ท้ายที่สุด เมื่อบ่ายวันที่18 เม.ย.ที่ผ่านมา “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ประธานพรรคเพื่อไทย ได้ตัดสินใจลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ด้วยเหตุที่คนใกล้ชิดระบุว่า อึดอัดใจและกดดันที่ต้องอยู่กับพรรคเพื่อไทย หลายอย่างคุยกันแล้วไม่เป็นอย่างที่คิด
เมื่อเจอกับกรณีที่ “ตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ ขึ้นเวทีปราศรัยคนเสื้อแดงในวันที่ 10 เม.ย. มีข้อความหลายช่วงหลายตอนหมิ่นเหม่ต่อสถาบัน จึงเป็นเหตุให้พล.อ.ชวลิตตัดสินใจตีจากพรรคของ “นายใหญ่” พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ
การลาออกในช่วงเวลานี้น่าสังเกตว่าได้รับเสียงชื่นชมจากบางคนในพรรค รวมทั้งฝ่ายตรงข้าม เชิดชูว่าเป็นคนที่ยึดมั่นต่อสถาบัน แต่แท้จริงแล้วจะเป็นเหตุผลหลักในการตัดสินใจหรือไม่ ยังเป็นเครื่องหมายคำถาม?
ในอดีตที่ผ่านมาพล.อ.ชวลิตมีข้อหาฉกรรจ์ที่ติดตัวมาตลอดจนถึงวันนี้ นั่นก็คือข้อหาล้มเจ้าล้มสถาบัน หลังเสนอตั้งสภาเปรซิเดียมจนเป็นที่ฮือฮา วันนี้การเล่นบทอ่อนไหว ถอยฉากจากประเด็นล่อแหลมล้มสถาบัน ก็สามารถปลดข้อหาที่เป็นเครื่องหมายการค้าติดตัวมาแต่เก่าก่อนได้ชะงัด
อย่างไรก็ตาม หลายคนในพรรคเพื่อไทย รู้สึกงงกับท่าทีของพล.อ.ชวลิตที่ชักเข้าชักออก ไปๆ มาๆ วนเวียนกับพรรคอยู่หลายครั้ง บางครั้งบางเรื่องที่ดูเหมือนไม่หนักหนาอะไรก็ถอดใจลาจากไปดื้อๆ แต่บางครั้งเรื่องที่รุนแรงกลับนิ่งเฉย ไม่สะท้านสะเทือนใดๆ จึงมีการตั้งข้อสังเกตถึงสาเหตุอื่นใดนอกเหนือจากที่พล.อ.ชวลิตนำมาอ้าง
เรื่องสำคัญอันดับแรกเลยคือแคนดิเดทนายกรัฐมนตรี เมื่อวันนี้ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าพ.ต.ท.ทักษิณจะเลือก “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” น้องสาว หากมีการลำกลับเปลี่ยนใจจากยิ่งลักษณ์เป็นคนอื่น ชั่วโมงนี้ในใจทักษิณแคนดิเดทนายกฯก็ไม่ใช่พล.อ.ชวลิตแน่ๆ
และวันนี้ “บิ๊กจิ๋ว”ไม่ต้องการเป็นเงาให้กับใครแล้ว ก็เป็นเหตุให้ต้องโดดหนีสละเรือเพื่อไทย กลับไปเลี้ยงหลาน และเคลื่อนไหวการเมืองหลังฉากตามถนัดไปเรื่อยๆ รอวันกลับมาโดดเด่นแสงไฟฉายแสงในฐานะคนสำคัญดีกว่าจะต้องเป็นเบี้ยล่าง
ขณะที่ตัณหาคนแก่คนนี้พอกหนายิ่งนัก ในช่วงบั้นปลายชีวิตที่อยากจะกลับมาเป้นนายกรัฐมนตรี วาดหวังฝากผลงานไว้ให้คนรุ่นหลังในฐานะนายกรัฐมนตรีผู้สร้างความปรองดอง
แต่เห็นแล้วว่า ทักษิณไม่เล่นด้วยก็เลยหมดโอกาส สู้หลบไปหาช่องทางอื่นดีกว่า
อย่างไรก็ตาม เมื่อจับอาการของพ.ต.ท.ทักษิณแล้ว ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญ ถึงกับจะเป็นจะตายเมื่อขาดพล.อ.ชวลิตไป เพราะที่ผ่านมาความไว้เนื้อเชื่อใจต่อพล.อ.ชวลิตยังคงเป็นเครื่องหมายคำถามอยู่เสมอ
