ASTVผู้จัดการรายวัน - "จิ๋ว" ลาออกจากพรรคเพื่อแม้วแล้ว อ้างไม่พอใจพฤติกรรมแกนนำเสื้อแดงในพรรคที่ปราศรัยจาบจ้วงเบื้องสูง เผยแม้วยังวิดีโอลิงค์สั่งการ ขณะที่ "ยงยุทธ" ออกแถลงการณ์ไม่เกี่ยว ด้าน "ไอ้ตู่" ไม่ยอมรับเป็นต้นเหตุความขัดแย้ง เล่นลิ้นหากพูดจาหมิ่นสถาบันฯ ยินดีรับโทษประหาร พันธมิตรฯ จวกรัฐปล่อยแก๊งล้มเจ้าขยายวง หนุนประกัน "โจกแดง" ขู่ให้ประชาชนกลัว หวังคะแนนเลือกตั้ง
วานนี้ (18 เม.ย.) ที่พรรคเพื่อไทย ตามหมายกำหนดเดิมนั้น พรรคเพื่อไทย จะมีการประชุมยุทธศาสตร์ทางการเมืองของพรรคเป็นประจำในทุกวันจันทร์ ช่วงเวลาประมาณ 10.00 น. โดยมี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย เป็นประธานในที่ประชุมทุกครั้ง
ทั้งนี้ นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ได้ปฎิเสธกระแสข่าวที่ว่า พล.อ.ชวลิต จะลาออกจากพรรคเพื่อไทย และยืนยันว่า พล.อ.ชวลิต จะมาเป็นประธานในที่ประชุมด้วย แต่เมื่อถึงเวลา พล.อ.ชวลิต ก็ไม่ได้มาร่วมประชุมแต่อย่างใด
**"จิ๋ว"แฟกซ์หนังสือลาออกจาก พท.
แหล่งข่าวใกล้ชิด พล.อ.ชวลิต เปิดเผยว่า ขณะนี้ พล.อ.ชวลิต พักผ่อนอยู่เซฟเฮาส์ ย่านนนทบุรี และที่ไม่มาประชุม คณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคในครั้งนี้ เพราะได้โทรศัพท์มาสอบถามทางพรรคแล้ว ทางพรรคแจ้งว่า ยกเลิกการประชุมยุทธศาสตร์พรรค และในการประชุมในช่วงบ่าย เป็นการประชุม ส.ส.พรรค รวมทั้งไม่อยากตอบคำถามสื่อมวลชนในเรื่องกระแสข่าวการลาออกพรรค
ต่อมาในช่วงบ่ายวันเดียวกัน แหล่งข่าวใกล้ชิดกับ พล.อ.ชวลิต เปิดเผยว่า พล.อ.ชวลิตได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งประธานพรรคของพรรคเพื่อไทยแล้ว โดยให้เหตุผลว่าเกิดความไม่สบายใจในการทำงานกับพรรค หลังจากการที่มีกระแสข่าวว่า พล.อ.ชวลิตไม่พอใจการปราศรัยของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน และแกนนำกลุ่มนปช. แต่ทั้งนี้ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และนายวิทยา บูรณศิริ ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ยังคงให้การปฏิเสธ การลาออกของพล.อ.ชวลิต อยู่
ต่อมาเวลา 17.00 น. มีรายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทยแจ้งว่า ได้รับแฟกซ์ หนังสือลาออกจากพรรคเพื่อไทย ของพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ในฐานะประธานพรรคเพื่อไทย ขอลาออกจากสมาชิกพรรคเพื่อไทย มีผลตั้งแต่วันที่ 18 เม.ย. เป็นต้นไป พร้อมมีลายเซ็นต์ พล.อ.ชวลิต ด้วย
ทั้งนี้ หนังสือลาออกดังกล่าว ยังได้แนบ สำเนาบัตรประชาชน เป็นหลักฐาน ถึงนายทะเบียนพรรคเพื่อไทยด้วย
ขณะที่นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้แจงในที่ประชุมพรรคให้ทราบว่า พล.อ.ชวลิตได้ยื่นใบลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยแล้ว
พล.ต.ศรชัย มนตริวัต ส.ส. สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นคนสนิท พล.อ.ชวลิต ให้สัมภาษณ์หลังเข้าร่วมประชุมใหญ่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยว่า ได้คุยกับ พล.อ.ชวลิต เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาพล.อ.ชวลิต บอกว่า รู้สึกอึดอัดใจ และกดดันมากในการอยู่กับพรรคเพื่อไทย เพราะหลายอย่างคุยกันแล้วไม่เป็นอย่างที่คิด
**"แม้ว"ยังวิดีโอลิงค์สั่งการ
แหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทย ระบุว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวในระหว่างวิดีโอลิงค์ มายังที่ประชุมพรรคเมื่อวานนี้ โดยพูดถึงนโยบายของพรรคที่จะเปิดตัวในวันที่ 23 เม.ย. ซึ่งในวันดังกล่าวจะมีการวิดีโอลิงค์มาอีกครั้ง โดยพ.ต.ท.ทักษิณ จะพูดคุยในฐานะที่ปรึกษาของพรรคเพื่อไทย ทั้งนี้พ.ต.ท.ทักษิณ ยืนยันว่าจะเล่นการเมืองไปอีก 20 ปี ซึ่งตอนนี้อายุ 60 ปี อีก 20 ปี ก็ อายุ 80 ปีพอดี
ส่วนกรณีที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ย้ายสังกัดนั้น ตนก็ขอให้จากกันด้วยดี ไม่กลับมาทำร้ายพรรคเพื่อไทยในภายหลัง
ทั้งนี้ มีรายงานข่าวอีกว่ามีสมาชิกพรรคเพื่อไทย 5 คน ประกอบด้วย นายประยุทธ์ ศิริพานิช นายชวลิต วิชยสุทธิ์ พล.ท. มะ โพธิ์งาม นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย และนายกิตติศักดิ์ หัตถะสงเคราะห์ได้ลาออกจากการเป็นกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยแล้วเช่นกัน
** อ้างพท.-เสื้อแดง ทำคนละหน้าที่
นายวิทยา บูรณศิริ ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การที่ พล.อ.ชวลิต ไม่ได้เดินทางมาเป็นประธานในที่ประชุม เพราะวันนี้ไม่มีการประชุม และส่วนตัวคิดว่า เรื่องการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง กับพรรคเพื่อไทยนั้น เป็นคนละหน้าที่กัน แต่ละคนก็มีหน้าที่ของตัวเอง อย่างเรื่องของพรรคก็เป็นการหาเสียง การประกาศนโยบาย ส่วนการชุมนุมก็เป็นการเรียกร้องต่อข้อกังวลใจ ส่วนการเมืองนั้นเป็นเรื่องของประชาชน เพราะฉะนั้นพรรคการเมืองก็ต้องขับเคลื่อนไปตามระบอบประชาธิปไตย
นายวิทยา กล่าวด้วยว่า กรณีของพล.อ.ชวลลิต และนายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช ที่เพิ่งเข้ามาร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย และมองว่าการขับเคลื่อนของกลุ่มคนเสื้อแดง คือเรื่องที่ผิดพลาดนั้น ตนคิดว่าเรื่องดังกล่าวยังไม่ถึงจุดนั้น ซึ่งในตอนนี้ตนยังมีความสบายใจอยู่ โดยก็ต้องรอให้ถึงเวลานั้นก่อนถึงจะพูดได้ แต่ทั้งนี้เมื่อมีการประกาศนโยบายของพรรคเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เชื่อว่าผู้ใหญ่ในพรรคจะเข้าใจได้
