้สมาชิกแสดงความคิดเห็น นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรค ได้ให้เจ้าหน้าที่พรรคเชิญสื่อมวลชนเข้ามาในที่ประชุม แต่เมื่อสื่อมวลชนเข้ามาแล้ว นายสมศักดิ์ ซึ่งทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมกลับเชิญสื่อมวลชนออกจากห้องประชุม โดยให้เหตุผลว่ายังเป็นการประชุมภายในอยู่ ทำให้สื่อมวลชนส่วนใหญ่ไม่พอใจ และเดินทางกลับทันที
หลังจากนั้น บรรยากาศการประชุมเป็นไปอย่างตึงเครียด และมีการแสดงความคิดเห็นอย่างดุเดือด โดยสมาชิกส่วนใหญ่เห็นควรที่จะไม่ให้ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้ง และร่วมรณรงค์โหวตโนกับพันธมิตรฯ โดยบางส่วนยังได้มีการโจมตีการทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมของ นายสมศักดิ์ ว่า พยายามดึงเกมถ่วงเวลา และพยายามให้มีผู้อภิปรายชี้นำสมาชิกพรรค ด้าน นายสมศักดิ์ อ้างว่า ตนพยายามให้สมาชิกได้อภิปรายอย่างกว้างขวาง เพื่อขจัดความขัดแย้ง และขอทำความเข้าใจกับสมาชิก ว่า วาระการประชุมนั้น เป็นการลงมติเพื่อส่งหรือไม่ส่งผู้สมัคร มิใช่การลงมติเพื่อร่วมรณรงค์โหวตโนหรือไม่
อย่างไรก็ตาม การอภิปรายยังได้ดำเนินต่อไป ท่ามกลางเสียงโห่ของสมาชิกที่เข้าร่วมประชุม เพื่อให้ นายสมศักดิ์ ตัดบทและลงมติทันที ต่อมา นายสมบัติ เบญจศิริมงคล กรรมการบริหารพรรค ได้ขอความร่วมมือให้สมาชิกในที่ประชุมใช้เหตุและผล รวมทั้งให้อยู่ในความสงบ เสนอให้กรรมการบริหารพรรคเป็นผู้ตัดสินใจ แทนการลงมติของสมาชิกพรรค ส่งผลทำให้สมาชิกจำนวนมากประท้วง โดยการเดินออกจากห้องประชุม ทำให้ นายสุริยะใส ต้องขอร้องให้สมาชิกกลับเข้าร่วมการประชุม และแสดงจุดยืนส่วนตัวว่า ไม่มีสิ่งใดสำคัญกว่าเสียงของสมาชิกทั่วประเทศ โดยพรรคการเมืองใหม่ กับพันธมิตรฯ ไม่เป็นศัตรูกัน สมาชิกจึงกลับเข้าร่วมการประชุม และดำเนินต่อไปได้
จนเมื่อเวลาประมาณ 12.50 น.นายสมศักดิ์ ได้นำที่ประชุมเข้าสู่การลงมติว่าจะส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งหรือไม่ โดยใช้วิธีการยกมือ ปรากฏว่า สมาชิกพรรคที่อยู่ในห้องประชุมส่วนใหญ่ยกมือแสดงความเห็นไม่ให้พรรคการเมืองใหม่ ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้ง เป็นที่น่าสังเกตว่า มีเพียงสมาชิกบางส่วนที่นั่งอยู่แถวหน้าของที่ประชุมเท่านั้น ที่ยกมือเห็นควรให้ส่งผู้สมัคร จากนั้นนายสมศักดิ์ ได้สั่งปิดประชุมทันทีในเวลา 13.00 น.
