นโยบายหาเสียงที่ไม่ได้เขียนไว้ประการหนึ่งก็คือ การนำเอาทักษิณกลับบ้าน
เป็นมายาคติที่นำมาชูเป็นประเด็นให้ต่างฝ่ายต่างใช้หาประโยชน์
นโยบายของพรรคเพื่อไทยที่ไม่ได้มีการประกาศอย่างชัดแจ้งประการหนึ่งก็คือ การนำเอาทักษิณกลับประเทศไทย ซึ่งทางพรรคอื่นๆ แม้กระทั่งพรรคประชาธิปัตย์ก็มิได้มีการแสดงนโยบายเป็นจุดยืนอย่างแน่ชัดว่าเห็นด้วยในเรื่องนี้หรือไม่ประการใด
ในข้อเท็จจริงทักษิณสามารถกลับเข้าประเทศไทยได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าสถานะของทักษิณในปัจจุบันจะต้องเข้ามารับโทษจากคำพิพากษาในฐานะนักโทษ และต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในฐานะจำเลยที่ถูกฟ้องร้องอีกหลายสิบคดี
การนำทักษิณกลับประเทศไทย ในความหมายของพรรคเพื่อไทยและรวมถึงคนเสื้อแดงด้วยนั้น จึงหมายถึงการทำให้ทักษิณพ้นผิดไม่ต้องรับโทษหรือเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ประเด็นก็คือ จะทำได้เพียงใดและอย่างไร?
ในฐานะนักโทษที่ต้องคำพิพากษาจำคุกจากคดีที่ดินรัชดาฯ นั้น คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองถือเป็นสิ้นสุดไม่สามารถอุทธรณ์หรือฎีกาต่อไปได้อีก
ถ้าไม่เข้ามารับโทษก็ไม่สามารถขออภัยโทษได้ แม้จะใช้คนเสื้อแดงมากดดันแห่แหนหาบรายชื่อมามากเท่าใดก็คงไม่เป็นผล
การเอาชนะทางการเมืองเพื่อให้เป็นเสียงข้างมากมาออกกฎหมายนิรโทษกรรมของทั้งพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงดูจะเป็นนโยบายที่แม้ไม่ประกาศอย่างชัดแจ้ง แต่ก็ไม่ปิดบังที่จะขอเสียงจากประชาชนมากระทำ
แต่จะทำได้จริงหรือ? แม้พรรคเพื่อไทยอาจจะชนะเลือกตั้งได้เสียงข้างมากในสภา แต่การออกกฎหมายนิรโทษกรรมคนเพียงคนเดียวที่ชื่อทักษิณจากความผิดในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนที่กฎหมายห้ามเอาไว้สำหรับผู้มีตำแหน่งทางการเมือง มันขัดทั้งหลักของความเสมอภาคและแบ่งแยกอำนาจอย่างชัดเจน
หากจะบอกว่าให้รวมกำนันเป๊าะพร้อมนายวัฒนาด้วยเพื่อความเสมอภาคก็ยังจะตอบคำถามให้กับกรณีเช่นพระรักเกียรติไม่ได้เพราะได้ติดคุกจนพ้นโทษไปแล้ว ทำไมจึงริเริ่มนิรโทษกรรมตอนนี้ ในขณะที่การนิรโทษกรรมเป็นการใช้อำนาจฝ่ายบริหารไปแทรกแซงอำนาจศาลที่มีหน้าที่ตัดสินคดีความซึ่งเป็นอีกหนึ่งใน 3 อำนาจอธิปไตย
การหาเสียงเพื่อนำทักษิณกลับบ้าน (โดยไม่มีความผิด) จึงเป็นการนำเอาผลการเลือกตั้งมาแทนที่อำนาจศาล อ้างความชอบธรรมที่จะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นหรือ หากทำได้ก็จะเป็นตัวอย่างไปในอนาคตว่าใครไม่อยากติดคุกก็ตั้งพรรคและหาเสียงเพื่อออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับตนเอง หากเป็นเช่นนี้แล้วสังคมจะมีขื่อแปไว้ปกป้องคนทั่วไปที่ด้อยอำนาจกว่าได้อย่างไร จะมีศาลมีกฎหมายเอาไว้ทำไม? มีการเลือกตั้งมีนักการเมืองก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ ที่สำคัญก็คือ หากมีผู้ส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่ากฎหมายนิรโทษกรรมทักษิณขัดกับหลักการในรัฐธรรมนูญหรือไม่ โอกาสจะหงายท้องก็มีสูง