** "ไอ้ตู่" ลั่นผิดจริงยอมให้ประหาร
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง กล่าวถึงกรณีที่พล.อ.ชวลิต และนายเสนาะ มีความไม่พอใจในการปราศรัยระหว่างการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง จนเป็นเหตุให้ต้องการลาออกจากพรรคเพื่อไทย ว่า เรื่องนี้เป็นเพียงการพูดกันของบุคคลอื่น และก็เป็นการอ้างอิงจากแหล่งข่าวเท่านั้น
นายจตุพร อ้างว่าการปราศรัยของตนบนเวทีกลุ่มคนเสื้อแดงนั้น เป็นเพียงการเตือน ทหารรักษาพระองค์ และทหารเสือราชินีว่า อย่าใช้กำลังออกมาปราบปรามประชาชน เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้ประชาชนกังวล และสิ่งที่ตนเตือนก็คือการพูดเพื่อจงรักภักดีต่อสถาบันฯ เท่านั้น หากตนทำผิดจริง ก็พร้อมจะให้ประหารชีวิต และจะไม่อยู่เป็นภาระของพรรคเพื่อไทยด้วย
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า พล.อ.ชวลิต เป็นผู้ใหญ่พอ และผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ เจอกับข้อกล่าวหามาก็เยอะ ฉะนั้นพล.อ.ชวลิต คงเข้าใจในการปราศรัยของตน ว่าหมายความว่าอะไร แต่ทั้งนี้ตนยังไม่ได้พูดคุยกับพล.อ.ชวลิตโดยตรง เพราะวันนี้ ไม่มีการประชุมยุทธศาสตร์ของพรรค แต่คิดว่าจะได้พบกันอย่างแน่นอน
นายจตุพร กล่าวด้วยว่า อยากจะฝากไปยังกองทัพ และรัฐบาลว่า หากทั้ง 2 ฝ่ายหยุด ตนก็พร้อมที่จะหยุด และปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินไป ส่วนกรณีที่มีส.ส.ของพรรคเพื่อไทย ออกมาระบุว่า ให้พรรคเพื่อไทย แยกการทำงานของจากกลุ่มคนเสื้อแดงอย่างชัดเจนนั้น เป็นเพียงการอ้างจากแหล่งข่าว ที่ไม่เห็นปากเท่านั้น ซึ่งในข้อเท็จจริงทั้งสองฝ่าย ก็แยกการทำงานออกจากกันอยู่แล้ว คนที่เป็น ส.ส.ก็เดินหน้าหาเสียงไป ส่วนคนที่ไม่ได้เป็น ส.ส. ก็ขึ้นเวทีเสื้อแดง ก็เท่านั้น เว้นแต่ส.ส.บางคนที่จิตอ่อนเกินไป หรือในใจจริงๆอาจจะต้องการขายตัวอยู่แล้ว จึงออกมาพูดให้เสียหาย
** พท.ออกแถลงการณ์ไม่เกี่ยวจาบจ้วง
ในวันเดียวกันนี้ ( 18 เม.ย.) นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้ออกแถลงการณ์ของพรรค หลังจากที่พรรคเพื่อไทยถูกระบุว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปราศรัยหมิ่นสถาบันฯ ของกลุ่มคนเสื้อแดง ว่า จากกรณีที่นักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ และโฆษกของทางกองทัพบก ได้กล่าวหาว่าพรรคเพื่อไทยอยู่เบื้องหลัง ให้การสนับสนุน เพื่อจาบจ้วงสถาบันฯ และมีการใส่ร้ายป้ายสี เพื่อทำลายโดยหวังผลทางการเมืองก่อนการเลือกตั้งที่จะถึงนี้
ทางพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่า พรรคเพื่อไทยยึดมั่นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และไม่ได้มีการอยู่เบื้องหลัง พรรคเพื่อไทยไม่สนับนุน รวมถึงไม่เห็นด้วย กับการกระทำที่จาบจ้วงสถาบันฯ หรือหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หากมีหลักฐานว่าบุคคลใด มีการกระทำดังกล่าว ก็ขอให้ดำเนินคดีตามกฎหมาย
ทั้งนี้พรรคเพื่อไทยเห็นว่าสถาบันพระมหากษัตรย์อยู่เหนือการเมือง และขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายในสังคม เช่น นักการเมือง องค์กรของรัฐ หรือสาธารณชนทั่วไป ยุติการนำประเด็นเรื่องสถาบันฯมาทำลายล้างกันทางการเมือง ขอให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน เพื่อสันติสุขกลับคืนสู่ประเทศไทยโดยเร็ว และในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ พรรคเพื่อไทยขอเรียกร้องให้พรรคการเมืองต่างๆ นำเสนอนโยบายต่อประชาชน มากกว่าที่จะมุ่งโจมตีและทำลายล้างกันทางการเมือง โดยพรรคเพื่อไทยเชื่อมั่นว่า การเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ เที่ยงธรรม และการเคารพการตัดสินของประชาชนเท่านั้น จะเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟู และนำประเทศก้าวไปข้างหน้าต่อไป
**"ท้า"40 ส.ส.พท."เก่งจริงให้ลาออกไป
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีมีกระแสข่าวว่า 40 ส.ส.พรรคเพื่อไทย จะไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ว่า ผู้ใหญ่ต่างรู้กันก่อนมาอยู่กับพรรคเพื่อไทยแล้วว่า กลุ่มเสื้อแดง และพรรคเพื่อไทย เดินคู่กัน และตนอยากถาม ส.ส. 40 คน ที่จะออกจากพรรคว่า กล้าออกจากพรรคหรือไม่ สุดท้ายไม่กล้า เพราะออกไปก็สอบตก
ส่วนที่ออกมาเคลื่อนไหวเกิดจากคนที่อยากจะขึ้นเป็นเบอร์ 1 ของพรรคสั่งมา เพื่อต่อรองทางการเมือง ที่คาดหวังว่า ตัวเองจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี และ ส.ส.เหล่านั้นจับกลุ่มกันแน่น กะจะได้เป็นรัฐมนตรี เชื่อเถอะ ส.ส.ที่ออกมาเคลื่อนไหวไม่มีอะไร เป็นเกมการเมืองที่อ่อนมาก
" เขาวางไว้แล้ว ลึกๆ กะขึ้นเป็นนายกฯ และให้คนของเขาเป็นรัฐมนตรี แต่ต้องรู้ว่า พรรคนี้เป็นของใคร รู้อยู่แล้วว่าใครเหมาะสม ซึ่งคนๆนั้น คือคนที่เป็นตัวแทน ส.ส.และ คนเสื้อแดงไปรดน้ำดำหัวท่านทักษิณ (ชินวัตร อดีตนายกฯ) เมื่อวานนี้ ที่มีการวีดีโอลิ้งค์มายังจังหวัดเชียงใหม่" นายสุรพงษ์ กล่าว