ภายหลังการประชุม นายสมศักดิ์ เปิดเผยในการแถลงข่าวกับสื่อมวลชน ว่า ในการประชุมวันนี้สมาชิกพรรคมีเสียงส่วนใหญ่ไม่ต้องการให้พรรคการเมืองใหม่ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้ง ถือว่าเป็นจุดยืนของพรรคในเบื้องต้น แต่ตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง จำเป็นต้องนำความเห็นของสมาชิกเข้าสู่การหารือของกรรมการบริหารพรรค เพื่อออกมาเป็นมติอีกครั้ง ซึ่งคาดว่า จะมีความชัดเจนภายใน 7 วัน ก่อนรายงานให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทราบอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ามติจะออกมาอย่างไร ก็ไม่มีผลต่อความเป็นพรรคการเมือง แม้ว่าไม่ส่งผู้สมัครพรรคการเมืองใหม่ก็สามารถดำเนินการในฐานะพรรคการเมืองต่อไปได้ ซึ่ง พ.ร.บ.พรรคการเมือง ได้กำหนดให้ภายใน 8 ปี พรรคการเมืองทุกพรรคยังคงดำรงความเป็นพรรคไว้อยู่ แม้จะไม่ส่งผู้สมัครก็ตาม แต่ต้องมีการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองตามกฎหมาย มีเพียงการไม่ได้รับเงินสนับสนุนพรรคการเมืองจาก กกต.เท่านั้น
ด้าน นายสุริยะใส กล่าวเพิ่มเติมว่า ความเห็นของสมาชิกพรรคส่วนใหญ่ ไม่ต้องการที่จะให้ส่งผู้สมัคร และต้องการให้พรรคการเมืองใหม่ไปร่วมรณรงค์ให้ประชาชนกาในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนนในการเลือกตั้ง หรือโหวตโนกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และไม่ต้องการให้พรรคไปร่วมสังฆกรรมในการเลือกตั้งครั้งนี้ เพื่อให้กระแสโหวตโนมีพลังที่สามารถนำไปสู่การปฏิรูปการเมืองในรอบใหม่ของประเทศไทยได้ หรือเป็นบันไดขั้นแรกสู่การเปลี่ยนแปลง เพราะจะเป็นการเลือกตั้งที่ไม่เกิดประโยชน์กับประเทศไทย และการเมืองไทยที่ต้องวนเวียนจมปลักอยู่กับนักการเมืองในระบบเก่า ซึ่งเป็นแนวทางที่ตรงกับวัตถุประสงค์ในการก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ ซึ่งต้องการนำพาให้การเมืองของไทยหลุดพ้นจากวงจรทุจริตโกงกินซ้ำซากไปให้ได้
นายสุริยะใส ยังกล่าวยืนยันด้วยว่า การแสดงความเห็นของสมาชิกนั้น ไม่ได้เป็นการชี้นำจากแกนนำพันธมิตรฯแต่อย่างไร เป็นการตัดสินใจของสมาชิกพรรคอย่างแท้จริงที่ต้องการให้การเมืองไทยเดินไปในทางที่ถูกต้องและโปร่งใส หลังจากนี้ ต้องเข้ากระบวนการของกรรมการบริหารต่อไป ซึ่งตามหลักของพรรคมวลชนแล้วต้องให้ความสำคัญกับเสียงส่วนใหญ่ของสมาชิกเป็นสำคัญ
ในส่วนกระแสโหวตโนนั้น โดยตนมั่นใจว่า หากเราทำให้เกิดความตื่นตัวจนกลายเป็นกระแสสังคมได้ จะเกิดเป็นพลังที่สำคัญ และพรรคการเมืองใหม่จะมีความเข้มแข็งขึ้นกว่าที่ผ่านมา เพราะหากพันธมิตรฯไปทางหนึ่ง และพรรคการเมืองใหม่ ไปอีกทาง จะเป็นการเสริมให้อีกฝ่ายแข็งแกร่งมากขึ้น ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อระบอบประชาธิปไตยอันดีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
