xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ยุทธศาสตร์ของ”ยิ่งลักษณ์” (ยิ่งชัง)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ทันทีที่ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” กลายเป็นเบอร์หนึ่งของผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ทำให้น้องสาวทักษิณคนนี้ ถูกคาดหมายว่า จะกลายเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของเมืองไทย
แต่หลายฝ่ายกลับไม่คิดเช่นนั้น

บางคนกลับวิจารณ์ว่า นี่คือไพ่ใบสุดท้ายของ ทักษิณ ชินวัตร

ตรงกันข้ามกับอีกฟากหนึ่งเชื่อว่า ยิ่งลักษณ์ ไม่ใช่ไพ่ใบสุดท้ายของทักษิณ แต่กลับเป็น “ตัวช่วย” ที่เหลืออยู่เท่านั้น

ยิ่งลักษณ์ จะอยู่ในสถานะใดในทางการเมืองของทักษิณ แต่ข้อเท็จจริงที่เห็นชัดเจนที่สุดก็คือ “ระบบครอบครัว ในพรรคเพื่อไทย”

นั่นหมายความว่า พรรคเพื่อไทยก็คือสมบัติส่วนตัวของชินวัตร คนอื่นเป็นเพียงลูกจ้างเท่านั้น
จะเป็นลูกจ้างชั่วคราว ลูกจ้างถาวร หรือลูกจ้างระดับบริหาร ก็ขึ้นอยู่กับ “ความพอใจของเจ้านาย”

ที่สำคัญลูกจ้างเหล่านี้ จะต้องทำงานให้นายจ้างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อรับรางวัลในภายหลัง

ดังนั้น “ยิ่งลักษณ์” เจ้าของพรรคคนหนึ่งก็ต้องเข้ามาบริหารพรรคเพื่อไทยแทนที่พี่ชาย

รวมทั้งต้องบริหารเงินเลือกตั้งปี 2554

การส่ง “ยิ่งลักษณ์” เข้ารับหน้าที่หัวขบวนพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่เพียงแค่บ่งบอกยุทธศาสตร์ของทักษิณ แต่บ่งบอกถึงสถานะของนักโทษรายนี้ด้วย

ยุทธศาตร์ของทักษิณ ไม่ใช่การปรองดองเหมือนที่ยิ่งลักษณ์ประกาศไว้

ตรงกันข้าม ยิ่งลักษณ์จะกลายเป็นตัวดึงคะแนนเสียงในพื้นที่ภาคเหนือ และอีสานให้พรรคเพื่อไทยอย่างเด็ดขาด

โดยไม่แคร์จำนวนที่นั่งในกทม. 33 เก้าอี้

ตามแผนที่ทางการเมืองนั้น ยิ่งลักษณ์ วางแผนเปิดปราศรัยใหญ่ครั้งแรกที่ จ.เชียงใหม่ บ้านเกิด ในวันที่ 21 พ.ค.นี้ โดยจะเดินทางไปกราบไหว้กระดูกของพ่อแม่และบรรพบุรุษตระกูลชินวัตร ที่วัดโรงธรรมสามัคคี อ.สันกำแพงเพื่อความเป็นสิริมงคลในการเริ่มงานการเมืองอย่างเต็มตัว

ตอกย้ำความเป็นเมืองหลวงของเชียงใหม่ ในสายตาของพรรคเพื่อไทย

นอกจากนั้นยิ่งลักษณ์ได้ลาออกจาก บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น ทุกตำแหน่งทั้งตำแหน่ง กรรมการและประธานกรรมการบริหาร กรรมการบรรษัทภิบาล และความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม/กรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัท และรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร

โดยมีการคาดการณ์ว่า น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มานั่งเป็นประธานกรรมการบริหารเอสซีฯ แทน หลังจากเข้ามาศึกษาดูงานภายในบริษัทมาเป็นระยะเวลา 1 ปีเศษ

ภายหลังพรรคเพื่อไทยลงมติเลือกยิ่งลักษณ์ ตามพิธีกรรม น้องสาวทักษิณรายนี้ บอกกับสมาชิกว่า

“ เป็นสัญญาณที่จะบอกว่าพรรคเพื่อไทยไม่คิดแก้แค้น แต่จะแก้ไข ไม่ต้องห่วงว่าเป็นผู้หญิงก็ทำงานเต็มที่ ใช้ความเป็นผู้หญิงนำทุกฝ่ายเข้าสู่ความปรองดอง เป้าหมาย คือให้ประเทศเดินไปข้างหน้า ขอโอกาสให้ดิฉันพิสูจน์ต่อสมาชิกพรรคเพื่อไทย เหมือนที่ทุกท่านเคยให้ความไว้วางใจพี่ชายดิฉันมาแล้ว”

อันที่จริง ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้มาคนเดียวแต่มาพร้อม เยาวภา เยาวเรศ พายัพ และ พจมาน เพื่อให้ชื่อของครอบครัวชินวัตร ถูกส่งตรงไปยังกลุ่มเสื้อแดงในต่างจังหวัดโดยตรง