**"ประชา"ไขก๊อก พผ.จ่อร่วม พท.
รายงานข่าวแจ้งว่า พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อแผ่นดิน ได้ยื่นหนังสือลาออกจากกรเป็นสมาชิกพรรคเพื่อแผ่นดินแล้ว โดยได้ให้คนติดตามมายื่นหนังสือแทน
ทั้งนี้ ตามกฎหมายต้องเลื่อนส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อลำดับถัดไปขึ้นมาทำหน้าที่แทน เบื้องต้นพบว่า เป็นนายกว้าง รอบคอบ รองหัวหน้าพรรค
รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า การลาออกของพล.ต.อ.ประชานั้น เพื่อเตรียมไปเปิดตัวเข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ในวันที่ 23 เม.ย.นี้
**วอร์รูมปชป.จับตา"เพื่อแม้ว"แตก
รายงานข่าวจากที่ประชุม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า เรื่องความขัดแย้งของพรารคเพื่อไทยนั้น มีการหารือกันในคณะกรรมการวอร์รูม ของพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีการวิเคราะห์ถึงการชุมนุม และหมิ่นสถาบันฯ ของแกนนำนปช. บางราย ที่ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมไม่พอใจในแกนนำพรรคเพื่อไทยบางส่วน โดยเฉพาะ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นายเสนาะ เทียนทอง นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ นายปลอดประสพ สุรัสวดี นายประจวบ ไชยสาส์น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดการแตกขั้ว มาตั้งพรรคใหม่ เหมือนไผ่แตกกอ แต่ที่สุดแล้วคาดว่า เมื่อพ.ต.ท.ทักษิณ ประสานงานมา และตกลงจะทำตามการเรียกร้อง สุดท้ายกลุ่มดังกล่าวก็จะอยู่ช่วยพรรคเพื่อไทย ต่อไป
รายงานข่าว ระบุอีกว่า แม้จะอยู่กับพรรคเหมือนเดิม แต่กลุ่มดังกล่าวจะมีการแยกส่วนกับกลุ่ม นปช. ซึ่งทั้งหมดสะท้อนผ่านคำพูดของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. ที่เคยออกมาระบุว่า ใครคนไหนไม่อยากร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย ก็ขอให้ออกไป ดังนั้นจึงเชื่อว่า จะมี ส.ส.บางรายไปรวมตัวกับกลุ่ม พล.อ.ชวลิต เพราะไม่อยากถูกครหาเกี่ยวกับ การหมิ่นสถาบันฯ
***พันธมิตรฯ จวกรัฐปล่อยล้มเจ้าลาม
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงการรณรงค์ให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง โดยกากบาทในช่อง "ไม่ประสงค์ลงคะแนน" หรือ "โหวตโน" ว่า ขณะนี้เริ่มมีกระบวนการประชาสัมพันธ์ของฝ่ายการเมืองที่พยายามอ้างว่า การเลือกตั้งเป็นหัวใจสำคัญของระบอบประชาธิปไตย ซึ่งตนเห็นว่า การเลือกตั้งเป็นเพียงส่วนหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น ไม่ใช่ว่าการเลือกตั้งจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นประชาธิปไตย โดยประเทศไทยมีการเลือกตั้งอยู่โดยตลอด และการเลือกตั้งใหญ่ครั้งหลังสุด เมื่อวันที่ 23 ธ.ค.50 ก็ไม่สามารถแก้ไขวิกฤตการณ์ของประเทศได้ หนำซ้ำการเกิดการทุจริตการเลือกตั้ง นำไปสู่การสร้างปัญหาใหม่ และความแตกแยก แก่ประชาชนทุกหมู่เหล่า
นายปานเทพ กล่าวว่า หากพิจารณาจากผลการสำรวจของดุสิตโพล หลังจากที่ภาคประชาชนได้เริ่มรณรงค์กระแส โหวตโน ทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่า มีประชาชนต้องการไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งมากถึง 77.16 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมากกว่าการสำรวจครั้งก่อนหน้านี้ ซึ่งถือเป็นแนวโน้มที่ดี ในการที่ประชาชนไม่นอนหลับทับสิทธิ์ และต้องการออกไปใช้สิทธิ์ เพื่อต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แก้ปัญหาความขัดแย้งทางความคิด การแบ่งฝักแบ่งฝ่าย หรือการประท้วงทางการเมือง ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางของภาคประชาชน ในการรณรงค์โหวตโน เพื่อต้องการให้เกิดการปฏิรูปทางการเมือง และ ยังมี 20.87 เปอร์เซนต์ ที่ยังไม่มีความคิดจะไปเลือกตั้ง เพราะไม่รู้จะเลือกใคร คนที่เข้ามาก็เป็นคนหน้าเดิมๆไม่มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาพัฒนาประเทศ โดยคนกลุ่มนี้ หากคำนวณตามจำนวนผู้ใช้สิทธิ์เลือกตั้ง 45 ล้านคน ได้เป็น 10 ล้านคน
" การที่ภาคประชาชนรณรงค์ให้ครั้งนี้ เพื่อให้เกิดการปฏิรูปทางการเมือง ซึ่งหากทำสำเร็จก็จะสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆได้ แม้กระทั่งการชุมนุมทางการเมืองที่ลดน้อย จึงถือผลสำรวจความต้องการของประชาชนนี้ มีแนวทางที่ตรงกับการเคลื่อนไหวของภาคประชาชน ซึ่งก็หวังว่านักการเมืองจะได้รับบทเรียนว่า มีประชาชนจำนวนมากรู้สึกเบื่อหน่ายการเมืองอย่างชัดเจน สะท้อนให้เห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องมีการปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่ เมื่อกับที่นักการเมืองสัญญาไว้เมื่อปี 49 แต่วันนี้กลับเลือกแก้ไขเพียงบางประเด็น เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น" นายปานเทพ กล่าว
