xs
xsm
sm
md
lg

การตัดสินใจที่เร่งรีบ กระด้าง ละโมบและฉ้อฉล

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ปัญญาพลวัตร”
โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต

วันที่ 3 พฤษภาคม 2554 คงเป็นวันที่ได้รับการจารึกไว้ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยอีกวันหนึ่ง ในฐานะเป็นวันซึ่งคณะรัฐมนตรีทำงานกันอย่างหามรุ่งหามค่ำ ช่วงเช้าประชุมที่อาคารรัฐสภา 3 และช่วงบ่ายที่ทำเนียบรัฐบาล การประชุมดำเนินไปต่อเนื่องจนถึงตีสองหรือเช้าของวันที่ 4 พฤษภาคม ในการประชุมคณะรัฐมนตรีอภิสิทธิ์พิจารณาอนุมัติวาระต่างๆทั้งวาระปกติและวาระจรที่ได้รับการเสนอเข้าไปมากกว่าร้อยวาระ มีการอนุมัติงบประมาณทั้งประเภทที่ดำเนินการได้ทันทีและประเภทงบผูกพันข้ามปีร่วมห้าแสนล้านบาท ทั้งหมดเกิดขึ้นในการประชุมครั้งเดียว

การพิจารณาในแต่ละวาระคงใช้เวลาประมาณ 10 นาที คณะรัฐมนตรีชุดนี้คงมีสมองเยี่ยงอัจฉริยะ มีปัญญาปราดเปรื่อง มีวิจารณญาณที่แหลมคมสูงส่ง เพียงแค่เปิดแฟ้ม กวาดสายตาดูรายงานการเสนอในแต่ละวาระอย่างผ่านๆ ก็สามารถมองเห็นและเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่งถ่องแท้ว่าโครงการที่เสนอมานั้นมีข้อดี ข้อเสีย จุดแข็ง จุดอ่อนอย่างไร มีผลประทบในเชิงบวกและเชิงลบอย่างไรบ้าง จากนั้นก็สามารถตัดสินใจได้ทันทีว่าจะอนุมัติหรือไม่อนุมัติโครงการนั้น ช่างสมกับเป็นผู้บริหารประเทศของไทยยิ่งนัก ประเทศไทยน่าจะส่งคณะรัฐมนตรีชุดนี้ไปบริหารประเทศกัมพูชาเพื่อสร้างความเจริญเติบโตพัฒนาให้กับประเทศนั้น กัมพูชาจะได้ไม่ต้องมาก่อกวนยิงประชาชนและทหารไทยเดือดร้อนอีกต่อไ

อันที่จริงก็มีคนไทยผู้เป็นอดีตรัฐมนตรีบางคนที่อาศัยและถือพาสปอร์ตของประเทศกัมพูชาอยู่แล้ว อีกทั้งรัฐบาลฮุนเซนก็ยังเคยแต่งตั้งอดีตนายกรัฐมนตรีไทยบางคนเป็นที่ปรึกษารัฐบาลแล้วด้วย รวมทั้งมีนักการเมืองอีกหลายคนก็ไปอาศัยอยู่ในประเทศกัมพูชา ประชาชนชาวไทยจึงน่าจะอนุเคราะห์ประเทศกัมพูชาเจริญทัดเทียมกับประเทศไทย โดยร่วมกันส่งคณะรัฐมนตรีชุดนายอภิสิทธิ์ไปบริหารประเทศกัมพูชาเสียเลยน่าจะดีไม่น้อย

อยู่มาสองปีกว่าๆคงมัวไปพูดปราศศรัยเปิดงาน จนไม่มีเวลาตัดสินใจเรื่องสำคัญ ครั้นจะยุบสภาอันทำให้คณะรัฐมนตรีหมดวาระตามปกติ ไปสู่การเป็นคณะรัฐมนตรีรักษาการ การอนุมัติเรื่องใหญ่ๆก็จะทำไม่ได้ จึงต้องมาเร่งรีบ เร่งรัด ให้ทุกอย่างจบให้ได้ภายในวันเดียว หากไม่อนุมัติเสียให้เสร็จสิ้น ก็คงหวั่นเกรงว่าจะไม่ได้ทำอีกต่อไป อันเป็นการเสียโอกาสเงินโอกาสทอง ชะตากรรมในอนาคตไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกหรือไม่