เอาเข้าพรรคมาก็อยู่ในฐานะผู้หลักผู้ใหญ่คนหนึ่ง ไม่กล้าฝากความหวัง หรือมอบอำนาจเด็ดขาดใดๆ เพราะวันหนึ่งวันใดข้างหน้า อาจเกิดเหตุการณ์ “กดปุ่มอีเจ็ค” สละเครื่องกลางอากาศ อย่างที่เคยทำมาหลายต่อหลายครั้ง
ในความคิดของพ.ต.ท.ทักษิณก็ยังไม่แน่ใจว่าพล.อ.ชวลิต ที่คร่ำหวอดกับวงการทหารมาชั่วชีวิต จะให้ใจกับเขาได้เต็มร้อย วันข้างหน้าอาจลากจูงพรรคที่สร้างมากับมือไปอยู่ภายใต้รองเท้าบู๊ทก็ได้
ยิ่งสถานการณ์ยามนี้ที่ต้องเดิมพันตัวเองกลับประเทศ โดยใช้พลังประชาชนต่อสู้กับอำนาจสีเขียวพาตัวเองกลับประเทศ หากฝากความหวังไว้กับทหารเฒ่าเก่าแก่แล้วนับเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจกับเสียงสะท้อนจากพ.ต.ท.ทักษิณที่มีต่อลูกพรรคล่าสุด ขอให้สมาชิกทุกคนหนักแน่น อย่าหวั่นไหวต่อการเมือง ที่มีคนพยายามเอาเรื่องหมิ่นสถาบันมาเป็นประเด็นหลักมาโจมตี ดิสเครดิตพรรคเพื่อไทย พร้อมทั้งบอกว่าคนเสื้อแดงกับพรรคเป็นคนละองค์กร เพียงแต่มีจุดยืนที่ตรงกัน
ย้ำให้คนในพรรคสบายใจ แถมทิ้งทุ่นถึงแกนนำนปช.ด้วยว่าให้ระมัดระวัง ห้ามแตะต้องสถาบันเด็ดขาด
ทักษิณเองรู้ดีว่าประเด็นนี้อาจทำให้ตัวเองต้องแพ้ฟาล์วก่อนถึงเวลาอันควร ไม่ควรไปแตะต้องด้วยประการทั้งปวง ต้องปรามกันไว้ให้อยู่ ซึ่งแกนนำพรรคเพื่อไทยก็เข้าใจดี และเห็นพ้องต้องกัน จึงออกเป็นแถลงการณ์เคลียร์ตัวเองไม่เกี่ยวอะไรทั้งสิ้นกับขบวนการใดๆ ที่หมิ่นเหม่ จาบจ้วงสถาบัน
สำคัญต้องปราม “คางคกตู่ แอนด์ เดอะแก๊ง” ลดดีกรีไต่ระห่ำ ขีดวงไว้อย่าพูดจาสนุกปากเลยเถิด จนทำให้เสียกระบวนไป เพราะต้องไม่ลืมว่า “คางคกตู่” เป็นส.ส.สัดส่วนของพรรคด้วย ล่าสุดกกต.จะออกเกณฑ์หากส.ส.ในพรรคไปกระทำการลบหลู่จาบจ้วงสถาบัน โดยที่กรรมการบริหารพรรครู้เห็นแล้วไม่ห้ามปราม ก็มีสิทธิยุบพรรคเหมือนกัน
สำหรับกระแสการตั้งพรรคใหม่ของพล.อ.ชวลิตนั้นดูแล้วน่าจะมีความเป็นไปได้น้อย แม้มีข่าวว่าได้แหล่งทุนโยนมาให้เป็นหลักพันล้าน แต่ด้วยชื่อเสียง ฐานกำลังส.ส. ณ ชั่วโมงนี้ คงขยับตัวทำอะไรลำบาก ยิ่งใกล้เลือกตั้ง จะตั้งพรรคใหม่คงไม่ทันกาล หากจะลากจูงส.ส.ลูกน้องเก่าออกมาจากพรรคเพื่อไทย ก็คงมาได้อย่างเก่งก็ 10-20 คน กำลังแค่หยิบมือนี้คิดจะเปลี่ยนแปลงการเมืองคงลำบาก
ขณะเดียวกันแม้แต่ส.ส.ที่สนิทใกล้ชิดพล.อ.ชวลิตเอง จะมีสักกี่คนที่กล้าสละเรือหนีตายจากค่ายนายใหญ่ ไปโต้คลื่นกับพ่อใหญ่ ฝ่าลมฝ่าพายุ อาจต้องโดนแม่น้ำโขงกลืนชีวิตตกตายไปตามกันทั้งคณะ ลูกทีม“บิ๊กจิ๋ว”ส่วนใหญ่ก็ล้วนอยู่ในภาคอีสาน ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของพรรคเพื่อไทย และผลการสำรวจโพลทุกสำนักตอนนี้ก็ฟันธงตรงกันว่า เพื่อไทยกระแสแรงสูงในภาคอีสาน พรรคอื่นเบียดแทรกยาก
ชั่วโมงใกล้เลือกตั้งแบบนี้ ใครจะกล้าทิ้งคฤหาสน์หลังใหญ่ ไปอยู่กระท่อมไม้ไผ่ !!