** เชื่อเลือกตั้งปชป. แพ้"เพื่อแม้ว"
เมื่อถามต่อถึงการประเมินสถานการณ์ภายหลังการเลือกตั้ง นายปานเทพ กล่าวว่า หากดูจากฐานคะแนนของพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคเพื่อไทย จะเห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่คู่แข่งของพรรคเพื่อไทย ในการแย่งชิงพรรคอันดับ 1 แม้จะมีความใกล้เคียงกันในส่วนของระบบบัญชีรายชื่อ แต่จะเกิดความเสียเปรียบในส่วนของการเลือกตั้งแบบเขต เพราะฉะนั้นภาคประชาชน จะเลือกหรือไม่เลือกใคร ไม่มีผลต่อพรรคอันดับ 1 และ 2 แต่รัฐบาลจะประกอบด้วยพรรคขนาดกลาง ที่มาเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งภายใต้โครงสร้างนี้พรรคขนาดกลางจะมีอำนาจต่อรองสูง มีโอกาสทุจริต คอร์รัปชันง่าย การเมืองแบบนี้ จึงไม่ใช่ทางออกของประเทศ ดังนั้นการแก้ไขจึงต้องถอยออกมาเพื่อให้เกิดการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงประเทศ
ทั้งนี้ นายปานเทพ ยังได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการพิจารณา พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง 3 ฉบับ ที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของวุฒิสภา และฝ่ายรัฐบาลพยายามผลักดันให้มีการพิจารณาอนุมัติโดยเร็วว่า ฝ่าย ส.ว.เริ่มมีการเรียกร้องให้กฎหมายลูกทั้ง 3 ฉบับนั้น ต้องพิจารณาโดยรอบคอบ แต่ขณะที่นายกฯ ได้ใช้กำหนดการยุบสภาที่ตัวเองเป็นผู้ประกาศล่วงหน้ามาเป็นตัวตั้ง เท่ากับว่าต้องการโยนภาระ และบีบบังคับให้วุฒิสภาพิจารณาเห็นชอบตามที่นายกฯต้องการ ทั้งที่วุฒิสภาไม่อยู่ภายใต้อาณัติของรัฐบาล การที่แสดงท่าทีเพิ่มแรงกดดันไปที่วุฒิสภาถือว่าไม่ถูกต้อง
ดังนั้นนายกฯ จึงเหลือเพื่อ 2 ทางเลือก คือ 1.ประกาศยุบสภาตามกำหนดเดิม และไปเสี่ยงว่ากฎหมายลูกจะผ่านหรือไม่ หรือ 2. ตัดสินใจเลื่อนการยุบสภา ตระบัดสัตย์ จากสิ่งที่ตัวเองเคยประกาศไว้ ทั้งหลายทั้งปวงเกิดจาการประกาศยุบสภาล่วงหน้าเป็นเวลานาน จนเกิดปัญหามากมายอยู่ในขณะนี้ แม้กระทั่ง ส.ส.ไม่เข้าร่วมประชุม ทำให้ที่ประชุมล่มหลายครั้ง แสดงว่านายกฯ บริหารไม่เป็น ทำให้ฝ่ายนิติบัญญัติไม่สามารถเดิหน้าต่อไปได้ ซึ่งนายกฯ ต้องรับผิดชอบ
อย่างไรก็ตาม หากนายกฯประกาศยุบสภาแล้ว กฎหมายลูกออกไม่ทัน อาจทำให้เกิดสุญญากาศในทางการเมือง และเกิดช่องว่างให้เกิดเหตุการณ์ใดก็ตาม ซึ่งเกิดจากการตัดสินใจของนายกฯเอง
** พท.จาบจ้วงทำคะแนนเสียงวูบ
ด้านพล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ต้องยืนยันถึงความจำเป็นที่พวกเราต้องรณรงค์ โหวตโน เนื่องจากรัฐบาลและนักการเมืองที่มาจากระบบการเมืองในปัจจุบัน ไม่ให้ความสนใจแม้กระทั่งเรื่องใหญ่ของประเทศ ในการปกป้องดินแดนอธิปไตย จึงจำเป็นต้องจุดกระแสให้เกิดการปฏิรูปบ้านเมืองอย่างแท้จริง เมื่อถึงวันนั้นปัญหาของชาติบ้านเมืองก็จะลดลง มิเช่นนั้นประเทศชาติบ้านเมืองจะเสียหายมากกว่านี้ โดยเฉพาะความเคลื่อนไหวของกลุ่มบุคคล ที่พยายามจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งพวกเราได้พยายามให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาเรื่องนี้มานาน แต่ไม่ได้รับความสนใจ จนเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา มีกลุ่มบุคคลแสดงพฤติกรรมจาบจ้วงสถาบันฯ อย่างชัดเจน ซึ่งพวกเราไม่เห็นด้วย เนื่องจากเห็นว่าอย่างไรเสียประเทศไทยต้องมีสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อไป
แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวด้วยว่า หากให้วิเคราะห์ถึงสถานการณ์หลังการเลือกตั้งนั้น ตนยังเห็นว่ายังเลือกเวลาอีกมาก ที่อาจเกิดเหตุการณ์อะไรที่ทำให้คะแนนของพรรคการเมืองต่างๆ เปลี่ยนไป ยกตัวอย่างการพูดเมื่อวันที่ 10 เม.ย.นั้น ทำให้คะแนนของพรรคเพื่อไทย ลดลงอย่างแน่นอน และเมื่อภาคประชาชนเห็นว่า ระบบนี้ไปไม่ไหว และร่วมกันออกมารณรงค์นั้น จะทำให้คะแนนของพรรคการเมือง ไม่ว่าขั้วใดลดลง จากเดิมที่ไม่มากเท่าไร เมื่อเทียบอัตราส่วนกับผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง
ส่วนการที่คณะรัฐมนตรีเตรียมประกาศบังคับใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงเพิ่มเติมอีก 30 วันนั้น พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ไม่มีความกังวลใดๆ.