การจะออกกฎหมายนิรโทษกรรม โดยอ้างความผิดทั้งเหลืองและแดงช่วง พ.ศ. 2549-53 ควบไปด้วย ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าผิดหรือไม่เพราะยังไม่มีคำตัดสิน กับความผิดของทักษิณในช่วง พ.ศ. 2544-48 เพื่อความปรองดองที่โดยรูปธรรมแล้วไม่รู้ว่าคืออะไร จึงเป็นเรื่องของการมั่วนิ่มเพราะทั้งเหลืองและแดงต่างก็ถูกฟ้องร้องจากฐานความผิดและห้วงเวลาที่แตกต่างไปจากทักษิณ ความผิดที่ทักษิณต้องโทษเกิดในช่วงที่ทักษิณกระทำเมื่อดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นนายกฯ สมัยแรกคือระหว่าง พ.ศ. 2544-48 คนละช่วงเวลา และมิได้มีความวุ่นวายทางการเมืองในขณะที่ทักษิณกระทำผิดแต่อย่างใด
ในฐานะจำเลยที่ไม่ยอมมาศาล ผลของคำพิพากษายึดทรัพย์ที่ผ่านมาได้ข้อยุติที่สำคัญประการหนึ่งที่ผูกพันทุกองค์กรว่าต้องเห็นเหมือนกันหมดไม่ต้องเสียเวลาสืบพยานหรือพิจารณาตีความอีกต่อไปก็คือ ทักษิณเป็นเจ้าของหุ้นตัวจริงของชิน คอร์ปอเรชั่นที่เป็นบริษัทแม่ของบริษัทที่เป็นคู่สัญญากับรัฐ เช่น เอไอเอส หรือ ชินแซทฯ ผ่านบริษัทอำพรางไม่ว่าจะเป็นแอมเพิลริชหรือวินมาร์คก่อนนำไปขายให้เทมาเส็กของรัฐบาลสิงคโปร์อย่างหมดข้อสงสัย หุ้นส่วนใหญ่ของชินคอร์ปอเรชั่นที่อยู่ในชื่อของพี่เมีย น้องสาว และลูกล้วนเป็นนิติกรรมอำพรางของทักษิณและอดีตเมียทั้งสิ้น
ดังนั้นคดีความอื่นๆ ที่ทักษิณถูกฟ้องต่อศาลแล้วก็ดี เช่น คดีธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยปล่อยกู้พม่าเพื่อมาซื้ออุปกรณ์จากชินแซทฯ คดีการลดค่าสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่ด้วยการให้ชำระเป็นภาษีสรรพสามิตแทน คดีการไม่ส่งดาวเทียมสำรองและใช้สิทธิส่งดาวเทียมนอกสัญญา (ไอพีสตาร์) ไปใช้วงโคจรของประเทศโดยไม่ชอบ ก็จะต่อสู้กับข้อกล่าวหาว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตาม ม.157 ได้ยากเพราะตนเองเป็นเจ้าของชินแซทฯ และเอไอเอส ผ่านชิน คอร์ปอเรชั่น คราวนี้ “เป็ดเหลิม” ไม่ต้องกังวลเพราะเป็นเรื่องทุจริตแน่นอน
หรือบรรดาคดีที่ยังไม่ฟ้องร้องเพราะรอเอาตัวจำเลยมาศาล เช่น คดีแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.เป็นเท็จ คดีแจ้งธุรกรรมเป็นเท็จตามกฎหมายของตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งมีโอกาสที่จะลากเอาลูกเมียเครือญาติติดร่างแหร่วมรับกรรมไปได้อีกมาก ก็เนื่องจากข้อยุติที่ตนเองเป็นเจ้าของชิน คอร์ปอเรชั่นนั่นเองที่ทำให้ต่อสู้คดีที่มีอยู่ได้ยากกว่าให้ “เป็ดเหลิม” พูดภาษาอังกฤษให้รู้เรื่องเสียอีก
