xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ผู้บงการเกมเลือกตั้ง ??

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ออกรายงานคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจรายครึ่งปี ระบุว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังคงต้องเผชิญความเสี่ยงหลากหลาย

โดยโออีซีดี คาดว่าปีนี้เศรษฐกิจโลกน่าจะเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 4.2 ลดลงจากปีก่อนที่ขยายตัวได้ร้อยละ 4.9 ส่วนปีหน้าคาดว่าจะกระเตื้องขึ้นมาเล็กน้อยอยู่ที่ร้อยละ 4.6 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบต่างๆ เช่น ราคาน้ำมันแพง ความไม่แน่นอนทางการเมือง และผลกระทบจากภัยพิบัติในญี่ปุ่น อาจทำให้เศรษฐกิจของบางประเทศต้องเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้ออย่างรุนแรงและเข้าสู่ภาวะชะงักงัน

สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจขอญี่ปุ่นล่าสุด ได้สู่ภาวะถดถอยอีกครั้ง โดยยอดการส่งออกในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ลดลงร้อยละ 12.5 และอัตราการว่างงานมีมากขึ้น อย่างไรก็ตามโออีซีดี คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นในปีหน้าจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง และกลับมาเติบโตได้ราวร้อยละ 2.2

เศรษฐกิจสหรัฐฯ ปีนี้น่าจะโตอยู่ที่ ร้อยละ 2.6 และ กลุ่มยูโรโซน เติบโตร้อยละ 2.0

ขณะที่ธนาคารโลกคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้จะอยู่ที่ 3.7 %

ที่สำคัญหากประเทศไทยต้องการให้ประชากรมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวอยู่ที่ระดับ 1.2 หมื่นเหรียญ หรือประมาณ 3.6 หมื่นบาทต่อปี ต้องสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้อยู่ในระดับ 6 % อย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้เวลาประมาณ 20 ปี

ปัญหาใหญ่ของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่องก็คือ ปัญหาเชิงอำนาจ

โดยเฉพาะการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ราชการ และนายทุน

การเลือกตั้งก็เป็นปรากฏการณ์หนึ่งของการแย่งชิงอำนาจการบริหารเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อสร้างผลประโยชน์สูงสุดให้ตัวเอง

แต่ไม่คำนึงถึงสวัสดิการสังคมสูงสุด

การเปิดตัวปราศัย “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ที่เชียงใหม่ เป็นแห่งแรก ถือเป็นการชักธงรบเชิงสัญญลักษณ์ ของพรรคทักษิณอย่างชัดเจน

นั่นหมายความว่า เชียงใหม่ ก็คือเมืองหลวงของพรรคทักษิณ

ก่อนที่ยิ่งลักษณ์ จะไปปราศัยที่จังหวัดอุดรธานี เมื่อวันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา ยิ่งลักษณ์ พร้อมคณะผู้บริหารพรรคได้ขึ้นเวทีปราศรัยบริเวณทุ่งศรีเมือง เพราะมีเชื่อว่ากันว่า อุดรธานีเป็นเมืองหลวงของคนเสื้อแดงในภาคอีสาน

แปลไทยเป็นไทยอีกครั้ง ก็คือ คนอุดรฯ 1.5 ล้านคนเศษ เป็นคนเสื้อแดงเสียส่วนใหญ่

ข้อเท็จจริงทางการเมือง เป็นเช่นนั้นหรือไม่ ?

ต้องพิสูจน์กันในวันที่ 3 กรกฎาคม 54

ต่อพงษ์ ไชยสาส์น ผู้สมัคร ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อธิบายแนวคิดของทักษิณว่า พรรคเพื่อไทยมีแผนหาเสียงแบบบันได 3 ขั้น โดยขั้นแรกเป็นการเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯ จากนั้นในช่วง 2-3 สัปดาห์ก่อนถึงวันเลือกตั้ง จะเป็นขั้นที่สอง ให้ผู้นำของพรรคแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับการสร้างรายได้ และการก้าวข้ามความขัดแย้ง ส่วนบันไดขั้นสุดท้าย ยังไม่สามารถเปิดเผยได้

