บลจ.ไอเอ็นจี แนะนักลงทุนพักเงินในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น 3 เดือน รอจังหวะให้อัตราดอกเบี้ยสูงกว่านี้ ล่าสุดส่งกองทุน "ไอเอ็นจี ไทย ตราสารหนี้ระยะสั้น 3M6" เลือกลงทุน 3 เดือน ขณะที่บลจ.ธนชาต คาดเห็นดอกเบี้ยR/P แตะ3.00 - 3.50% ภายในสิ้นปีนี้ พร้อมส่งกองทุน"ธนชาตตราสารหนี้ 11" ลงทุน 12 เดือน เปิดขายไอพีโอแล้วตั้งแต่วันนี้ถึง 27 เมษายน 2554
นายต่อ อินทวิวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายธุรกิจกองทุนและที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น เป็นกองทุนที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนมาโดยตลอด เนื่องจากเหมาะสำหรับการพักเงินระยะสั้น เพื่อรอจังหวะในการกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์อื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยกำลังอยู่ในทิศทางขาขึ้น หลังจากที่คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2554 อีก 0.25% จากระดับ 2.50% สู่ระดับ 2.75% เนื่องจากได้รับแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อที่ขยับสูงขึ้น และคาดว่าจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป
อย่างไรก็ตาม เรายังมองทิศทางการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยว่าจะมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป และมีระยะเวลาในการปรับขึ้นอีกระยะหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนควรหาแหล่งพักเงินระยะสั้นๆ เพื่อรอจังหวะกลับเข้าไปในช่วงที่ดอกเบี้ยสูงกว่านี้ ดังนั้น กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นเป็นทางเลือกที่น่าสนใจของนักลงทุน เพราะนักลงทุนสามารถลดความผันผวนด้วยการรับผลตอบแทนที่แน่นอนในช่วง 3 เดือน อีกทั้งผลตอบแทนก็ยังสูงกว่าเงินฝากธนาคารพาณิชย์ในระยะเวลาเดียวกันอีกด้วย
โดยในระหว่างวันที่ 19-25 เมษายน 2554 บลจ.ไอเอ็นจี อยู่ระหว่างการเสนอขาย กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ตราสารหนี้ระยะสั้น 3M6 (ING Thai SF 3M6 Fund) ให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก ซึ่งกองทุนดังกล่าวมีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐและเอกชน ที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment grade) จากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ได้รับการยอมรับจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยมีอายุการลงทุนเฉลี่ยประมาณ 3 เดือน
ขณะที่รายงานข่าวจากบลจ.ธนชาต ระบุว่า ภาวะการลงทุนในตลาดตราสารหนี้และอัตราผลตอบแทนนั้น ยังคงได้รับแรงกดดันจากสภาวะเงินเฟ้อที่ยังปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจโดยรวม ปัจจัยทางด้านราคาน้ำมันและราคาสินค้าที่อยู่ในระดับสูง โดยในการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (กนง.) รอบที่ 3 ของปีเมื่อวันที่ 20 เมษายน ได้มีมติปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรืออัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน ขึ้นอีกร้อยละ 0.25 มาที่ระดับ 2.75 เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยให้สัญญาณว่าสภาวะเงินเฟ้อยังคงเป็นปัจจัยสำคัญต่อการกำหนดทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งต่อไป นักลงทุนคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายน่าจะปรับขึ้นไปอยู่ที่ 3.00 - 3.50% ภายในสิ้นปีนี้ และส่วนใหญ่จะปรับลดอายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ที่ลงทุน (Duration) ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น
อย่างไรก็ดี สภาพคล่องทางการเงินยังคงมีอยู่มาก จากเม็ดเงินต่างชาติที่ไหลเข้ามาลงทุนในประเทศในช่วงนี้ และเงินกองทุนต่างประเทศ เช่น กองทุนพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีที่ครบกำหนด ทำให้มีความต้องการลงทุนโดยเฉพาะในพันธบัตรระยะสั้น ๆ อยู่ โดยกองทุนที่จะทยอยออกในช่วงต่อ ๆ ไป ก็จะมีการปรับกลยุทธ์ ไปตามสภาพตลาดเพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ลงทุน
นอกจากนี้บริษัทจะเสนอขายกองทุนเปิดธนชาตตราสารหนี้ 11 (TFIX11) อายุโครงการประมาณ 12 เดือน มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ลงทุนขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท เสนอขายเพียงครั้งเดียว (IPO) ระหว่างวันที่ 21-27 เมษายน 2554 โดยกองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในตราสารแห่งหนี้ภาครัฐและหรือภาคเอกชน ที่มีคุณภาพ มีความสามารถในการชำระดอกเบี้ยหรือเงินต้นสูง และเงินฝาก เป็นต้น กองทุนดังกล่าวเป็นทางเลือกในการลงทุนให้กับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะสั้น