บลจ.แอสเซทพลัส แนะกลยุทธ์ลงทุนตราสารหนี้ ยังต้องเล่นสั้นๆ รับดอกเบี้ยขาขึ้น ล่าสุด ส่งกองทุน 6 เดือนรองรับ จัดพอร์ตลงทุนหุ้นกู้ชั้นดี พ่วงเงินฝากแบงก์นอก ให้ผลตอบแทน 2.90% ต่อปี
นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ รองกรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แอสเซท พลัส จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ยังอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) น่าจะยังคงให้น้ำหนักการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นมากในปีนี้ หลังจากที่ กนง.ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% จากระดับ 2.50% เป็น 2.75% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ทั้งนี้ สถานการณ์เงินเฟ้อในปีนี้ยังถือเป็นประเด็นที่ต้องจับตามอง จากปัจจัยกดดันจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ อาหาร พลังงาน ที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกระทบต่ออำนาจซื้อและต้นทุนการดำเนินงานของผู้ประกอบการโดยตรง ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ที่ กนง. จะพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีก 0.25% ในการประชุมครั้งถัดไปในเดือน มิถุนายน และคาดว่าปลายปีนี้ อัตราดอกเบี้ยน่าจะอยู่ที่ระดับ 3.5-4.0% และมีโอกาสปรับขึ้นได้อีกในปี 2555 หากทิศทางราคาน้ำมัน และอัตราเงินเฟ้อยังคงสูงอยู่
นายวิน กล่าวว่า ในด้านกลยุทธ์การลงทุนในตราสารหนี้ บริษัทฯ แนะนำให้นักลงทุนลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อไม่ให้เสียโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนสูงขึ้นในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น โดยระหว่างนี้ไปจนถึงวันที่ 11 พฤษภาคม บลจ.แอสเซท พลัส อยู่ระหว่างเสนอขาย IPO กองทุนเปิดแอสเซทพลัสทวีทรัพย์ 1 (ASP-TFIXED1) ซึ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ ที่เปิดเสนอขายเป็นรอบระยะเวลา โดยในรอบการลงทุนแรกนี้ กองทุนจะลงทุนในตราสารหนี้เอกชนไทย และเงินฝากธนาคารต่างประเทศ อายุประมาณ 6 เดือน ได้แก่ ตั๋วแลกเงินของบริษัทเอกชนไทยที่มีฐานะการเงินดี เช่น บมจ.เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ (AP) บมจ. บัตรกรุงไทย (KTC) และบริษัท เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง จำกัด (ASK) ในสัดส่วน 60% ของพอร์ต ส่วนที่เหลือจะพิจารณาลงทุนในเงินฝากธนาคาร Deutsche Bank และ Barclays ในประเทศฮ่องกง ประมาณ 40% ของพอร์ต โดยคาดว่าสามารถให้ผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายได้อยู่ที่ 2.90% ต่อปี
ทั้งนี้ เหตุผลที่บริษัทฯ เลือกลงทุนในเงินฝากของธนาคาร Deutsche Bank และธนาคาร Barclays ในประเทศฮ่องกง เพราะ ทั้ง 2 ธนาคาร เป็นธนาคารที่มีชื่อเสียงระดับโลก มีสถานะการเงินที่มั่นคง สามารถเข้าถึงข้อมูลเพื่อวิเคราะห์ฐานะทางการเงินได้ง่าย ซึ่งปัจจุบันได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ระดับสูงจากสถาบันการจัดอันดับความน่าเชื่อถือนานาชาติ ได้แก่ Moody's ที่ระดับ AA3 S&P ที่ระดับ A+ และ Fitch ที่ระดับ AA- ซึ่งการกระจายสัดส่วนการลงทุนไปยังธนาคารดังกล่าวช่วยให้ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้น และมีระดับความเสี่ยงที่ต่ำ
โดยสัดส่วนที่ลงทุนในต่างประเทศ บริษัทฯ ได้ทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน จึงเชื่อว่า กองทุน ASP-TFIXED1 จะสามารถสร้างโอกาสให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดีตามการปรับตัวของภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นเช่นนี้ได้
นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ รองกรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แอสเซท พลัส จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ยังอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) น่าจะยังคงให้น้ำหนักการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นมากในปีนี้ หลังจากที่ กนง.ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% จากระดับ 2.50% เป็น 2.75% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ทั้งนี้ สถานการณ์เงินเฟ้อในปีนี้ยังถือเป็นประเด็นที่ต้องจับตามอง จากปัจจัยกดดันจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ อาหาร พลังงาน ที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกระทบต่ออำนาจซื้อและต้นทุนการดำเนินงานของผู้ประกอบการโดยตรง ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ที่ กนง. จะพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีก 0.25% ในการประชุมครั้งถัดไปในเดือน มิถุนายน และคาดว่าปลายปีนี้ อัตราดอกเบี้ยน่าจะอยู่ที่ระดับ 3.5-4.0% และมีโอกาสปรับขึ้นได้อีกในปี 2555 หากทิศทางราคาน้ำมัน และอัตราเงินเฟ้อยังคงสูงอยู่
นายวิน กล่าวว่า ในด้านกลยุทธ์การลงทุนในตราสารหนี้ บริษัทฯ แนะนำให้นักลงทุนลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อไม่ให้เสียโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนสูงขึ้นในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น โดยระหว่างนี้ไปจนถึงวันที่ 11 พฤษภาคม บลจ.แอสเซท พลัส อยู่ระหว่างเสนอขาย IPO กองทุนเปิดแอสเซทพลัสทวีทรัพย์ 1 (ASP-TFIXED1) ซึ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ ที่เปิดเสนอขายเป็นรอบระยะเวลา โดยในรอบการลงทุนแรกนี้ กองทุนจะลงทุนในตราสารหนี้เอกชนไทย และเงินฝากธนาคารต่างประเทศ อายุประมาณ 6 เดือน ได้แก่ ตั๋วแลกเงินของบริษัทเอกชนไทยที่มีฐานะการเงินดี เช่น บมจ.เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ (AP) บมจ. บัตรกรุงไทย (KTC) และบริษัท เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง จำกัด (ASK) ในสัดส่วน 60% ของพอร์ต ส่วนที่เหลือจะพิจารณาลงทุนในเงินฝากธนาคาร Deutsche Bank และ Barclays ในประเทศฮ่องกง ประมาณ 40% ของพอร์ต โดยคาดว่าสามารถให้ผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายได้อยู่ที่ 2.90% ต่อปี
ทั้งนี้ เหตุผลที่บริษัทฯ เลือกลงทุนในเงินฝากของธนาคาร Deutsche Bank และธนาคาร Barclays ในประเทศฮ่องกง เพราะ ทั้ง 2 ธนาคาร เป็นธนาคารที่มีชื่อเสียงระดับโลก มีสถานะการเงินที่มั่นคง สามารถเข้าถึงข้อมูลเพื่อวิเคราะห์ฐานะทางการเงินได้ง่าย ซึ่งปัจจุบันได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ระดับสูงจากสถาบันการจัดอันดับความน่าเชื่อถือนานาชาติ ได้แก่ Moody's ที่ระดับ AA3 S&P ที่ระดับ A+ และ Fitch ที่ระดับ AA- ซึ่งการกระจายสัดส่วนการลงทุนไปยังธนาคารดังกล่าวช่วยให้ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้น และมีระดับความเสี่ยงที่ต่ำ
โดยสัดส่วนที่ลงทุนในต่างประเทศ บริษัทฯ ได้ทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน จึงเชื่อว่า กองทุน ASP-TFIXED1 จะสามารถสร้างโอกาสให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดีตามการปรับตัวของภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นเช่นนี้ได้