คดีต่างๆ เหล่านี้ล้วนมีโทษในอัตราสูงทั้งสิ้น เช่น ความผิดตาม ม.157 โทษสูงสุดคือ 10 ปี ในขณะที่คดีแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.เป็นเท็จแม้จะไม่มีโทษจำคุกแต่ก็อาจถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเรียงกระทงความผิดในแต่ละครั้งที่กระทำ
ดังนั้นนโยบาย “การนำทักษิณกลับบ้าน” ของพรรคเพื่อไทยและกลุ่มคนเสื้อแดงจึงมิได้ตั้งอยู่บนความเป็นจริงที่มีความเป็นไปได้แต่อย่างใด เช่นเดียวกับทักษิณที่น่าจะรู้ดีว่าการอยู่เมืองนอกนั้นดีกว่ากลับเมืองไทย ทักษิณอาจเหลือเวลาในชีวิตไม่เพียงพอกับโทษที่อาจได้รับหากกลับเข้ามาและมีโอกาสน้อยมากที่จะทำให้ตนเองพ้นโทษ
ปรากฏการณ์ของการ “หลอกใช้” ซึ่งกันและกันระหว่างนักการเมืองพรรคเพื่อไทย กลุ่มคนเสื้อแดง และพรรคอื่นๆ กับทักษิณในเรื่อง “ทักษิณ” รีเทิร์น จึงเป็นมายาคติที่เอาไว้หลอกคนไทยในห้วงเวลาของการเลือกตั้ง เป็นการร่วมกันต้มคนดู(ประชาชน)
เพราะหนทางที่ทักษิณจะกลับบ้านได้ก็ด้วยวิธีพิเศษ เช่น การรัฐประหาร เท่านั้น ทางเลือกในการกลับมายอมติดคุก สู้คดี และขอพระราชทานอภัยโทษหากแพ้คดีดูเหมือนจะไม่เป็นทางเลือกสำหรับทักษิณเนื่องจากหากประสงค์จะทำก็ทำได้นานแล้วไม่ต้องรอจนถึงปัจจุบัน
“ทักษิณ” รีเทิร์น ของทักษิณจึงไม่จำเป็นต้องกลับมาไทย เพราะนอกเหนือจากพรรคเพื่อไทยแล้วหลายพรรคก็นำแนวนโยบาย “ทักษิณ” ไปใช้ แถมเกทับมากกว่าของเดิมเสียอีก
การออกมาช่วยหาเสียงให้พรรคเพื่อไทยโดยไม่เกรงกลัวการยุบพรรคเพื่อไทย หรือความพยายามที่จะเอาคนใกล้ชิดมาเป็นตัวแทนตนเองในตำแหน่งหัวหน้าพรรคก็เป็นข้อพิสูจน์ที่ว่าทักษิณต้องการความวุ่นวายให้ทุกคน ทำให้บ้านเมืองไทยถูกตอกลิ่มให้แตกแยกด้วยประเด็น “ทักษิณ” รีเทิร์น ของตนเองกลายเป็นการเลือกว่าใครจะเอาด้วยบ้างกับนโยบาย “การนำทักษิณกลับบ้าน” แทนที่จะเป็นการเลือกตั้งเพื่อเลือกนโยบายที่เป็นประโยชน์กับประชาชน
แม้จะไม่มีการประกาศเป็นนโยบาย แต่พรรคเพื่อไทยและกลุ่มคนเสื้อแดงจะเป็นปีกหนึ่งที่ชู “ทักษิณ” รีเทิร์น เพื่อเอาใจคนรักทักษิณ พรรคประชาธิปัตย์จะชูนโยบายในทางตรงกันข้ามเพื่อคนที่ไม่ชอบทักษิณ ในขณะที่ทักษิณเองก็ได้ประโยชน์จากความวุ่นวายทางการเมืองที่จะไม่มีผู้ชนะอย่างเด็ดขาด
อนาคตของประเทศไทยจึงกลายเป็นสภาวะของหลายก๊กคุมเชิงยันกัน ไม่มีก๊กใด ไม่มีสีใด เสนอหรือเป็นทางออกให้กับประเทศได้อย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม เพราะต่างฝ่ายต่างมุ่งหาประโยชน์จาก “ทักษิณ” รีเทิร์น กันทั้งนั้น จนไม่สนใจ “ก้าวข้าม” ด้วยการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างเพื่อความก้าวหน้าแม้แต่น้อย ช่างน่าอนาถใจยิ่งนัก