เมื่อเจอกับกรณีที่ “ตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ ขึ้นเวทีปราศรัยคนเสื้อแดงในวันที่ 10 เม.ย. มีข้อความหลายช่วงหลายตอนหมิ่นเหม่ต่อสถาบัน จึงเป็นเหตุให้พล.อ.ชวลิตตัดสินใจตีจากพรรคของ “นายใหญ่” พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ
การลาออกในช่วงเวลานี้น่าสังเกตว่าได้รับเสียงชื่นชมจากบางคนในพรรค รวมทั้งฝ่ายตรงข้าม เชิดชูว่าเป็นคนที่ยึดมั่นต่อสถาบัน แต่แท้จริงแล้วจะเป็นเหตุผลหลักในการตัดสินใจหรือไม่ ยังเป็นเครื่องหมายคำถาม?
ในอดีตที่ผ่านมาพล.อ.ชวลิตมีข้อหาฉกรรจ์ที่ติดตัวมาตลอดจนถึงวันนี้ นั่นก็คือข้อหาล้มเจ้าล้มสถาบัน หลังเสนอตั้งสภาเปรซิเดียมจนเป็นที่ฮือฮา วันนี้การเล่นบทอ่อนไหว ถอยฉากจากประเด็นล่อแหลมล้มสถาบัน ก็สามารถปลดข้อหาที่เป็นเครื่องหมายการค้าติดตัวมาแต่เก่าก่อนได้ชะงัด
อย่างไรก็ตาม หลายคนในพรรคเพื่อไทย รู้สึกงงกับท่าทีของพล.อ.ชวลิตที่ชักเข้าชักออก ไปๆ มาๆ วนเวียนกับพรรคอยู่หลายครั้ง บางครั้งบางเรื่องที่ดูเหมือนไม่หนักหนาอะไรก็ถอดใจลาจากไปดื้อๆ แต่บางครั้งเรื่องที่รุนแรงกลับนิ่งเฉย ไม่สะท้านสะเทือนใดๆ จึงมีการตั้งข้อสังเกตถึงสาเหตุอื่นใดนอกเหนือจากที่พล.อ.ชวลิตนำมาอ้าง
เรื่องสำคัญอันดับแรกเลยคือแคนดิเดทนายกรัฐมนตรี เมื่อวันนี้ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าพ.ต.ท.ทักษิณจะเลือก “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” น้องสาว หากมีการลำกลับเปลี่ยนใจจากยิ่งลักษณ์เป็นคนอื่น ชั่วโมงนี้ในใจทักษิณแคนดิเดทนายกฯก็ไม่ใช่พล.อ.ชวลิตแน่ๆ
และวันนี้ “บิ๊กจิ๋ว”ไม่ต้องการเป็นเงาให้กับใครแล้ว ก็เป็นเหตุให้ต้องโดดหนีสละเรือเพื่อไทย กลับไปเลี้ยงหลาน และเคลื่อนไหวการเมืองหลังฉากตามถนัดไปเรื่อยๆ รอวันกลับมาโดดเด่นแสงไฟฉายแสงในฐานะคนสำคัญดีกว่าจะต้องเป็นเบี้ยล่าง
ขณะที่ตัณหาคนแก่คนนี้พอกหนายิ่งนัก ในช่วงบั้นปลายชีวิตที่อยากจะกลับมาเป้นนายกรัฐมนตรี วาดหวังฝากผลงานไว้ให้คนรุ่นหลังในฐานะนายกรัฐมนตรีผู้สร้างความปรองดอง
แต่เห็นแล้วว่า ทักษิณไม่เล่นด้วยก็เลยหมดโอกาส สู้หลบไปหาช่องทางอื่นดีกว่า
อย่างไรก็ตาม เมื่อจับอาการของพ.ต.ท.ทักษิณแล้ว ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญ ถึงกับจะเป็นจะตายเมื่อขาดพล.อ.ชวลิตไป เพราะที่ผ่านมาความไว้เนื้อเชื่อใจต่อพล.อ.ชวลิตยังคงเป็นเครื่องหมายคำถามอยู่เสมอ
เอาเข้าพรรคมาก็อยู่ในฐานะผู้หลักผู้ใหญ่คนหนึ่ง ไม่กล้าฝากความหวัง หรือมอบอำนาจเด็ดขาดใดๆ เพราะวันหนึ่งวันใดข้างหน้า อาจเกิดเหตุการณ์ “กดปุ่มอีเจ็ค” สละเครื่องกลางอากาศ อย่างที่เคยทำมาหลายต่อหลายครั้ง
