ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - แนวโน้มการเลือกตั้งยังคงไม่มีภาพเบ็ดเสร็จ นั่นคือพรรคการเมืองใดพรรคหนึ่งชนะการเลือกตั้งเกินกว่าครึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนฯ หรือมากกว่า 250 เสียง
ที่สำคัญกว่านั้น การเลือกตั้งที่ใกล้จะมีขึ้น มีทางเลือกใหม่ๆ เกิดขึ้น นอกเหนือจากการใช้สิทธิ์เลือกพรรคการเมือง
กล่าวคือ มีทั้งการใช้สิทธิ์ โหวตโน และไม่ใช้สิทธิ์เลือกตั้ง
สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง สำรวจทิศทางการตัดสินใจเลือกตั้งของประชาชนต่อพรรคการเมือง และความห่วงต่อสถานการณ์การเมืองภายหลังการเลือกตั้ง กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปใน 17 จังหวัดของประเทศ พบว่า ประชาชน 52.4 % ไม่คอยมีความหวัง และไม่มีความหวังเลยว่าจะได้รัฐบาลที่ดีขึ้นหลังเลือกตั้ง ขณะที่ 47.6 % ค่อนข้างมีความห่วง ถึงมีความห่วงมากที่สุด
นั่นหมายความว่า คนไทยไม่มีความรู้สึกอยากไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง
ประชาชนส่วนใหญ่หรือ 65.6 % ตั้งใจจะไปเลือกตั้ง ขณะที่ 24.0 % ระบุว่า จะไม่ไปเลือกตั้ง และ 10.4 % ยังไม่แน่ใจ
โดยประชาชน 58.1 % คิดว่า การเลือกตั้งน่าจะแข่งขันกันหลายๆ พรรค เพราะจะได้มีให้เลือกหลายพรรค เปิดโอกาสให้พรรคการเมืองอื่นๆได้แสดงความสามารถในการบริหารประเทศ นอกจากนี้พบว่ามีเพียง 7.1 % เท่านั้น ที่ตั้งใจจะกาช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน
ทั้งนี้ประชาชน 51.9 % ระบุจะยังเลือกพรรคการเมืองเดิม ในขณะที่ 42.6 % ระบุว่ายังไม่ตัดสินใจ และ 6.5 % จะเปลี่ยนใจไปเลือกพรรคการเมืองอื่น ที่ต่างไปจากการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว
แสดงว่า คนไทยส่วนใหญ่จะไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง และเลือกพรรคการเมืองเดิมพอๆ กับการเปลี่ยนแปลง และความลังเล
นั่นจึงทำให้มีโอกาสสูงที่ ส.ส.หน้าเดิม จะสอบตก หากผลการสำรวจดังกล่าวใกล้เคียงกับความจริง และไม่มีเปลี่ยนแปลงจนกว่าจะถึงวันเลือกตั้ง !!
โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ที่มี ส.ส.ได้ 33 คน
ประชาธิปัตย์ เจ้าของพื้นที่ทั้งในส่วนของการเมืองสนามใหญ่ และการเมืองสนามเล็ก คาดหวังกวาดทั้ง 33 ที่นั่ง
โดยพุ่งเป้าไปเขตเลือกตั้งสำคัญอย่างน้อย 3 เขต ที่จะต้องเปลี่ยนแปลงให้ได้ นั่นคือ
เขตเลือกตั้งที่ 12 เขตดอนเมือง ( ยกเว้นเขตสนามบิน ) พรรคส่ง นายแทนคุณ จิตต์อิสระ โฆษกกระทรวงวัฒนธรรม ลงสมัคร เพื่อเขี่ย “ไอ้เก่ง” การุณ โหสกุล พ้นวงจรเขตดอนเมือง ให้เดินเข้าคุกแทน
เขตเลือกตั้งที่ 20 เขตลาดกระบัง พรรคส่ง ตัวแทนของนายมงคล กิมสูนจันทร์ ลงสมัคร เจ้าของพื้นที่ที่แข็งแกร่งมาก ถือเป็นส.ส.ประจำเขตนี้ของพรรคประชากรไทยในอดีต ซึ่งยืนกันคนละฝั่งกับ “วิชาญ มีนชัยนันท์” ส.ส.กทม. ในฐานะประธานภาค กทม. ของพรรคเพื่อไทย
เขตเลือกตั้งที่ 28 เขตบางบอน และหนองแขม ( เฉพาะแขวงหนองแขม ) พรรคส่ง พ.ต.อ.นพ.สามารถ ม่วงศิริ ลงสมัคร นามสกุล ม่วงศิริ ของ ”ผู้ใหญ่เล็ก” สากล ม่วงศิริ อดีต ส.ส.ประจำเขตนี้ของพรรคประชากรไทยที่ไม่เคยสอบตก ไม่ว่าสถานการณ์การเมืองจะเป็นเช่นไร ถูกส่งมาเพื่อ “ฆ่าลูกวัน” ของ เฉลิม อยู่บำรุง โดยเฉพาะ