การตัดสินใจแบบรีบๆ ลวกๆ สุกเอาเผากินเช่นนี้ สะท้อนภาวะจิตที่ละโมบ ไม่แยแส หยาบกระด้าง ป่าเถื่อนและรุนแรงของผู้ตัดสินใจ ความละโมบอยากได้อยากมี ก่อให้เกิดพฤติกรรมที่ตะกละตระกราม มูมมามรีบๆรับประทาน ไม่แยแสใส่ใจกับผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประเทศและสังคมในอนาคต อันแสดงให้เห็นถึงความหยาบกระด้าง หยาบช้าของจิตซึ่งป่าเถื่อนและเปี่ยมด้วยความรุนแรง

โครงการต่างๆ นับสิบนับร้อยโครงการที่ผ่านการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีในวันที่ 3 พฤษภาคมนี้ ย่อมมีโครงการจำนวนมากที่ผ่านไปโดยการตัดสินแบบไร้คุณภาพอย่างสิ้นเชิง ไม่มีหลักประกันใดว่าโครงการที่อนุมัติไปนั้นจะสร้างประโยชน์ให้แก่สังคมและประเทศได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ตรงกันข้ามกลับเปิดช่องทางในการทำมาหากินให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องที่มีความละโมบและฉ้อฉลได้สะดวกและรื่นคอมากขึ้นทั้งในส่วนของผู้เป็นรัฐมนตรีและข้าราชการประจำที่เสนอโครงการนั้นเข้ามา และในงบประมาณบางก้อนก็เป็นการเอาภาษีของประชาชนไปชดเชยความผิดพลาดที่รัฐบาลเองก่อขึ้นมาเองอย่างน่าละอาย

ดังจะเห็นได้จากมีงบประมาณอยู่ก้อนหนึ่งที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการเผาเมืองของพวกเสื้อแดงจำนวนร่วมสองพันล้านบาท ก็น่าเห็นใจสำหรับเอกชนที่ได้รับผลจากการกระทำนั้น แต่ในอีกด้านหนึ่งย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่าเงินก้อนนี้เป็นภาษีของประชาชน เป็นเงินที่ประชาชนต้องจ่ายสำหรับการบริหารงานที่ไม่เอาไหนของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ซึ่งปล่อยให้พวกผู้ก่อการร้ายเสื้อแดงเผาเมืองโดยไม่จัดการป้องกันให้ดี ทั้งที่มีผู้แนะนำและเตือนให้ลงมือตัดไฟเสียแต่ต้นลมหลายครั้งหลายหนแล้วก่อนเกิดการเผาบ้านเผาเมือง

เมื่อมีรัฐบาลให้ท้ายคอยเยียวยาให้อย่างนี้ พวกแกนนำเสื้อแดงก็คงไม่ต้องกังวลใจหากในการชุมนุมครั้งต่อไปจะยั่วยุให้เกิดการเผาบ้านเผาเมืองอีก เพราะไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น สร้างความเสียหายแล้วก็ลอยตัวเพราะรัฐบาลก็เจียดงบประมาณไปชดเชย และเอกชนก็กลัวเสื้อแดงจนลนลานไม่กล้าฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายด้วยตนเอง จึงเท่ากับว่าการตัดสินใจอนุมัติงบประมาณเยียวยาในเรื่องนี้เป็นการสนับสนุนให้ความป่าเถื่อนและความรุนแรงเป็นสิ่งที่ชอบธรรมขึ้นมานั่นเอง

ส่วนงบประมาณก้อนมหึมาอีกก้อนหนึ่งที่ให้การรถไฟแห่งประเทศไทยลงทุนซื้อรถจักรและล้อเลื่อน ตามแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 1.7 แสนล้านบาท เป็นการลงทุนรอบแรกจำนวน 1.4 หมื่นล้านบาทก็เป็นโครงการที่แก้ปัญหาแบบเสี่ยงเสี้ยวเฉพาะส่วนมิได้พิจารณาการปฏิรูปรถไฟทั้งระบบ การแก้ปัญหาด้วยการซื้อเครื่องจักรใหม่ ขณะที่ระบบบริหารยังเต็มไปด้วยระบบอุปถัมภ์และการฉ้อฉล บุคลากรไร้สมรรถภาพ คำนึงถึงแต่ประโยชน์ส่วนตน มีวัฒนธรรมองค์การแบบอำนาจนิยมอย่างเข้มข้น การใส่เงินเข้าไปเพื่อซื้อเครื่องจักรนอกจากจะไม่สามารถแก้ปัญหารถไฟแล้ว กลับกลายเป็นการซ้ำเติมให้สถานการณ์การทุจริตให้เลวร้ายยิ่งขึ้นไปอีก

ส่วนงบประมาณสำหรับขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง (พ.ศ.2555-2561)ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ งบประมาณตามนโยบายเร่งด่วน 10 โครงการ จำนวน 1.58 หมื่นล้านบาท และเห็นชอบในหลักการแผนงบประมาณขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง อีกจำนวน 371,598.379 ล้านบาท เพื่อเป็นหลักประการว่าการปฏิรูปการศึกษาในรอบที่สองจะเดินหน้าตามที่ได้วาง ระบบและแผนงานต่อไป

งบประมาณก้อนนี้ก็เป็นสิ่งที่น่ากังขาเพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานับแต่มีกฎหมายปฏิรูปการศึกษาเมื่อ พ.ศ.2542 อันเป็นกฎหมายที่นายอภิสิทธิ์ภูมิใจนักภูมิใจหนาว่าตนเองมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้เกิดขึ้น แต่เรามาดูความจริงกันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นภายในแวดวงการศึกษานับแต่กฎหมายฉบับนี้ประกาศออกมามีอะไรบ้าง

มีการขยายอำนาจและตำแหน่งแก่ข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการมากขึ้น เปิดช่องทางในการทำมาหากินให้กับบริษัทเอกชนที่ไร้คุณภาพจำนวนมากแต่เข้ามาประเมินคุณภาพของสถานการศึกษา เกิดงานวิจัยที่ไร้คุณภาพเพื่อใช้ในการขอตำแหน่งของครูอาจารย์มากขึ้น เกิดจิตสำนึกและพฤติกรรมที่ฉ้อฉลของบุคลากรด้านการศึกษาผู้หวังก้าวหน้าในตำแหน่งโดยการจ้างให้ผู้อื่นทำวิจัยมากขึ้น เกิดหลักสูตรทั้งปริญญาโทและเอกที่ไร้คุณภาพเต็มบ้านเต็มเมืองเพื่อให้นักการเมืองได้เข้าไปเรียนชุบตัวเองให้ดูดี เกิดการขายปริญญาอย่างแพร่หลาย เกิดทัศนคติและความคับแคบในเชิงวิชาชีพ และที่สำคัญคือเกิดความตกต่ำด้านความรู้และการเรียนรู้พัฒนาภูมิปัญญาของเด็กนักเรียนดังเห็นได้จากผลการสอบโอเน็ตของนักเรียนในช่วงชั้น ระดับประถม มัธยมต้น และมัธยมปลายของหลายปีที่ผ่านมา นี่เป็นเพียงตัวอย่างของความจริงอันขมขื่นเพียงบางส่วน แต่ก็เพียงพอที่จะสรุปเบื้องต้นได้ว่าการศึกษาของไทยล้มเหลวและล้มละลายในเชิงคุณภาพอย่างสิ้นเชิง

หากไม่ทบทวนและปรับเปลี่ยนแก้ไข ปรัชญา หลักการ แนวคิด นโยบายและมาตรการทั้งหมดทั้งมวลของระบบการศึกษา แต่ยังถมเงินถมงบประมาณลงไปโดยใช้แนวทางเดิมๆในการปฏิบัติ นอกจากจะเป็นการสูญเปล่าของงบประมาณแล้วยังเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์การศึกษาไทยให้เลวร้ายยิ่งขึ้นไปอีก

ยังมีงบประมาณในเรื่องอื่นอีกมากที่ได้รับการอนุมัติแบบสุกเอาเผากิน หรือแบบแบ่งกันกินที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ซึ่งประชาชนชาวไทยจะต้องติดตามและช่วยกันวิพากษ์วิจารณ์ชำแหละออกมาให้กระจ่าง เพื่อตอกย้ำให้เห็นธรรมชาติหรือธาตุแท้ดั้งเดิมของนักการเมืองในยุคปัจจุบัน ว่ามีความหยาบกระด้างและฉ้อฉลเพียงใด

การประชุมคณะรัฐมนตรีนัดสั่งลาก่อนการยุบสภาในครั้งนี้ เป็นหลักฐานยืนยันได้อย่างชัดเจนอีกครั้งว่า นักการเมืองไทย หาได้ใส่ใจและแยแสในการบริหารประเทศเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างจริงจังแต่อย่างใด สักแต่เร่งรีบดำเนินการเสร็จสิ้นตามสภาวะจิตที่ถูกผลักดันด้วยแรงปรารถนาอันเปี่ยมไปด้วยความเร่าร้อนอยากได้อยากมี ความโลภโมโทสัน และความหยาบดิบกระด้าง

แล้วนักการเมืองที่มีสภาวะจิตและการกระทำเช่นนี้ พี่น้องประชาชนยังจะเลือกพวกเขาเข้าไปบริหารประเทศอีกหรือ
กำลังโหลดความคิดเห็น