ในความคิดของพ.ต.ท.ทักษิณก็ยังไม่แน่ใจว่าพล.อ.ชวลิต ที่คร่ำหวอดกับวงการทหารมาชั่วชีวิต จะให้ใจกับเขาได้เต็มร้อย วันข้างหน้าอาจลากจูงพรรคที่สร้างมากับมือไปอยู่ภายใต้รองเท้าบู๊ทก็ได้
ยิ่งสถานการณ์ยามนี้ที่ต้องเดิมพันตัวเองกลับประเทศ โดยใช้พลังประชาชนต่อสู้กับอำนาจสีเขียวพาตัวเองกลับประเทศ หากฝากความหวังไว้กับทหารเฒ่าเก่าแก่แล้วนับเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจกับเสียงสะท้อนจากพ.ต.ท.ทักษิณที่มีต่อลูกพรรคล่าสุด ขอให้สมาชิกทุกคนหนักแน่น อย่าหวั่นไหวต่อการเมือง ที่มีคนพยายามเอาเรื่องหมิ่นสถาบันมาเป็นประเด็นหลักมาโจมตี ดิสเครดิตพรรคเพื่อไทย พร้อมทั้งบอกว่าคนเสื้อแดงกับพรรคเป็นคนละองค์กร เพียงแต่มีจุดยืนที่ตรงกัน
ย้ำให้คนในพรรคสบายใจ แถมทิ้งทุ่นถึงแกนนำนปช.ด้วยว่าให้ระมัดระวัง ห้ามแตะต้องสถาบันเด็ดขาด
ทักษิณเองรู้ดีว่าประเด็นนี้อาจทำให้ตัวเองต้องแพ้ฟาล์วก่อนถึงเวลาอันควร ไม่ควรไปแตะต้องด้วยประการทั้งปวง ต้องปรามกันไว้ให้อยู่ ซึ่งแกนนำพรรคเพื่อไทยก็เข้าใจดี และเห็นพ้องต้องกัน จึงออกเป็นแถลงการณ์เคลียร์ตัวเองไม่เกี่ยวอะไรทั้งสิ้นกับขบวนการใดๆ ที่หมิ่นเหม่ จาบจ้วงสถาบัน
สำคัญต้องปราม “คางคกตู่ แอนด์ เดอะแก๊ง” ลดดีกรีไต่ระห่ำ ขีดวงไว้อย่าพูดจาสนุกปากเลยเถิด จนทำให้เสียกระบวนไป เพราะต้องไม่ลืมว่า “คางคกตู่” เป็นส.ส.สัดส่วนของพรรคด้วย ล่าสุดกกต.จะออกเกณฑ์หากส.ส.ในพรรคไปกระทำการลบหลู่จาบจ้วงสถาบัน โดยที่กรรมการบริหารพรรครู้เห็นแล้วไม่ห้ามปราม ก็มีสิทธิยุบพรรคเหมือนกัน
สำหรับกระแสการตั้งพรรคใหม่ของพล.อ.ชวลิตนั้นดูแล้วน่าจะมีความเป็นไปได้น้อย แม้มีข่าวว่าได้แหล่งทุนโยนมาให้เป็นหลักพันล้าน แต่ด้วยชื่อเสียง ฐานกำลังส.ส. ณ ชั่วโมงนี้ คงขยับตัวทำอะไรลำบาก ยิ่งใกล้เลือกตั้ง จะตั้งพรรคใหม่คงไม่ทันกาล หากจะลากจูงส.ส.ลูกน้องเก่าออกมาจากพรรคเพื่อไทย ก็คงมาได้อย่างเก่งก็ 10-20 คน กำลังแค่หยิบมือนี้คิดจะเปลี่ยนแปลงการเมืองคงลำบาก
ขณะเดียวกันแม้แต่ส.ส.ที่สนิทใกล้ชิดพล.อ.ชวลิตเอง จะมีสักกี่คนที่กล้าสละเรือหนีตายจากค่ายนายใหญ่ ไปโต้คลื่นกับพ่อใหญ่ ฝ่าลมฝ่าพายุ อาจต้องโดนแม่น้ำโขงกลืนชีวิตตกตายไปตามกันทั้งคณะ ลูกทีม“บิ๊กจิ๋ว”ส่วนใหญ่ก็ล้วนอยู่ในภาคอีสาน ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของพรรคเพื่อไทย และผลการสำรวจโพลทุกสำนักตอนนี้ก็ฟันธงตรงกันว่า เพื่อไทยกระแสแรงสูงในภาคอีสาน พรรคอื่นเบียดแทรกยาก
ชั่วโมงใกล้เลือกตั้งแบบนี้ ใครจะกล้าทิ้งคฤหาสน์หลังใหญ่ ไปอยู่กระท่อมไม้ไผ่ !!