ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ท่ามกลางความมืดมนของบ้านเมือง
ท่ามกลางภาวะข้าวยากหมากแพงที่สวนทางกับรายได้ในกระเป๋าที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน
และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่ามกลางการไร้ซึ่งความหวังกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) ที่กำลังจะมาถึง
เพราะเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า นับจากนี้ไปอีก 2 เดือนประเทศไทยจะมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารราชการแผ่นดินด้วยภาวะจำยอมและไม่อาจแปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ ไม่ว่าปริมาณของผู้ไปใช้สิทธิ์ในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนนให้ใครจะมากมายสักเพียงใด โดยมี 2 ตัวเต็งที่แก่งแย่งแข่งขันกันชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรี
คนแรกชื่อ “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ส่งตรงมาจาก “บริษัทชินวัตร จำกัด” โดยการนำเสนอของนักโทษชายหนีคดี ที่เพลานี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า จะเข้ามาเพื่อนิรโทษกรรมให้ นช.ทักษิณ ชินวัตร และเข้ามารื้อระบบศาลและกระบวนการยุติธรรมเพื่อทวงถามความยุติธรรมให้กับผู้เป็นพี่ชาย
ขณะที่คนที่สองเป็น “คนหน้าหล่อ” ชื่อ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ส่งตรงมาจากพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีผลงานที่ฝากเอาไว้ในช่วง 2 ปีของการเป็นนายกรัฐมนตรีรับประการฝีมือในการบริหารราชการแผ่นดินให้คนไทยได้รู้สึกถึงความหมายของคำว่า “ดีแต่พูด” จนยากที่จะลืมเลือน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาน้ำมันปาล์มขาดแคลน การนำเสนอวิธีการแก้ไขปัญหาไข่ราคาแพงด้วยการนำไปชั่งกิโล รวมทั้งการทำให้ราชอาณาจักรไทยสุ่มเสี่ยงกับการเสียดินแดนเหนือปราสาทพระวิหารให้กับราชอาณาจักรกัมพูชา
และที่จดจำได้ไม่ลืมก็คือ การอนุมัติงบประมาณจำนวนมหาศาลในการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดสุดท้าย จนเป็นกล่าวขานกันไม่รู้ลืมว่าเป็น The Last Supper
นี่คือสิ่งที่ประชาชนชาวไทยจะต้องเผชิญหลังจากการเลือกตั้งจบสิ้นและจัดตั้งรัฐบาลจบลง ซึ่งน่าจะกินระยะเวลานับจากนี้ไปไม่ต่ำกว่า 2 เดือน
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความหมดหวังและหดหู่ พสกนิกรชาวไทยก็กำลังใจจดใจจ่อกับข่าวอันเป็นมหามงคลของบ้านเมืองที่มาช่วงเติมความหวัง เสมือนหนึ่งเป็นน้ำทิพย์ที่มาชโลมหัวใจให้กับคนไทยที่กำลังห่อเหี่ยว นั่นก็คือ การที่ “สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี” มีพระราชปฏิสันฐานกับเจ้าหน้าที่มูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี(พอ.สว.)เกี่ยวกับสุขภาพและพระพลานามัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ในการเสด็จเยี่ยมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ซึ่งไปตรวจสุขภาพและรักษาโรคแก่ราษฎรที่โรงเรียนชุมชนบ้านสร้างค้อ หมู่ที่ 12 ต.สร้างค้อ อ.ภูพาน จ.สกลนคร
ในการนี้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ มีพระราชปฏิสันฐานกับคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ และอาสาสมัคร พอ.สว.ตอนหนึ่งว่า....
“สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินีนาถ ทรงเสียสละเหลือเกิน ทุ่มเทกำลังพระทัย กำลังสติปัญญา ทุกคราวที่ช่วยให้คนไทยมีชีวิตดีขึ้น และเป็นที่น่าภูมิใจของ พอ.สว.ที่ทุกคนมีส่วนในการถวายงานวันนี้ คือมาดูแลทรัพยากรคนของชาติที่ถือเป็นทรัพยากรสำคัญที่สุดในการพัฒนาประเทศ ข้าพเจ้าซาบซึ้งในการเสียสละของพี่น้องชาว พอ.สว.ทุกคนที่ออกช่วยเหลือคนยากไร้ในถิ่นทุรกันดาร ทุกครั้งที่กลับไปจาก พอ.สว. ข้าพเจ้าจะนำความขึ้นกราบบังคมทูลเสมอ คือถ้าข้าพเจ้าไม่รีบเล่าเสียก่อน ท่านก็ต้องถามว่าไปจังหวัดอะไรบ้าง มีคนไข้เยอะมั้ย คนไข้เป็นโรคอะไร ทาง พอ.สว.มี่กี่คนมาช่วยปฏิบัติงาน อย่านึกว่าท่านทรงประชวรแล้วจะไม่ใส่พระทัย ท่านยังใส่พระทัยทุกสัปดาห์ ยังถามไถ่ทุกสัปดาห์ แม้พระเจ้าอยู่หัวจะทรงประชวร ก็ยังคงงานอย่างสม่ำเสมอ”
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ ตรัสด้วยว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีรับสั่งว่า หลังจากที่พระองค์ทรงเข้ารับการผ่าตัดเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พระองค์รู้สึกสบายพระวรกายมากขึ้น ยังคงรับสั่งกับข้าพเจ้าด้วยว่า อีกประมาณ 2 เดือน พ่อจะเดินให้ดู พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังรับสั่งด้วยว่า รู้สึกมีกำลังพระทัยมากที่ได้เห็นประชาชนคนไทยเดินทางมาลงนามถวายพระพร พร้อมทั้งนำของมาทูลเกล้าฯ ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างที่นำมาทูลเกล้าฯนั้น ได้ถึงพระเนตรพระกรรณของพระองค์ทุกอย่าง และมีกำลังพระทัยที่ได้รับการเอาใจใส่จากประชาชน ใครไม่รักพระองค์ก็น่าแปลก เพราะพระองค์ท่านทำงาน 60 ปี ทรงตรากตรำ พร้อมทั้งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ดูทุกเรื่องทั้งศิลปาชีพ การค้า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯต่างจังหวัดไม่หยุด เวลานี้พระกำลังถดถอย ธันวาคมนี้ก็มีพระชนมพรรษา 84 พรรษาแล้ว"
พระดำรัสของ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ ในประโยคที่ว่า “รับสั่งกับข้าพเจ้าด้วยว่า อีกประมาณ 2 เดือน พ่อจะเดินให้ดู” กลายเป็นประโยคที่ยังความปลื้มปีตีให้กับพสกนิกรชาวไทยอย่างหาที่สุดมิได้ และเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่านับจากนี้ไปอีกประมาณ 2 เดือน พสกนิกรชาวไทยจะได้เห็นมหาราชผู้เป็นที่รักยิ่งเสด็จพระราชดำเนินด้วยพระองค์ ซึ่งนั่นหมายถึงการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ทรงมีพระพลามัยที่แข็งแรง
ไม่มีห้วงเวลาไหนที่คนไทยจะมีความสุขไปมากกว่านี้อีกแล้ว
และถัดจากนั้นเพียงแค่ 2 วันคือ ในวันที่ 24 พฤษภาคม ความปีติสุขของคนไทยก็พุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฉลองพระองค์เชิ้ตแขนสั้นสีชมพู ลายกระต่าย พระสนับเพลาสีกากี รองพระบาทสีดำ เสด็จลงจากอาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช ไปยังท่าน้ำสมาคมศิษย์เก่าแพทย์ศิริราช ในพระบรมราชูปถัมภ์ โรงพยาบาลศิริราช เพื่อทอดพระเนตรระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา สร้างความปลื้มปีติแก่ประชาชนที่ได้มีโอกาสเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเป็นอย่างยิ่ง
หัวใจของคนไทยทั้งประเทศพองโตเมื่อเห็นว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระพลานามัยและพระพักตร์ที่แจ่มใสมากขึ้นเป็นลำดับ ภายหลังจากที่คณะแพทย์ได้ถวายการรักษา เนื่องจากตรวจพบว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีภาวะน้ำไขสันหลังในโพรงพระสมองมากกว่าปกติ ซึ่งอาจเป็นเหตุให้ทรงพระดำเนินไม่มั่นคง ด้วยการใส่สายระบายน้ำไขสันหลังจากช่องพระสันหลังบริเวณบั้นพระองค์หรือบั้นเอวเข้าสู่เข้าพระนาภีหรือช่องท้องเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคมที่ผ่านมา
“อีก 2 เดือน พ่อจะเดินให้ดู” ประโยคสั้นๆ จากพระดำรัสของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี รวมทั้ง “พระพักตร์ที่แจ่มใส” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการเสด็จพระราชพระราชดำเนินครั้งนั้น เสมือนน้ำอมฤตที่ทำให้ปวงประชาชาวไทยผู้มีหัวใจที่จงรักภักดีกลับมามีความอิ่มเอิบอีกครั้งในการเฝ้ารอพระมหากษัตริย์ผู้เป็นที่รักยิ่งกลับมามีพระพลามัยที่แข็งแรงและเป็นมิ่งขวัญของ “ลูกๆ ทั้งแผ่นดิน” สืบไป
ทีฆายุโกโหตุ มหาราชา
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนาน พระพุทธเจ้าข้า