วานนี้ (18 เม.ย.) ที่พรรคเพื่อไทย ตามหมายกำหนดเดิมนั้น พรรคเพื่อไทย จะมีการประชุมยุทธศาสตร์ทางการเมืองของพรรคเป็นประจำในทุกวันจันทร์ ช่วงเวลาประมาณ 10.00 น. โดยมี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย เป็นประธานในที่ประชุมทุกครั้ง
ทั้งนี้ นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ได้ปฎิเสธกระแสข่าวที่ว่า พล.อ.ชวลิต จะลาออกจากพรรคเพื่อไทย และยืนยันว่า พล.อ.ชวลิต จะมาเป็นประธานในที่ประชุมด้วย แต่เมื่อถึงเวลา พล.อ.ชวลิต ก็ไม่ได้มาร่วมประชุมแต่อย่างใด
**"จิ๋ว"แฟกซ์หนังสือลาออกจาก พท.
แหล่งข่าวใกล้ชิด พล.อ.ชวลิต เปิดเผยว่า ขณะนี้ พล.อ.ชวลิต พักผ่อนอยู่เซฟเฮาส์ ย่านนนทบุรี และที่ไม่มาประชุม คณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคในครั้งนี้ เพราะได้โทรศัพท์มาสอบถามทางพรรคแล้ว ทางพรรคแจ้งว่า ยกเลิกการประชุมยุทธศาสตร์พรรค และในการประชุมในช่วงบ่าย เป็นการประชุม ส.ส.พรรค รวมทั้งไม่อยากตอบคำถามสื่อมวลชนในเรื่องกระแสข่าวการลาออกพรรค
ต่อมาในช่วงบ่ายวันเดียวกัน แหล่งข่าวใกล้ชิดกับ พล.อ.ชวลิต เปิดเผยว่า พล.อ.ชวลิตได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งประธานพรรคของพรรคเพื่อไทยแล้ว โดยให้เหตุผลว่าเกิดความไม่สบายใจในการทำงานกับพรรค หลังจากการที่มีกระแสข่าวว่า พล.อ.ชวลิตไม่พอใจการปราศรัยของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน และแกนนำกลุ่มนปช. แต่ทั้งนี้ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และนายวิทยา บูรณศิริ ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ยังคงให้การปฏิเสธ การลาออกของพล.อ.ชวลิต อยู่
ต่อมาเวลา 17.00 น. มีรายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทยแจ้งว่า ได้รับแฟกซ์ หนังสือลาออกจากพรรคเพื่อไทย ของพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ในฐานะประธานพรรคเพื่อไทย ขอลาออกจากสมาชิกพรรคเพื่อไทย มีผลตั้งแต่วันที่ 18 เม.ย. เป็นต้นไป พร้อมมีลายเซ็นต์ พล.อ.ชวลิต ด้วย
ทั้งนี้ หนังสือลาออกดังกล่าว ยังได้แนบ สำเนาบัตรประชาชน เป็นหลักฐาน ถึงนายทะเบียนพรรคเพื่อไทยด้วย
ขณะที่นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้แจงในที่ประชุมพรรคให้ทราบว่า พล.อ.ชวลิตได้ยื่นใบลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยแล้ว
พล.ต.ศรชัย มนตริวัต ส.ส. สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นคนสนิท พล.อ.ชวลิต ให้สัมภาษณ์หลังเข้าร่วมประชุมใหญ่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยว่า ได้คุยกับ พล.อ.ชวลิต เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาพล.อ.ชวลิต บอกว่า รู้สึกอึดอัดใจ และกดดันมากในการอยู่กับพรรคเพื่อไทย เพราะหลายอย่างคุยกันแล้วไม่เป็นอย่างที่คิด
**"แม้ว"ยังวิดีโอลิงค์สั่งการ
แหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทย ระบุว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวในระหว่างวิดีโอลิงค์ มายังที่ประชุมพรรคเมื่อวานนี้ โดยพูดถึงนโยบายของพรรคที่จะเปิดตัวในวันที่ 23 เม.ย. ซึ่งในวันดังกล่าวจะมีการวิดีโอลิงค์มาอีกครั้ง โดยพ.ต.ท.ทักษิณ จะพูดคุยในฐานะที่ปรึกษาของพรรคเพื่อไทย ทั้งนี้พ.ต.ท.ทักษิณ ยืนยันว่าจะเล่นการเมืองไปอีก 20 ปี ซึ่งตอนนี้อายุ 60 ปี อีก 20 ปี ก็ อายุ 80 ปีพอดี
ส่วนกรณีที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ย้ายสังกัดนั้น ตนก็ขอให้จากกันด้วยดี ไม่กลับมาทำร้ายพรรคเพื่อไทยในภายหลัง
ทั้งนี้ มีรายงานข่าวอีกว่ามีสมาชิกพรรคเพื่อไทย 5 คน ประกอบด้วย นายประยุทธ์ ศิริพานิช นายชวลิต วิชยสุทธิ์ พล.ท. มะ โพธิ์งาม นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย และนายกิตติศักดิ์ หัตถะสงเคราะห์ได้ลาออกจากการเป็นกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยแล้วเช่นกัน
** อ้างพท.-เสื้อแดง ทำคนละหน้าที่
นายวิทยา บูรณศิริ ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การที่ พล.อ.ชวลิต ไม่ได้เดินทางมาเป็นประธานในที่ประชุม เพราะวันนี้ไม่มีการประชุม และส่วนตัวคิดว่า เรื่องการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง กับพรรคเพื่อไทยนั้น เป็นคนละหน้าที่กัน แต่ละคนก็มีหน้าที่ของตัวเอง อย่างเรื่องของพรรคก็เป็นการหาเสียง การประกาศนโยบาย ส่วนการชุมนุมก็เป็นการเรียกร้องต่อข้อกังวลใจ ส่วนการเมืองนั้นเป็นเรื่องของประชาชน เพราะฉะนั้นพรรคการเมืองก็ต้องขับเคลื่อนไปตามระบอบประชาธิปไตย
นายวิทยา กล่าวด้วยว่า กรณีของพล.อ.ชวลลิต และนายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช ที่เพิ่งเข้ามาร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย และมองว่าการขับเคลื่อนของกลุ่มคนเสื้อแดง คือเรื่องที่ผิดพลาดนั้น ตนคิดว่าเรื่องดังกล่าวยังไม่ถึงจุดนั้น ซึ่งในตอนนี้ตนยังมีความสบายใจอยู่ โดยก็ต้องรอให้ถึงเวลานั้นก่อนถึงจะพูดได้ แต่ทั้งนี้เมื่อมีการประกาศนโยบายของพรรคเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เชื่อว่าผู้ใหญ่ในพรรคจะเข้าใจได้
