ศูนย์วิจัยกสิกรไทยรวบรวมตัวเลขสินเชื่อเงินฝากของธนาคาร 14 แห่ง ณ สิ้นเดือนเมษายน 2554 มีเงินให้สินเชื่อสุทธิจำนวน 6.76 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.11 หมื่นล้านบาท จาก 6.75 ล้านล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2554 (จากการเพิ่มขึ้นในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่และกลุ่มธนาคารขนาดเล็ก1 ขณะที่สินเชื่อสุทธิของกลุ่มธนาคารขนาดกลางลดลง) ทั้งนี้ สินเชื่อที่เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนด้วยขนาดที่น้อยลง สะท้อนถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากปัจจัยชั่วคราว ทั้งจากเหตุภัยพิบัติในญี่ปุ่น และผลทางด้านฤดูกาลตามจำนวนวันทำการที่มีน้อยในเดือนนี้ อันมีผลต่อความต้องการเบิกใช้สินเชื่อของภาคธุรกิจเอกชน
ด้านยอดเงินฝาก ณ สิ้นเดือนเมษายน 2554 มีจำนวน 6.99 ล้านล้านบาท ลดลง 1.43 หมื่นล้านบาท จาก 7.00 ล้านล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2554 (ตามการลดลงของเงินฝากในกลุ่มธนาคารขนาดกลางและกลุ่มธนาคารขนาดเล็ก ขณะที่เงินฝากของกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ยังคงเพิ่มขึ้น) ด้านตราสารหนี้ที่ออกและเงินกู้ยืมเพิ่มขึ้นอีก 8.18 หมื่นล้านบาท จาก 1.21 ล้านล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2554 มาที่ 1.295 ล้านล้านบาท ทั้งนี้ การลดลงของเงินฝาก และการเพิ่มขึ้นของตราสารหนี้ที่ออกและเงินกู้ยืม คาดว่ายังคงเป็นผลจากการปรับกลยุทธ์การระดมเงินของธนาคารพาณิชย์ ที่ส่วนหนึ่งเป็นไปเพื่อรับมือกับการทยอยลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากที่จะเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2554 นี้
สำหรับแนวโน้มในระยะถัดไปนั้น ภายหลังจากไตรมาส 2 ที่มีปัจจัยหลายด้าน อาทิ ผลกระทบจากสึนามิและโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของญี่ปุ่น ค่าครองชีพที่สูงขึ้น และความไม่แน่นอนของนโยบายรัฐบาลมากระทบให้สินเชื่อเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลง แต่อย่างไรก็ดี หากสถานการณ์ทยอยคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วงครึ่งปีหลัง แรงส่งการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ยังมีอยู่ ประกอบกับกิจกรรมการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ตลอดจนปัจจัยด้านอุปทานจากการขยายสินเชื่อเพื่อให้ได้ตามเป้าหมายของแต่ละธนาคาร ก็น่าจะส่งผลให้ยอดสินเชื่อสุทธิกลับมามีโมเมนตัมที่เร่งขึ้นได้
ด้านการระดมเงินนั้น คาดว่าการแข่งขันที่ยังคงเข้มข้นต่อเนื่องทั้งกับธนาคารพาณิชย์ด้วยกันเองและกับคู่แข่งอื่นๆ รวมทั้งการปรับกลยุทธ์เพื่อเตรียมรับมือกับการทยอยลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นในเดือนสิงหาคม 2554 ผนวกกับวัฏจักรขาขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่น่าจะยังมีความต่อเนื่องไปอีกในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้าเป็นอย่างน้อย คงจะส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ไทยยังมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์เงินออม ทั้งเงินฝากและตั๋วแลกเงินพิเศษที่ให้ผลตอบแทนในระดับที่แข่งขันได้และตอบโจทย์ลูกค้า ในจังหวะที่หนาแน่นสลับกับผ่อนลงบ้างตามฐานะสภาพคล่องของแต่ละธนาคารเป็นหลัก ซึ่งแนวโน้มดังกล่าว ก็น่าจะเป็นผลดีในการช่วยเพิ่มทางเลือกที่ตรงใจให้กับผู้ออมได้มากขึ้น
ด้านยอดเงินฝาก ณ สิ้นเดือนเมษายน 2554 มีจำนวน 6.99 ล้านล้านบาท ลดลง 1.43 หมื่นล้านบาท จาก 7.00 ล้านล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2554 (ตามการลดลงของเงินฝากในกลุ่มธนาคารขนาดกลางและกลุ่มธนาคารขนาดเล็ก ขณะที่เงินฝากของกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ยังคงเพิ่มขึ้น) ด้านตราสารหนี้ที่ออกและเงินกู้ยืมเพิ่มขึ้นอีก 8.18 หมื่นล้านบาท จาก 1.21 ล้านล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2554 มาที่ 1.295 ล้านล้านบาท ทั้งนี้ การลดลงของเงินฝาก และการเพิ่มขึ้นของตราสารหนี้ที่ออกและเงินกู้ยืม คาดว่ายังคงเป็นผลจากการปรับกลยุทธ์การระดมเงินของธนาคารพาณิชย์ ที่ส่วนหนึ่งเป็นไปเพื่อรับมือกับการทยอยลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากที่จะเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2554 นี้
สำหรับแนวโน้มในระยะถัดไปนั้น ภายหลังจากไตรมาส 2 ที่มีปัจจัยหลายด้าน อาทิ ผลกระทบจากสึนามิและโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของญี่ปุ่น ค่าครองชีพที่สูงขึ้น และความไม่แน่นอนของนโยบายรัฐบาลมากระทบให้สินเชื่อเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลง แต่อย่างไรก็ดี หากสถานการณ์ทยอยคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วงครึ่งปีหลัง แรงส่งการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ยังมีอยู่ ประกอบกับกิจกรรมการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ตลอดจนปัจจัยด้านอุปทานจากการขยายสินเชื่อเพื่อให้ได้ตามเป้าหมายของแต่ละธนาคาร ก็น่าจะส่งผลให้ยอดสินเชื่อสุทธิกลับมามีโมเมนตัมที่เร่งขึ้นได้
ด้านการระดมเงินนั้น คาดว่าการแข่งขันที่ยังคงเข้มข้นต่อเนื่องทั้งกับธนาคารพาณิชย์ด้วยกันเองและกับคู่แข่งอื่นๆ รวมทั้งการปรับกลยุทธ์เพื่อเตรียมรับมือกับการทยอยลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นในเดือนสิงหาคม 2554 ผนวกกับวัฏจักรขาขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่น่าจะยังมีความต่อเนื่องไปอีกในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้าเป็นอย่างน้อย คงจะส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ไทยยังมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์เงินออม ทั้งเงินฝากและตั๋วแลกเงินพิเศษที่ให้ผลตอบแทนในระดับที่แข่งขันได้และตอบโจทย์ลูกค้า ในจังหวะที่หนาแน่นสลับกับผ่อนลงบ้างตามฐานะสภาพคล่องของแต่ละธนาคารเป็นหลัก ซึ่งแนวโน้มดังกล่าว ก็น่าจะเป็นผลดีในการช่วยเพิ่มทางเลือกที่ตรงใจให้กับผู้ออมได้มากขึ้น