เป็นมายาคติที่นำมาชูเป็นประเด็นให้ต่างฝ่ายต่างใช้หาประโยชน์
นโยบายของพรรคเพื่อไทยที่ไม่ได้มีการประกาศอย่างชัดแจ้งประการหนึ่งก็คือ การนำเอาทักษิณกลับประเทศไทย ซึ่งทางพรรคอื่นๆ แม้กระทั่งพรรคประชาธิปัตย์ก็มิได้มีการแสดงนโยบายเป็นจุดยืนอย่างแน่ชัดว่าเห็นด้วยในเรื่องนี้หรือไม่ประการใด
ในข้อเท็จจริงทักษิณสามารถกลับเข้าประเทศไทยได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าสถานะของทักษิณในปัจจุบันจะต้องเข้ามารับโทษจากคำพิพากษาในฐานะนักโทษ และต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในฐานะจำเลยที่ถูกฟ้องร้องอีกหลายสิบคดี
การนำทักษิณกลับประเทศไทย ในความหมายของพรรคเพื่อไทยและรวมถึงคนเสื้อแดงด้วยนั้น จึงหมายถึงการทำให้ทักษิณพ้นผิดไม่ต้องรับโทษหรือเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ประเด็นก็คือ จะทำได้เพียงใดและอย่างไร?
ในฐานะนักโทษที่ต้องคำพิพากษาจำคุกจากคดีที่ดินรัชดาฯ นั้น คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองถือเป็นสิ้นสุดไม่สามารถอุทธรณ์หรือฎีกาต่อไปได้อีก
ถ้าไม่เข้ามารับโทษก็ไม่สามารถขออภัยโทษได้ แม้จะใช้คนเสื้อแดงมากดดันแห่แหนหาบรายชื่อมามากเท่าใดก็คงไม่เป็นผล
การเอาชนะทางการเมืองเพื่อให้เป็นเสียงข้างมากมาออกกฎหมายนิรโทษกรรมของทั้งพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงดูจะเป็นนโยบายที่แม้ไม่ประกาศอย่างชัดแจ้ง แต่ก็ไม่ปิดบังที่จะขอเสียงจากประชาชนมากระทำ
แต่จะทำได้จริงหรือ? แม้พรรคเพื่อไทยอาจจะชนะเลือกตั้งได้เสียงข้างมากในสภา แต่การออกกฎหมายนิรโทษกรรมคนเพียงคนเดียวที่ชื่อทักษิณจากความผิดในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนที่กฎหมายห้ามเอาไว้สำหรับผู้มีตำแหน่งทางการเมือง มันขัดทั้งหลักของความเสมอภาคและแบ่งแยกอำนาจอย่างชัดเจน
หากจะบอกว่าให้รวมกำนันเป๊าะพร้อมนายวัฒนาด้วยเพื่อความเสมอภาคก็ยังจะตอบคำถามให้กับกรณีเช่นพระรักเกียรติไม่ได้เพราะได้ติดคุกจนพ้นโทษไปแล้ว ทำไมจึงริเริ่มนิรโทษกรรมตอนนี้ ในขณะที่การนิรโทษกรรมเป็นการใช้อำนาจฝ่ายบริหารไปแทรกแซงอำนาจศาลที่มีหน้าที่ตัดสินคดีความซึ่งเป็นอีกหนึ่งใน 3 อำนาจอธิปไตย
การหาเสียงเพื่อนำทักษิณกลับบ้าน (โดยไม่มีความผิด) จึงเป็นการนำเอาผลการเลือกตั้งมาแทนที่อำนาจศาล อ้างความชอบธรรมที่จะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นหรือ หากทำได้ก็จะเป็นตัวอย่างไปในอนาคตว่าใครไม่อยากติดคุกก็ตั้งพรรคและหาเสียงเพื่อออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับตนเอง หากเป็นเช่นนี้แล้วสังคมจะมีขื่อแปไว้ปกป้องคนทั่วไปที่ด้อยอำนาจกว่าได้อย่างไร จะมีศาลมีกฎหมายเอาไว้ทำไม? มีการเลือกตั้งมีนักการเมืองก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ ที่สำคัญก็คือ หากมีผู้ส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่ากฎหมายนิรโทษกรรมทักษิณขัดกับหลักการในรัฐธรรมนูญหรือไม่ โอกาสจะหงายท้องก็มีสูง