เสมือนหนึ่งว่า ทักษิณ เป็นผู้บงการเกมการเลือกตั้งครั้งนี้ทั้งหมด

แล้วเปิดช่องให้คนอื่นเดินตามเกมที่วางไว้เท่านั้น ไม่มีช่องทางอื่นให้เลือก

ต่างกับ “เนวิน ชิดชอบ” ซึ่งไม่ถนัดเดินตามเกมทักษิณ กลับเลือกที่จะบงการเกมการเลือกตั้งแทนทักษิณ

เนวิน กล้าทำนายว่า ภายหลังการเลือกตั้ง ทั้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะแม้ว่าพรรคเพื่อไทย จะชนะเลือกตั้งแต่คะแนนเสียงจะไม่ถึงกึ่งหนึ่ง และทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ อาจประกาศไม่ส่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกฯ เนื่องจากไม่ต้องฝืนกระแสท้าทายสังคม แต่ที่ให้อยู่ในลำดับที่ 1 เพื่อดึงคะแนนให้ได้เป็นอันดับหนึ่งเท่านั้น

“ พรรคประชาธิปัตย์จะแพ้การเลือกตั้ง โดยดูจากผลโพล และเชื่อว่านายอภิสิทธิ์ ต้องแสดงสปิริตลาออกจากหัวหน้าพรรค เช่นเดียวกับที่นายบัญญัติ บรรทัดฐาน เคยแสดงสปิริตลาออกเมื่อครั้งแพ้เลือกตั้ง ส่วนใครจะมาดำรงตำแหน่งนายกฯ ต้องไปถาม พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งนี้เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะได้ไม่เกิน 210 เสียง พรรคประชาธิปัตย์จะไม่เกิน 160  เสียง  ส่วนภูมิใจไทยจะได้ 111 เสียง” คำทำนายแบบขวานฝ่าซาก แบบไม่ต้องให้นักข่าวไปทายปริศนาทิ้งท้ายของเนวิน

ข้อเท็จจริงหลังการเลือกตั้งจะเป็นอย่างที่ เนวิน ว่าไว้หรือไม่...ต้องอดใจรอวันที่ 3 ก.ค.เช่นกัน
กระนั้นก็ตาม จากจำนวนประชากรทั้ง 63 ล้านคนเศษของไทย มีผู้มีสิทธิ์ชี้ชะตาอำนาจการบริหารประเทศทั้งหมด 44 ล้านคนเศษ

แต่การเลือกตั้ง 2 ครั้งล่าสุด คือ เลือกตั้งเดือนกุมภาพันธ์ 2548 และ ธันวามคม 2550 มีผู้มาใช้สิทธิ์จำนวน 32 ล้านคนเศษ ทั้งสองครั้ง

ในปี 2548 สถานการณ์ที่แตกต่างกับวันนี้ คะแนนเสียงเลือกพรรคของทักษิณ ผ่านจุดสูงสุด มาด้วยผลการลงคะแนนของคน 19 ล้านเสียง แต่ลดเหลือ 12 ล้านเสียง ในปี 2550

ตรงกันข้ามกับคะแนนเสียงปาร์ตี้ลิสต์ ของพรรคประชาธิปัตย์ มีเพียง 7 ล้านเสียงเศษในการเลือกตั้ง เดือนกุมภาพันธ์ปี 2548 แต่กลับเพิ่มมาเป็น 12 ล้านเสียงในการเลือกตั้งธันวาคมปี 2550

นั่นหมายความว่า คะแนนเสียงที่ลดลงของพรรคการเมืองทักษิณถึง 7 ล้านเสียง กลายเป็นคะแนนเสียงที่เพิ่มให้พรรคประชาธิปัตย์เพิ่มขึ้นกว่า 5 ล้านเสียง และพรรคอื่นๆ

หากแนวโน้มลักษณะเช่นนี้ยังดำรงอยู่ ก็หมายความว่า พรรคของทักษิณ อาจะได้คะแนนเสียงปาร์ตี้ลิสต์น้อยกว่า 12 ล้านเสียง ตรงกันข้ามกับพรรคประชาธิปัตย์ อาจจะได้มากกว่า 12 ล้านเสียง