นั่นคือ 3 เขตเลือกตั้ง ที่เป็นไฮไลท์ ของการเลือกตั้งครั้งในกรุงเทพฯ ที่ยังมีความเสี่ยงอยู่ เพราะเขตเลือกตั้งที่เหลืออีก 30 เขต ขึ้นอยู่กับทำคะแนนของประชาธิปัตย์ ให้ชนะเท่าไหร่แค่นั้นเอง
ด้วยทีมงานในพื้นที่และแกนนำชุมชนที่ยกมือสนับสนุนประชาธิปัตย์ จึงทำให้โอกาสของพรรคการเมืองอื่นเป็นไปได้ยาก
โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย ที่เคยเปิดตัว เช่น ดร.ลีลาวดี วัชโรบล มล.ณัฎฐพล เทวกุล นายสุรชาติ เทียนทอง ( เขตหลักสี่ ) ดร.ภูวนิดา คุนผลิน นายภัทรศักดิ์ โอสถานุเคราะห์ ( เขตประเวศ ) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ( เขตคลองสามวา ) ดร.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ นายมานะ คงวุฒิปัญญา และร.ท.หญิง สุนิสา เลิศภควัต ( เขตบางแค )
โอกาสชนะขาด ยิ่งมีมาก
“วิชาญ มีนชัยนันท์” ถูกหมายหัวในฐานะคนเสื้อแดง ที่สร้างเรื่องปรุงแต่งในสภา และพ่ายแพ้เกมการเมืองต่อ เฉลิม อยู่บำรุง จนสามารถส่งลูกชาย วัน อยู่บำรุง ลงสมัคร ส.ส.
ทั้งๆ ที่บอกกับนักข่าวครั้งแล้วครั้งเล่าว่า ไม่ได้ต้องการให้ลูกสมัคร ส.ส.
การทำหน้าที่ตัวตั้งตัวตีของ นปช. ทำให้ “วิชาญ” ถูกเชื่อว่า เกี่ยวข้องกับคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งดีเอสไอกำลังดำเนินคดีอยู่
ทั้งนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ขอให้อัยการยื่นคำร้องต่อศาลอาญา เพื่อมีคำสั่งเพิกถอนการประกันตัวของ “ไอ้ตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ( นปช. ) กับพวกรวม 9 คน ซึ่งเป็นจำเลยในคดีร่วมกันก่อการร้าย ที่ ศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว กระทำผิดเงื่อนไขประกันตัว โดยขึ้นปราศรัยบนเวทีการชุมนุมของกลุ่มนปช. เมื่อวันที่ 7 และ 10 เม.ย. ที่ผ่านมา อันเป็นการกระทำผิดตาม ป.อาญา มาตรา 112 ฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท
หากใครได้ฟังประเด็นที่"ไอ้ตู่ " พูดบนเวทีเกี่ยวกับ " พ่อของแผ่นดิน และแม่ของแผ่นดิน" รวมทั้งความประสงค์จะไปออกรายการ “วู้ดดี้ เกิดมาคุย”
จะพบความเลวของแดงสามานย์กลุ่มนี้จริงๆ
“รุจ เขื่อนสุวรรณ” อัยการพิเศษ ฝ่ายคดีพิเศษ 1 บอกกับนักข่าวถึงความคืบหน้าการพิจารณาคำร้องถอนประกันของดีเอสไอว่า ได้ตรวจสอบข้อความการถอดเทปเทียบเปรียบเทียบกับเทปบันทึกภาพ และเสียงคำปราศรัยของแกนนำนปช. ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ร่วมกับ พ.ต.ท.ถวัล มั่งคั่ง ผอ.สำนักคดีอาญาพิเศษ 2 แล้วพบว่า บางช่วงถูกดูดทำให้เสียงตกหล่นไป และเอกสารการถอดเทปยังมีคำพูดตกหล่นจากเทปเสียงบางตอน ซึ่งเป็นสาระสำคัญ ทำให้ประโยคข้อความไม่ต่อเนื่อง ซึ่งหากข้อความตกหล่น อาจทำให้ความหมายของคำพูดเปลี่ยนไปได้ จึงให้ ดีเอสไอ กลับไปแก้ไขการถอดเทปให้ได้ข้อความครบถ้วนก่อน แล้วจึงจะสามารถพิจารณาได้ว่า ผู้พูดมีเจตนาอย่างไร
สำหรับ แกนนำ นปช. 9 คน ที่ถูกร้องให้ถอนประกัน ประกอบด้วย นายจตุพร พรหมพันธุ์, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ , นพ.เหวง โตจิราการ , นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก , นายก่อแก้ว พิกุลทอง , นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ , นายนิสิต สินธุไพร , นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย และนายขวัญไชย ไพรพนา ซึ่งขึ้นปราศรัยบนเวทีการชุมนุมของกลุ่ม นปช. เมื่อวันที่ 10 เม.ย. ที่ผ่านมา อันเป็นการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ฐานหมิ่นสถาบัน และมาตรา 116 ฐานยุยง ปลุกปั่นให้มีการล่วงละเมิดกฎหมาย