การจะออกกฎหมายนิรโทษกรรม โดยอ้างความผิดทั้งเหลืองและแดงช่วง พ.ศ. 2549-53 ควบไปด้วย ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าผิดหรือไม่เพราะยังไม่มีคำตัดสิน กับความผิดของทักษิณในช่วง พ.ศ. 2544-48 เพื่อความปรองดองที่โดยรูปธรรมแล้วไม่รู้ว่าคืออะไร จึงเป็นเรื่องของการมั่วนิ่มเพราะทั้งเหลืองและแดงต่างก็ถูกฟ้องร้องจากฐานความผิดและห้วงเวลาที่แตกต่างไปจากทักษิณ ความผิดที่ทักษิณต้องโทษเกิดในช่วงที่ทักษิณกระทำเมื่อดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นนายกฯ สมัยแรกคือระหว่าง พ.ศ. 2544-48 คนละช่วงเวลา และมิได้มีความวุ่นวายทางการเมืองในขณะที่ทักษิณกระทำผิดแต่อย่างใด
ในฐานะจำเลยที่ไม่ยอมมาศาล ผลของคำพิพากษายึดทรัพย์ที่ผ่านมาได้ข้อยุติที่สำคัญประการหนึ่งที่ผูกพันทุกองค์กรว่าต้องเห็นเหมือนกันหมดไม่ต้องเสียเวลาสืบพยานหรือพิจารณาตีความอีกต่อไปก็คือ ทักษิณเป็นเจ้าของหุ้นตัวจริงของชิน คอร์ปอเรชั่นที่เป็นบริษัทแม่ของบริษัทที่เป็นคู่สัญญากับรัฐ เช่น เอไอเอส หรือ ชินแซทฯ ผ่านบริษัทอำพรางไม่ว่าจะเป็นแอมเพิลริชหรือวินมาร์คก่อนนำไปขายให้เทมาเส็กของรัฐบาลสิงคโปร์อย่างหมดข้อสงสัย หุ้นส่วนใหญ่ของชินคอร์ปอเรชั่นที่อยู่ในชื่อของพี่เมีย น้องสาว และลูกล้วนเป็นนิติกรรมอำพรางของทักษิณและอดีตเมียทั้งสิ้น
ดังนั้นคดีความอื่นๆ ที่ทักษิณถูกฟ้องต่อศาลแล้วก็ดี เช่น คดีธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยปล่อยกู้พม่าเพื่อมาซื้ออุปกรณ์จากชินแซทฯ คดีการลดค่าสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่ด้วยการให้ชำระเป็นภาษีสรรพสามิตแทน คดีการไม่ส่งดาวเทียมสำรองและใช้สิทธิส่งดาวเทียมนอกสัญญา (ไอพีสตาร์) ไปใช้วงโคจรของประเทศโดยไม่ชอบ ก็จะต่อสู้กับข้อกล่าวหาว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตาม ม.157 ได้ยากเพราะตนเองเป็นเจ้าของชินแซทฯ และเอไอเอส ผ่านชิน คอร์ปอเรชั่น คราวนี้ “เป็ดเหลิม” ไม่ต้องกังวลเพราะเป็นเรื่องทุจริตแน่นอน
หรือบรรดาคดีที่ยังไม่ฟ้องร้องเพราะรอเอาตัวจำเลยมาศาล เช่น คดีแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.เป็นเท็จ คดีแจ้งธุรกรรมเป็นเท็จตามกฎหมายของตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งมีโอกาสที่จะลากเอาลูกเมียเครือญาติติดร่างแหร่วมรับกรรมไปได้อีกมาก ก็เนื่องจากข้อยุติที่ตนเองเป็นเจ้าของชิน คอร์ปอเรชั่นนั่นเองที่ทำให้ต่อสู้คดีที่มีอยู่ได้ยากกว่าให้ “เป็ดเหลิม” พูดภาษาอังกฤษให้รู้เรื่องเสียอีก