นั่นจึงทำให้แกนนำ นปช. รู้สึกเดือดร้อนมาก ถึงขนาดส่งคนพูดไม่รู้เรื่อง ไปแจ้งความในเรื่องที่คนทั้งประเทศรู้เรื่องดี

นั่นคือ การส่งผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย เผาประเทศไทย และผู้ต้องคดีล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ ลงในส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ พรรคเพื่อไทย

โดยคาดหวังให้ไปถวายสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ

นอกจากแผลใหญ่ของพรรคเพื่อไทย ในเรื่องคดีล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ ความพยายามนิรโทษกรรม ตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาเป็นหมายเลข 1 ของบัญชีปาร์ตี้ลิสต์ของ ยิ่งลักษณ์

ยิ่งทำให้คนทั่วไปไม่ไว้ใจพรรคเพื่อไทยมากยิ่งขึ้น แม้ว่าจะทำให้ “สาวกเสื้อแดง” ปรบมือกันอย่างเกรียวกราวก็ตาม

ส่งผลต่อคะแนนบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อทักษิณ มากพอสมควร

จำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งตามรายภาคแล้ว ปรากฏว่า ภาคกลาง ปริมณฑล และกรุงเทพฯ มีจำนวนพอกับภาคอีสาน คือ ประมาณ 15 ล้านคนเศษ

ภาคเหนือ ประมาณ 8 ล้านคน

ภาคใต้ ประมาณ 6 ล้านคน



นั่นหมายความว่า หากพรรคการเมืองใดยึดภาคอีสาน และภาคกลาง รวมกรุงเทพฯได้ ก็มีโอกาสคว้าเก้าอี้ ส.ส.มาเป็นที่หนึ่ง

แต่สถานการณ์ในปัจจุบัน พรรคเพื่อไทย พยายามสร้างกระแสว่า ได้รับความนิยมชมชอบมากในภาคอีสาน โดยที่การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา พรรคพลังประชาชน ได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ มา 4 ล้านคะแนนเศษ

ตรงกันข้ามกับพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับคะแนนเสียงปาร์ตี้ลิสต์เพียง 1 ล้านคะแนนเศษ

แต่พรรคประชาธิปัตย์ กลับได้รับการชดเชยจากการเทเสียงในภาคใต้ถึง 3 ล้านคะแนนเศษ

ดังนั้นตัวชี้การจัดลำดับของจำนวนส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ จึงอยู่ที่ กทม. นนทบุรี และสมุทรปราการ ปรากฏว่า ประชาธิปัตย์ได้ไป 1.8 ล้านคะแนน เฉียดชนะพลังประชาชน ที่ได้คะแนน 1.5 ล้านคะแนน

แต่ความแตกต่างในพื้นที่ภาคเหนือ ที่พลังประชาชนได้ไป 3.5 ล้านคะแนน แต่ประชาธิปัตย์ได้มาเพียง 2.5 ล้านคะแนน กำลังจะหมดไปในการเลือกตั้งครั้งนี้

ด้วยการเก็บเบี้ยใต้ถุนร้านของพรรคภูมิใจไทย รวมชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน และชาติไทยพัฒนา

ปัญหาคือ ในเมื่อพรรคเพื่อไทยมีเมืองหลวงที่เชียงใหม่ พรรคประชาธิปัตย์ มีเมืองหลวงที่กทม. ภูมิใจไทยมีเมืองหลวงที่ บุรีรัมย์ พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน มีเมืองหลวงนครราชสีมา และพรรคชาติไทยพัฒนา มีเมืองหลวงที่สุพรรณบุรี

แล้วคนที่ไม่ต้องการเดินตามเกมช่วงชิงอำนาจบริหารประเทศที่ไม่ได้คำนึงถึงสวัสดิการสังคมสูงสุด (Social Welfare Maximization) จะเลือกหนทางใด ??

โหวต โน ไปเลยครับพี่น้อง..!!!



กำลังโหลดความคิดเห็น