“ อยากเห็นประเทศมองข้ามความขัดแย้งแล้วเดินไปข้างหน้าด้วยกัน และอยากเห็นความสามัคคีปรองดองในชาติ เพื่อเป็นการส่งสัญญาณว่า พรรคพร้อมสร้างความปรองดอง ไม่คิดแก้แค้น แต่จะแก้ไข รวมถึงการสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้ประชาชน” ยิ่งลักษณ์ ตอกย้ำถึงความพยายามแก้ไข แต่ไม่ใช่แก้แค้น

แต่ใม่มีใครเชื่อ

ตรงกันข้าม ทุกคนกลับเชื่อว่า ยิ่งลักษณ์ และพี่น้องชินวัตร “ไม่อาฆาต ไม่โกรธ ไม่เกลียด แต่จำแม่น” 

นั่นจึงทำให้ จุดอ่อนที่สำคัญของยิ่งลักษณ์ ถูกซักตั้งแต่วันแรกที่ประกาศตัว ซึ่งก็คือ การนิรโทษกรรมทักษิณ และประสบการณ์ทางการเมือง

“ประสบการณ์ที่ผ่านมาไม่ได้ห่างไกลจากวงการเมือง เข้าใจการเมือง เป็นผู้หญิงซึ่งมีความสามารถในการประสานประโยชน์ได้ พร้อมที่จะเปิดเจรจากับทุกฝ่ายเพื่อผลประโยชน์ของประเทศให้เจริญก้าวหน้า พร้อมจะรับการพิสูจน์จากสาธารณชน ภายใต้กติกามารยาทที่เป็นธรรม” น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตอบคำถามเรื่องที่เธอไม่มีประสบการณ์ทางการเมือง

ยิ่งลักษณ์ ยังอธิบายถึงการนิรโทษกรรมทักษิณว่า “ไม่อยากให้มองอย่างนั้น ประเทศไทยยึดหลักนิติธรรม การทำอะไรนั้นเชื่อว่า พรรคคงไม่อนุญาตให้ทำอะไรเพื่อคนคนเดียว แต่ต้องคำนึงถึงความเสมอภาค และสิทธิเสรีภาพของทุกคนที่อาสามาทำงาน ต้องเห็นแก่ประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง และยังเร็วเกินไปที่จะพูดเรื่องนี้ อันดับแรกต้องให้ประชาชนไปเลือกตั้งก่อน ”

การทำหน้าที่บริหาร “เงินเลือกตั้งของพรรค” นั้น ทำให้ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ระบบเขตทั่วประเทศ 375 คน เดินออกจากพรรคเพื่อไทยพร้อมกระเป๋าสีดำคนละใบ และซองสีน้ำตาลขนาดใหญ่แนบติดลำตัว ซึ่งได้รับการเปิดเผยว่า ภายในกระเป๋า และซองดังกล่าวบรรจุเงินค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งคนละ 1 ล้านบาท ภายในการประสานจากคนสนิทของยิ่งลักษณ์ “นายสาโรช หงษ์ชูเวทย์”

คนที่เข้าใจ “ธาตุแท้” ของครอบครัวชินวัตร มากคนหนึ่งอย่าง “บรรหาร ศิลปอาชา” ยังไม่เชื่อความคิด “ไม่แก้แค้น”

“ ทุกฝ่ายต้องการอยู่แล้วในเรื่องที่ไม่แก้แค้น แต่ให้แก้ไขปัญหาของบ้านเมือง แต่ตัวท่านคงไม่แก้แค้น แต่ฝ่ายอื่น ๆ ก็ตอบไม่ได้ แต่ถ้าทุกฝ่ายไม่แก้แค้น ลืมกันทั้งหมดมันก็ดี บ้านเมืองจะได้ดีขึ้น แต่ต้องทุกคน” บรรหารอธิบายความเชื่อส่วนตัว

ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา “คุณยิ่งลักษณ์ลงปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 ของพรรคเพื่อไทย จะเป็นนายกฯ หรือเปล่า วันนี้ยังไม่มีใครตอบได้ อาจจะไม่ได้เป็นก็ได้ อาจจะให้คนอื่นเป็นก็ได้ ยังไม่มีใครตอบได้”

แต่จะมีอกาสที่ประเทศไทยจะมีนารีขี่ม้าขาว หลังการเลือกตั้งครั้งนี้หรือไม่ นายบรรหาร บอกว่า “นารีขี่ม้าขาวดี แต่อย่าให้นารีตกม้าขาว แต่ถ้าเป็นม้าสีหมอกตนคงต้องขี่เอง จะให้คนอื่นขี่คงไม่ได้”

นั่นจึงทำให้บรรหาร คิดจะส่ง ลูกสาวเป็นหัวหน้าพรรคในอนาคตอีก 5 ปีข้างหน้า

นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อธิบายได้ถูกจุดว่า “อย่าไปกลัวเงาของ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่าไปกลัวกับเหตุการณ์ที่ไม่เกิดขึ้น ขอให้เชื่อในพลังของประชาชนที่จะชี้นำประเทศได้ดีกว่าพรรคการเมือง”
 