คดีต่างๆ เหล่านี้ล้วนมีโทษในอัตราสูงทั้งสิ้น เช่น ความผิดตาม ม.157 โทษสูงสุดคือ 10 ปี ในขณะที่คดีแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.เป็นเท็จแม้จะไม่มีโทษจำคุกแต่ก็อาจถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเรียงกระทงความผิดในแต่ละครั้งที่กระทำ
ดังนั้นนโยบาย “การนำทักษิณกลับบ้าน” ของพรรคเพื่อไทยและกลุ่มคนเสื้อแดงจึงมิได้ตั้งอยู่บนความเป็นจริงที่มีความเป็นไปได้แต่อย่างใด เช่นเดียวกับทักษิณที่น่าจะรู้ดีว่าการอยู่เมืองนอกนั้นดีกว่ากลับเมืองไทย ทักษิณอาจเหลือเวลาในชีวิตไม่เพียงพอกับโทษที่อาจได้รับหากกลับเข้ามาและมีโอกาสน้อยมากที่จะทำให้ตนเองพ้นโทษ
ปรากฏการณ์ของการ “หลอกใช้” ซึ่งกันและกันระหว่างนักการเมืองพรรคเพื่อไทย กลุ่มคนเสื้อแดง และพรรคอื่นๆ กับทักษิณในเรื่อง “ทักษิณ” รีเทิร์น จึงเป็นมายาคติที่เอาไว้หลอกคนไทยในห้วงเวลาของการเลือกตั้ง เป็นการร่วมกันต้มคนดู(ประชาชน)
เพราะหนทางที่ทักษิณจะกลับบ้านได้ก็ด้วยวิธีพิเศษ เช่น การรัฐประหาร เท่านั้น ทางเลือกในการกลับมายอมติดคุก สู้คดี และขอพระราชทานอภัยโทษหากแพ้คดีดูเหมือนจะไม่เป็นทางเลือกสำหรับทักษิณเนื่องจากหากประสงค์จะทำก็ทำได้นานแล้วไม่ต้องรอจนถึงปัจจุบัน
“ทักษิณ” รีเทิร์น ของทักษิณจึงไม่จำเป็นต้องกลับมาไทย เพราะนอกเหนือจากพรรคเพื่อไทยแล้วหลายพรรคก็นำแนวนโยบาย “ทักษิณ” ไปใช้ แถมเกทับมากกว่าของเดิมเสียอีก
การออกมาช่วยหาเสียงให้พรรคเพื่อไทยโดยไม่เกรงกลัวการยุบพรรคเพื่อไทย หรือความพยายามที่จะเอาคนใกล้ชิดมาเป็นตัวแทนตนเองในตำแหน่งหัวหน้าพรรคก็เป็นข้อพิสูจน์ที่ว่าทักษิณต้องการความวุ่นวายให้ทุกคน ทำให้บ้านเมืองไทยถูกตอกลิ่มให้แตกแยกด้วยประเด็น “ทักษิณ” รีเทิร์น ของตนเองกลายเป็นการเลือกว่าใครจะเอาด้วยบ้างกับนโยบาย “การนำทักษิณกลับบ้าน” แทนที่จะเป็นการเลือกตั้งเพื่อเลือกนโยบายที่เป็นประโยชน์กับประชาชน
แม้จะไม่มีการประกาศเป็นนโยบาย แต่พรรคเพื่อไทยและกลุ่มคนเสื้อแดงจะเป็นปีกหนึ่งที่ชู “ทักษิณ” รีเทิร์น เพื่อเอาใจคนรักทักษิณ พรรคประชาธิปัตย์จะชูนโยบายในทางตรงกันข้ามเพื่อคนที่ไม่ชอบทักษิณ ในขณะที่ทักษิณเองก็ได้ประโยชน์จากความวุ่นวายทางการเมืองที่จะไม่มีผู้ชนะอย่างเด็ดขาด
อนาคตของประเทศไทยจึงกลายเป็นสภาวะของหลายก๊กคุมเชิงยันกัน ไม่มีก๊กใด ไม่มีสีใด เสนอหรือเป็นทางออกให้กับประเทศได้อย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม เพราะต่างฝ่ายต่างมุ่งหาประโยชน์จาก “ทักษิณ” รีเทิร์น กันทั้งนั้น จนไม่สนใจ “ก้าวข้าม” ด้วยการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างเพื่อความก้าวหน้าแม้แต่น้อย ช่างน่าอนาถใจยิ่งนัก