** "ไอ้ตู่" ลั่นผิดจริงยอมให้ประหาร
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง กล่าวถึงกรณีที่พล.อ.ชวลิต และนายเสนาะ มีความไม่พอใจในการปราศรัยระหว่างการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง จนเป็นเหตุให้ต้องการลาออกจากพรรคเพื่อไทย ว่า เรื่องนี้เป็นเพียงการพูดกันของบุคคลอื่น และก็เป็นการอ้างอิงจากแหล่งข่าวเท่านั้น
นายจตุพร อ้างว่าการปราศรัยของตนบนเวทีกลุ่มคนเสื้อแดงนั้น เป็นเพียงการเตือน ทหารรักษาพระองค์ และทหารเสือราชินีว่า อย่าใช้กำลังออกมาปราบปรามประชาชน เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้ประชาชนกังวล และสิ่งที่ตนเตือนก็คือการพูดเพื่อจงรักภักดีต่อสถาบันฯ เท่านั้น หากตนทำผิดจริง ก็พร้อมจะให้ประหารชีวิต และจะไม่อยู่เป็นภาระของพรรคเพื่อไทยด้วย
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า พล.อ.ชวลิต เป็นผู้ใหญ่พอ และผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ เจอกับข้อกล่าวหามาก็เยอะ ฉะนั้นพล.อ.ชวลิต คงเข้าใจในการปราศรัยของตน ว่าหมายความว่าอะไร แต่ทั้งนี้ตนยังไม่ได้พูดคุยกับพล.อ.ชวลิตโดยตรง เพราะวันนี้ ไม่มีการประชุมยุทธศาสตร์ของพรรค แต่คิดว่าจะได้พบกันอย่างแน่นอน
นายจตุพร กล่าวด้วยว่า อยากจะฝากไปยังกองทัพ และรัฐบาลว่า หากทั้ง 2 ฝ่ายหยุด ตนก็พร้อมที่จะหยุด และปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินไป ส่วนกรณีที่มีส.ส.ของพรรคเพื่อไทย ออกมาระบุว่า ให้พรรคเพื่อไทย แยกการทำงานของจากกลุ่มคนเสื้อแดงอย่างชัดเจนนั้น เป็นเพียงการอ้างจากแหล่งข่าว ที่ไม่เห็นปากเท่านั้น ซึ่งในข้อเท็จจริงทั้งสองฝ่าย ก็แยกการทำงานออกจากกันอยู่แล้ว คนที่เป็น ส.ส.ก็เดินหน้าหาเสียงไป ส่วนคนที่ไม่ได้เป็น ส.ส. ก็ขึ้นเวทีเสื้อแดง ก็เท่านั้น เว้นแต่ส.ส.บางคนที่จิตอ่อนเกินไป หรือในใจจริงๆอาจจะต้องการขายตัวอยู่แล้ว จึงออกมาพูดให้เสียหาย
** พท.ออกแถลงการณ์ไม่เกี่ยวจาบจ้วง
ในวันเดียวกันนี้ ( 18 เม.ย.) นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้ออกแถลงการณ์ของพรรค หลังจากที่พรรคเพื่อไทยถูกระบุว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปราศรัยหมิ่นสถาบันฯ ของกลุ่มคนเสื้อแดง ว่า จากกรณีที่นักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ และโฆษกของทางกองทัพบก ได้กล่าวหาว่าพรรคเพื่อไทยอยู่เบื้องหลัง ให้การสนับสนุน เพื่อจาบจ้วงสถาบันฯ และมีการใส่ร้ายป้ายสี เพื่อทำลายโดยหวังผลทางการเมืองก่อนการเลือกตั้งที่จะถึงนี้
ทางพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่า พรรคเพื่อไทยยึดมั่นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และไม่ได้มีการอยู่เบื้องหลัง พรรคเพื่อไทยไม่สนับนุน รวมถึงไม่เห็นด้วย กับการกระทำที่จาบจ้วงสถาบันฯ หรือหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หากมีหลักฐานว่าบุคคลใด มีการกระทำดังกล่าว ก็ขอให้ดำเนินคดีตามกฎหมาย
ทั้งนี้พรรคเพื่อไทยเห็นว่าสถาบันพระมหากษัตรย์อยู่เหนือการเมือง และขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายในสังคม เช่น นักการเมือง องค์กรของรัฐ หรือสาธารณชนทั่วไป ยุติการนำประเด็นเรื่องสถาบันฯมาทำลายล้างกันทางการเมือง ขอให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน เพื่อสันติสุขกลับคืนสู่ประเทศไทยโดยเร็ว และในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ พรรคเพื่อไทยขอเรียกร้องให้พรรคการเมืองต่างๆ นำเสนอนโยบายต่อประชาชน มากกว่าที่จะมุ่งโจมตีและทำลายล้างกันทางการเมือง โดยพรรคเพื่อไทยเชื่อมั่นว่า การเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ เที่ยงธรรม และการเคารพการตัดสินของประชาชนเท่านั้น จะเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟู และนำประเทศก้าวไปข้างหน้าต่อไป
**"ท้า"40 ส.ส.พท."เก่งจริงให้ลาออกไป
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีมีกระแสข่าวว่า 40 ส.ส.พรรคเพื่อไทย จะไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ว่า ผู้ใหญ่ต่างรู้กันก่อนมาอยู่กับพรรคเพื่อไทยแล้วว่า กลุ่มเสื้อแดง และพรรคเพื่อไทย เดินคู่กัน และตนอยากถาม ส.ส. 40 คน ที่จะออกจากพรรคว่า กล้าออกจากพรรคหรือไม่ สุดท้ายไม่กล้า เพราะออกไปก็สอบตก
ส่วนที่ออกมาเคลื่อนไหวเกิดจากคนที่อยากจะขึ้นเป็นเบอร์ 1 ของพรรคสั่งมา เพื่อต่อรองทางการเมือง ที่คาดหวังว่า ตัวเองจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี และ ส.ส.เหล่านั้นจับกลุ่มกันแน่น กะจะได้เป็นรัฐมนตรี เชื่อเถอะ ส.ส.ที่ออกมาเคลื่อนไหวไม่มีอะไร เป็นเกมการเมืองที่อ่อนมาก
" เขาวางไว้แล้ว ลึกๆ กะขึ้นเป็นนายกฯ และให้คนของเขาเป็นรัฐมนตรี แต่ต้องรู้ว่า พรรคนี้เป็นของใคร รู้อยู่แล้วว่าใครเหมาะสม ซึ่งคนๆนั้น คือคนที่เป็นตัวแทน ส.ส.และ คนเสื้อแดงไปรดน้ำดำหัวท่านทักษิณ (ชินวัตร อดีตนายกฯ) เมื่อวานนี้ ที่มีการวีดีโอลิ้งค์มายังจังหวัดเชียงใหม่" นายสุรพงษ์ กล่าว