ที่สำคัญ พรรคเพื่อไทย ภายใต้การนำของยิ่งลักษณ์ ไม่ให้ค่าคนชั้นกลางในเมือง โดยเฉพาะกรุงเทพฯ

ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เพื่อไทย จะจัดแกนนำก่อการร้ายเผากรุงเทพฯ ลงสมัครบัญชีรายชื่อในลำดับต้นๆ

ท้าทายความรู้สึกของคนกรุงเทพฯ

อยากจะเลือกก็เลือก ถ้าไม่เลือกก็อย่าดันมาเลือก...อะไรทำนองนั้น

ผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย มีชื่อแกนนำ นปช. 10 คน ทั้ง จตุพร พรหมพันธุ์ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นพ.เหวง โตจิราการ นายก่อแก้ว พิกุลทอง, นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย, นายชินวัฒน์ หาบุญพาด, นายประแสง มงคลศิริ, นายพายัพ ปั้นเกตุ, นางอุดมรัตน์ อาภรรัตน์ และ ภรรยาของอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง ที่จะลงแทนนายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก เพราะติดขัดเรื่องคุณสมบัติ

ขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดรฯ เปิดเผยว่า พรรคเพื่อไทย ได้ให้โควตาแกนนำคนเสื้อแดงลงสมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อทั้งหมด 10 คน โดยแกนนำคนเสื้อแดงจะได้ลำดับท็อป 2 คนคือ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ

แสดงถึงการไม่ยี่หระกระแสคนเมืองอย่างชัดเจน

เพราะเต็มไปด้วยคนที่มีคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ผู้ก่อการร้าย และคนพูดไม่รู้เรื่อง

หลายคนเชี่อว่า กระแสคนในกรุงเทพฯ อาจจะทำให้ประชาธิปัตย์สามารถครองเก้าอี้ในกทม. เกือบครบ 33 เขต มากกว่าคะแนนเดิมที่ได้ 30 เก้าอี้

แม้ว่า อภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้อำนวยการศูนย์การเลือกตั้ง ส.ส.ภาค กทม. พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) จะยอมรับว่า ในพื้นที่ กทม.มีอยู่ 6 เขตที่ ปชป.เจองานหนักได้แก่ มีนบุรี สายไหม ลาดกระบัง ดอนเมือง บางเขน และบางกะปิ

เขตเลือกตั้งที่ 12 ได้แก่ เขตดอนเมือง (ยกเว้นเขตสนามบิน) นายแทนคุณ จิตต์อิสระ (ปชป.)  และนายการุณ โหสกุล (พท.) เนื่อง จาก แทนคุณ ต้องต่อสู้กับ “ไอ้เก่ง” การุณ แกนนำคนเสื้อแดงเจ้าของพื้นที่เดิม

เขตเลือกตั้งที่ 13 ได้แก่ เขตสายไหม นายก้องศักดิ์ ยอดมณี (ปชป.)  และน.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ( พท.)

เขตเลือกตั้งที่ 14 ได้แก่ เขตบางเขน นายวิทเยน มุตตามระ (ปชป.)  และ นายอนุสรณ์ ปั้นทอง ( พท.)

เขตเลือกตั้งที่17 ได้แก่ เขตมีนบุรี นายชาญวิทย์ วิภูศิริ ( ปชป. ) และนายวิชาญ มีนชัยนันท์ (พท.)

ทั้ง 4 เขตนี้ พรรคเพื่อไทยเป็นแชมป์เก่า ที่จะต้องรักษาเก้าอี้แบบหนักหนาสาหัสเอาการ
เขตเลือกตั้งที่ 15 ได้แก่ เขตบางกะปิ    เขต 15 นายณัฐ บรรทัดฐาน  ( ปชป. ) และนายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ ( พท. ) โดยประชาธิปัตย์มีความได้เปรียบจากที่มี ส.ก.-ส.ข. ทั้ง 10 คนในพื้นที่อยู่ในสังกัด แต่เสียเปรียบฝ่ายหลังที่ชื่อคุ้นหูชาวบ้านมากกว่า

เขตเลือกตั้งที่ 20 ได้แก่ เขตลาดกระบัง  นายมงคล กิมสูนจัน (ปชป.) และนายธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ (พท.) ถือว่าเป็นแข่งที่แข่งกันมันส์หยด เพราะนามสกุลดัง ’กิมสูนจันทร์“ ที่ไม่เคยสอบตก ค่ายเข้าประชาธิปัตย์ น่าจะแข่งกับ “สำเร็จวาณิชย์“ ซึ่งมีพื้นฐานมาจาก สก.มาก่อน

นี่คือ 4 เขต ที่ประชาธิปัตย์ยังไม่ค่อยมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์

ต่างกับ 29 เขตที่เหลือ...นั่นจึงทำให้พรรคเพื่อไทย จะวางยุทธศาสตร์ไว้ที่ภาคเหนือ และอีสาน เป็นสำคัญ
กำลังโหลดความคิดเห็น