นายสุริยะใส กล่าวต่อว่า นอกจากนั้น พรรคการเมืองใหม่ และพันธมิตรฯ ถึงเวลาที่ต้องจัดระดับความสัมพันธ์ระหว่างกันใหม่ในทุกด้าน เพราะเมื่อเดินมาถึงจุดนี้ต้องทบทวนข้อบกพร่องที่ผ่านมา และจุดอ่อนของทั้ง 2 ส่วน รวมทั้งที่สำคัญปฏิเสธไม่ได้ว่า พรรคการเมืองใหม่เกิดมาจากพันธมิตรฯ หากใครละทิ้งประวัติศาสตร์ตรงนี้ และไม่พอใจแนวทางของพรรค ก็ควรออกไปตั้งพรรคใหม่ เพราะคงอยู่พรรคนี้ลำบาก เนื่องจากพันธมิตรฯและพรรคการเมืองใหม่จะต้องเดินไปด้วยกันด้วยความเป็นเอกภาพให้มากขึ้นกว่าที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม การเกิดความขัดแย้งครั้งนี้ จนไม่สามารถส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งได้ ตนเห็นว่า กรรมการบริหารพรรคควรแสดงความรับผิดชอบ ซึ่งในการประชุมพรรคภายในสัปดาห์นี้ โดยส่วนตนจะมีการแสดงจุดยืนทางการเมือง เพื่อรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น ในฐานะที่เป็นผู้ประสานงานพันธมิตรฯ ซึ่งอยู่ตรงกลาง แต่ไม่สามารถประสานความเข้าใจระหว่าง 2 ส่วนได้
ในส่วนบรรยากาศการประชุมวันนี้ที่เต็มไปด้วยความโกลาหลนั้น นายสุริยะใส แสดงความเห็นว่า ถือเป็นเรื่องปกติ และเป็นความงดงามของระบอบประชาธิปไตย ซึ่งมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันได้ และสมาชิกพรรคการเมืองใหม่ก็มีความเป็นประชาธิปไตยสูงและเอาจริงเอาจังในแนวทางการเมือง ไม่สามารถหาได้จากพรรคการเมืองอื่นๆ
เมื่อถามว่า การไม่ส่งตัวผู้สมัคร ส.ส.ครั้งนี้ จะเป็นจุดจบของพรรคการเมืองใหม่ หรือไม่ นายสุริยะใส กล่าวว่า ไม่เป็นความจริง เพราะในทางกฎหมายพรรคการเมืองสามารถไม่ส่งผู้สมัครได้ แต่ในทางสาธารณะก็ต้องมีการชี้แจงทำความเข้าใจ และโดยธรรมชาติของพรรคการเมืองใหม่ก็ไม่เหมือนพรรคการเมืองอื่นๆ ที่อนาคตแขวนไว้อยู่กับการเลือกตั้ง แต่มีหน้าที่ในการสร้างความตื่นตัว และความรู้ความเข้าใจในทางประชาธิปไตยให้กับประชาชน ทั้งยังมองด้วยว่า การไม่ส่งผู้สมัครครั้งนี้ อาจจะทำให้พรรคการเมืองใหม่มีความเข้มแข็งมากขึ้น เนื่องจากจะมีแนวร่วมพันธมิตรฯจำนวนมาก ที่จะมาสมัครเป็นสมาชิกพรรค ส่วนที่จะออกจากพรรคนั้น ตนคิดว่า คงมีบ้าง แต่เป็นส่วนน้อย
รายงานข่าวแจ้งว่า ที่ผ่านมา ภายหลังจากกลุ่มพันธมิตรฯยกระดับการชุมนุมสู่การรณรงค์โหวตโนนั้น นายสุริยะใส ได้ปรารภกับคนใกล้ชิดว่า หากไม่สามารถหาจุดร่วมกันของทั้งพันธมิตรฯและพรรคการเมืองใหม่ได้ เห็นควรว่า กรรมการบริหารพรรคทั้งหมดควรแสดงความรับผิดชอบโดยการลาออก ซึ่งตัวเองจะแสดงความรับผิดชอบโดยการลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค อย่างไรก็ตาม หากสมาชิกพรรคไว้วางใจมอบหมายให้กลับมาดำรงตำแหน่ง ก็จะกลับมาทำหน้าที่ต่อไป