**"ประชา"ไขก๊อก พผ.จ่อร่วม พท.
รายงานข่าวแจ้งว่า พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อแผ่นดิน ได้ยื่นหนังสือลาออกจากกรเป็นสมาชิกพรรคเพื่อแผ่นดินแล้ว โดยได้ให้คนติดตามมายื่นหนังสือแทน
ทั้งนี้ ตามกฎหมายต้องเลื่อนส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อลำดับถัดไปขึ้นมาทำหน้าที่แทน เบื้องต้นพบว่า เป็นนายกว้าง รอบคอบ รองหัวหน้าพรรค
รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า การลาออกของพล.ต.อ.ประชานั้น เพื่อเตรียมไปเปิดตัวเข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ในวันที่ 23 เม.ย.นี้
**วอร์รูมปชป.จับตา"เพื่อแม้ว"แตก
รายงานข่าวจากที่ประชุม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า เรื่องความขัดแย้งของพรารคเพื่อไทยนั้น มีการหารือกันในคณะกรรมการวอร์รูม ของพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีการวิเคราะห์ถึงการชุมนุม และหมิ่นสถาบันฯ ของแกนนำนปช. บางราย ที่ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมไม่พอใจในแกนนำพรรคเพื่อไทยบางส่วน โดยเฉพาะ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นายเสนาะ เทียนทอง นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ นายปลอดประสพ สุรัสวดี นายประจวบ ไชยสาส์น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดการแตกขั้ว มาตั้งพรรคใหม่ เหมือนไผ่แตกกอ แต่ที่สุดแล้วคาดว่า เมื่อพ.ต.ท.ทักษิณ ประสานงานมา และตกลงจะทำตามการเรียกร้อง สุดท้ายกลุ่มดังกล่าวก็จะอยู่ช่วยพรรคเพื่อไทย ต่อไป
รายงานข่าว ระบุอีกว่า แม้จะอยู่กับพรรคเหมือนเดิม แต่กลุ่มดังกล่าวจะมีการแยกส่วนกับกลุ่ม นปช. ซึ่งทั้งหมดสะท้อนผ่านคำพูดของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. ที่เคยออกมาระบุว่า ใครคนไหนไม่อยากร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย ก็ขอให้ออกไป ดังนั้นจึงเชื่อว่า จะมี ส.ส.บางรายไปรวมตัวกับกลุ่ม พล.อ.ชวลิต เพราะไม่อยากถูกครหาเกี่ยวกับ การหมิ่นสถาบันฯ
***พันธมิตรฯ จวกรัฐปล่อยล้มเจ้าลาม
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงการรณรงค์ให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง โดยกากบาทในช่อง "ไม่ประสงค์ลงคะแนน" หรือ "โหวตโน" ว่า ขณะนี้เริ่มมีกระบวนการประชาสัมพันธ์ของฝ่ายการเมืองที่พยายามอ้างว่า การเลือกตั้งเป็นหัวใจสำคัญของระบอบประชาธิปไตย ซึ่งตนเห็นว่า การเลือกตั้งเป็นเพียงส่วนหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น ไม่ใช่ว่าการเลือกตั้งจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นประชาธิปไตย โดยประเทศไทยมีการเลือกตั้งอยู่โดยตลอด และการเลือกตั้งใหญ่ครั้งหลังสุด เมื่อวันที่ 23 ธ.ค.50 ก็ไม่สามารถแก้ไขวิกฤตการณ์ของประเทศได้ หนำซ้ำการเกิดการทุจริตการเลือกตั้ง นำไปสู่การสร้างปัญหาใหม่ และความแตกแยก แก่ประชาชนทุกหมู่เหล่า
นายปานเทพ กล่าวว่า หากพิจารณาจากผลการสำรวจของดุสิตโพล หลังจากที่ภาคประชาชนได้เริ่มรณรงค์กระแส โหวตโน ทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่า มีประชาชนต้องการไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งมากถึง 77.16 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมากกว่าการสำรวจครั้งก่อนหน้านี้ ซึ่งถือเป็นแนวโน้มที่ดี ในการที่ประชาชนไม่นอนหลับทับสิทธิ์ และต้องการออกไปใช้สิทธิ์ เพื่อต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แก้ปัญหาความขัดแย้งทางความคิด การแบ่งฝักแบ่งฝ่าย หรือการประท้วงทางการเมือง ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางของภาคประชาชน ในการรณรงค์โหวตโน เพื่อต้องการให้เกิดการปฏิรูปทางการเมือง และ ยังมี 20.87 เปอร์เซนต์ ที่ยังไม่มีความคิดจะไปเลือกตั้ง เพราะไม่รู้จะเลือกใคร คนที่เข้ามาก็เป็นคนหน้าเดิมๆไม่มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาพัฒนาประเทศ โดยคนกลุ่มนี้ หากคำนวณตามจำนวนผู้ใช้สิทธิ์เลือกตั้ง 45 ล้านคน ได้เป็น 10 ล้านคน
" การที่ภาคประชาชนรณรงค์ให้ครั้งนี้ เพื่อให้เกิดการปฏิรูปทางการเมือง ซึ่งหากทำสำเร็จก็จะสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆได้ แม้กระทั่งการชุมนุมทางการเมืองที่ลดน้อย จึงถือผลสำรวจความต้องการของประชาชนนี้ มีแนวทางที่ตรงกับการเคลื่อนไหวของภาคประชาชน ซึ่งก็หวังว่านักการเมืองจะได้รับบทเรียนว่า มีประชาชนจำนวนมากรู้สึกเบื่อหน่ายการเมืองอย่างชัดเจน สะท้อนให้เห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องมีการปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่ เมื่อกับที่นักการเมืองสัญญาไว้เมื่อปี 49 แต่วันนี้กลับเลือกแก้ไขเพียงบางประเด็น เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น" นายปานเทพ กล่าว