ไอ้ตู่ รู้ตัวคำพูดที่แสดงความเหิมเกริม และกร่าง เสมือนหนึ่งกฎหมายไม่สามารถทำอะไรได้ เป็นคำพูดที่ฆ่าตัวเอง ทำให้เกิดกระแสข่าว ไอ้ตู่ จะหนีไปเป็นนักเรียนนอก เหมือน “ไอ้กี้ร์” อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง ที่สำคัญยังส่งผลกระทบต่อพรรคเพื่อไทย จนกลายเป็นพรรคที่มีส่วนเชื่อมโยงล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะส.ส.ของพรรคกำลังถูกดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ไอ้ตู่ ยังเข้าใจดีว่า คนทั้งพรรคเพื่อไทยรังเกียจ และไม่ปรารถนาจะร่วมสังฆกรรมกับคนเสื้อแดง เขาจึงวิจารณ์พรรคเพื่อไทยอย่างรุนแรงว่า “เขา ( คนเสื้อแดง ) จะไม่เป็นอุปสรรคต่อการเลือกตั้ง ขอร้องพรรคเพื่อไทยว่า อย่ามองคนเสื้อแดงเป็นปัญหาอุปสรรค พรรคเพื่อไทยอยู่ได้ก็เพราะมีคนเสื้อแดง”
ไอ้ตู่ แกนนำเสื้อแดง ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ทวงบุญคุณพรรคเพื่อไทยอย่างไม่อายกำพืดตัวเอง
“มีแต่นักการเมืองหน้าโง่ และนักเลือกตั้งที่เห็นแก่ตัว ที่มองประชาชนอย่างนี้ เสื้อแดงเขาเป็นปัญญาชน รู้มากกว่าคุณอีก เราอย่าไปหลงกลเขาที่พยายามเอาจุดแข็งของเราออก ด้วยข้อเสนอให้แยกเสื้อแดงออกจากพรรค เราแยกกันไม่ได้ ตรงกันข้าม ถ้าเสื้อแดงไปปราศรัยที่ไหน ที่นั่นชนะแน่ๆ" ไอ้ตู่ วิจารณ์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย พรรคที่คนไม่มีหัวนอนปลายเท้าได้อาศัยคะแนนเสียงของคนอื่นขึ้นมาเป็นส.ส. และกำลังเตรียมเสวยสุขบนซากศพผู้อื่น
ถ้าเสื้อแดงเป็นจุดแข็งจริง และปราศัยที่ไหนชนะเลือกตั้งที่นั่น ไอ้ตู่ ก็น่าลงสมัครส.ส.แบบระบบเขต เลือกตั้ง
เพื่อพิสูจน์ว่า มีประชาชนเชื่อมั่นในพฤติกรรมของ จตุพร
ในเบื้องต้น พรรคเพื่อไทย กางรายชื่อตามคำสั่งเจ้าของพรรคแล้ว ให้แกนนำคนเสื้อแดงแสดงความจำนงลงสมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ มีทั้งหมด 12 คน ประกอบด้วย 1. นายจตุพร พรหมพันธุ์ 2. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ 3. นายก่อแก้ว พิกุลทอง 4. นายวรวุฒิ วิชัยดิษฐ์ 5. นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก 6. พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์ 7. นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย 8. นายชินวัตร หาบุญพาด 9. นายธนฤกต ชะเอมน้อย หรือ วันชนะ เกิดดี นักร้องลูกทุ่ง 10. นางอุดมรัตน์ อาภรณ์รัตน์ ภรรยาของ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ 11. นายสมชาย ใจมุ่ง หรือ รังษี เสรีชัย นักร้องลูกทุ่ง และ 12. นายสมหวัง อัศราษี
ทั้ง 12 คน อาศัยซุกใต้กางเกงคนอื่น เพื่อเป็นส.ส.ทั้งสิ้น
ไม่มีใครมีฐานเสียงจากประชาชนในพื้นที่สักคนเดียว
ไอ้กระเต็น ใช้เสื้อแดงข่มขู่นักการเมืองว่า “หากพรรคที่ได้รับเลือกตั้งอันดับที่ 1 ไม่ได้ตั้งรัฐบาลประชาชนก็อาจจะสรุปเอาเองได้ว่า ผู้มีอำนาจของประเทศนี้ไม่ฟังเสียงของประชาชน และสถานการณ์อาจจะบานปลายเมื่อไรก็ได้”
“สถานการณ์อาจจะบานปลาย” หมายความว่า จะมีการเผาเมืองไทยอีกครั้งหรือ ??