** เชื่อเลือกตั้งปชป. แพ้"เพื่อแม้ว"
เมื่อถามต่อถึงการประเมินสถานการณ์ภายหลังการเลือกตั้ง นายปานเทพ กล่าวว่า หากดูจากฐานคะแนนของพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคเพื่อไทย จะเห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่คู่แข่งของพรรคเพื่อไทย ในการแย่งชิงพรรคอันดับ 1 แม้จะมีความใกล้เคียงกันในส่วนของระบบบัญชีรายชื่อ แต่จะเกิดความเสียเปรียบในส่วนของการเลือกตั้งแบบเขต เพราะฉะนั้นภาคประชาชน จะเลือกหรือไม่เลือกใคร ไม่มีผลต่อพรรคอันดับ 1 และ 2 แต่รัฐบาลจะประกอบด้วยพรรคขนาดกลาง ที่มาเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งภายใต้โครงสร้างนี้พรรคขนาดกลางจะมีอำนาจต่อรองสูง มีโอกาสทุจริต คอร์รัปชันง่าย การเมืองแบบนี้ จึงไม่ใช่ทางออกของประเทศ ดังนั้นการแก้ไขจึงต้องถอยออกมาเพื่อให้เกิดการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงประเทศ
ทั้งนี้ นายปานเทพ ยังได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการพิจารณา พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง 3 ฉบับ ที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของวุฒิสภา และฝ่ายรัฐบาลพยายามผลักดันให้มีการพิจารณาอนุมัติโดยเร็วว่า ฝ่าย ส.ว.เริ่มมีการเรียกร้องให้กฎหมายลูกทั้ง 3 ฉบับนั้น ต้องพิจารณาโดยรอบคอบ แต่ขณะที่นายกฯ ได้ใช้กำหนดการยุบสภาที่ตัวเองเป็นผู้ประกาศล่วงหน้ามาเป็นตัวตั้ง เท่ากับว่าต้องการโยนภาระ และบีบบังคับให้วุฒิสภาพิจารณาเห็นชอบตามที่นายกฯต้องการ ทั้งที่วุฒิสภาไม่อยู่ภายใต้อาณัติของรัฐบาล การที่แสดงท่าทีเพิ่มแรงกดดันไปที่วุฒิสภาถือว่าไม่ถูกต้อง
ดังนั้นนายกฯ จึงเหลือเพื่อ 2 ทางเลือก คือ 1.ประกาศยุบสภาตามกำหนดเดิม และไปเสี่ยงว่ากฎหมายลูกจะผ่านหรือไม่ หรือ 2. ตัดสินใจเลื่อนการยุบสภา ตระบัดสัตย์ จากสิ่งที่ตัวเองเคยประกาศไว้ ทั้งหลายทั้งปวงเกิดจาการประกาศยุบสภาล่วงหน้าเป็นเวลานาน จนเกิดปัญหามากมายอยู่ในขณะนี้ แม้กระทั่ง ส.ส.ไม่เข้าร่วมประชุม ทำให้ที่ประชุมล่มหลายครั้ง แสดงว่านายกฯ บริหารไม่เป็น ทำให้ฝ่ายนิติบัญญัติไม่สามารถเดิหน้าต่อไปได้ ซึ่งนายกฯ ต้องรับผิดชอบ
อย่างไรก็ตาม หากนายกฯประกาศยุบสภาแล้ว กฎหมายลูกออกไม่ทัน อาจทำให้เกิดสุญญากาศในทางการเมือง และเกิดช่องว่างให้เกิดเหตุการณ์ใดก็ตาม ซึ่งเกิดจากการตัดสินใจของนายกฯเอง
** พท.จาบจ้วงทำคะแนนเสียงวูบ
ด้านพล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ต้องยืนยันถึงความจำเป็นที่พวกเราต้องรณรงค์ โหวตโน เนื่องจากรัฐบาลและนักการเมืองที่มาจากระบบการเมืองในปัจจุบัน ไม่ให้ความสนใจแม้กระทั่งเรื่องใหญ่ของประเทศ ในการปกป้องดินแดนอธิปไตย จึงจำเป็นต้องจุดกระแสให้เกิดการปฏิรูปบ้านเมืองอย่างแท้จริง เมื่อถึงวันนั้นปัญหาของชาติบ้านเมืองก็จะลดลง มิเช่นนั้นประเทศชาติบ้านเมืองจะเสียหายมากกว่านี้ โดยเฉพาะความเคลื่อนไหวของกลุ่มบุคคล ที่พยายามจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งพวกเราได้พยายามให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาเรื่องนี้มานาน แต่ไม่ได้รับความสนใจ จนเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา มีกลุ่มบุคคลแสดงพฤติกรรมจาบจ้วงสถาบันฯ อย่างชัดเจน ซึ่งพวกเราไม่เห็นด้วย เนื่องจากเห็นว่าอย่างไรเสียประเทศไทยต้องมีสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อไป
แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวด้วยว่า หากให้วิเคราะห์ถึงสถานการณ์หลังการเลือกตั้งนั้น ตนยังเห็นว่ายังเลือกเวลาอีกมาก ที่อาจเกิดเหตุการณ์อะไรที่ทำให้คะแนนของพรรคการเมืองต่างๆ เปลี่ยนไป ยกตัวอย่างการพูดเมื่อวันที่ 10 เม.ย.นั้น ทำให้คะแนนของพรรคเพื่อไทย ลดลงอย่างแน่นอน และเมื่อภาคประชาชนเห็นว่า ระบบนี้ไปไม่ไหว และร่วมกันออกมารณรงค์นั้น จะทำให้คะแนนของพรรคการเมือง ไม่ว่าขั้วใดลดลง จากเดิมที่ไม่มากเท่าไร เมื่อเทียบอัตราส่วนกับผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง
ส่วนการที่คณะรัฐมนตรีเตรียมประกาศบังคับใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงเพิ่มเติมอีก 30 วันนั้น พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ไม่มีความกังวลใดๆ.