ผลในทางลบของมี “ ผู้ถูกดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ” ในพรรคเพื่อไทย ทำให้การเปิดนโยบายพรรค และการเปิดตัวผู้สมัครที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต เมื่อวันที่ 23 เม.ย. ที่ผ่านมา “กร่อย” ไปถนัด สังคมไม่ได้ให้ความสำคัญมากกว่า การโชว์วาทะศิลป์ ของทักษิณ ชินวัตร เท่านั้น
เป็นที่น่าสังเกตว่า กลุ่มคนที่มีกระแสข่าวจะย้ายพรรค และไม่มีชื่อในวันเปิดตัวนโยบาย และผู้สมัครพรรค ต่างไม่ได้เดินทางมาในครั้งนี้ เช่น นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์, นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.สัดส่วน, นายสุพล ฟองงาม ส.ส.อุบลราชธานี เป็นต้น
ต่างกับเฉลิม ที่สามารถสามารถผลกดันให้ลูกชายลงสมัคร ส.ส.เขตพรรคเพื่อไทยได้
ทั้งนี้ มีความเคลื่อนไหวจาก ส.ส.กลุ่มนายมิ่งขวัญ ที่จะแยกตัวไปตั้งพรรคใหม่ ร่วมกับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และ นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช ทำให้ทักษิณได้ตัดสินใจใช้มาตรการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม และเชือดไก่ให้ลิงดู โดยไม่ให้ลงสมัคร ส.ส.ในนามพรรค เช่น สุพล ฟองงาม ส.ส.อุบลราชธานี และ ชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.สัดส่วน
3 คน " ชวลิต-มิ่งขวัญ-เสนาะ" เตรียมตั้งพรรคการเมืองโดยอาจจะมี ส.ส.ย้ายออกจากพรรคเพื่อไทย ประมาณ 10 กว่าคน ซึ่งเป็นส.ส.กลุ่มพรรคความหวังใหม่เดิม
พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย กลุ่มโคราช ตอบโต้มาตรการของทักษิณ และคำพูดของไอ้ตู่ว่า "ใครจะย้ายไปพรรคไหนนั้น ต้องรอให้ปี่กลองเลือกตั้งใกล้ตีระฆังก่อน ต่างคนต้องดูอนาคตของตัวเอง เมื่อถึงช่วงนั้นหากมีการใช้มาตรการอะไรมาจัดการกับ ส.ส. ก็คงไม่มีใครกลัวใคร"
ส.ส.โคราชผู้นี้ยังขยายความอีกว่า วันนี้พรรคไม่ได้มีมิตรทางการเมืองมาก การจัดงานระดมทุนของทุกพรรคในช่วงที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทย ไม่เคยส่งตัวแทนไปร่วมแสดงความยินดี หากทำแบบนี้ เราก็คงจะกลับไปเป็นฝ่ายค้านอีก วันนี้พรรคต้องแยกให้ออก ระหว่างพรรคเพื่อไทยกับคนเสื้อแดง มันต้องเด็ดขาด ถ้าไม่แยก ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
นั่นหมายความว่า ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นกับผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อไทย ระบบเขตสูงมาก แต่ผลตอบแทนที่ได้รับ กลับต่ำกว่าคาดการณ์
โดยเฉพาะเมื่อ 30 ล้านเสียง ต้องการเปลี่ยนประเทศไทย !!