xs
xsm
sm
md
lg

เขมรไม่หยุดยิง! ชาวบ้านหนีตาย พธม.หนุน"สมปอง"คุมทีมสู้ศาลโลก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน/ศูนย์ข่าวนครราชสีมา-ทหารเขมรไม่หยุด เปิดปะทะอีกกลางดึกที่ “ปราสาทตาควาย” ทหารไทยเสียชีวิต 1 เจ็บ 3 นาย ชาวบ้านอพยพหนีตายกันวุ่น ลั่นไม่หนีอีกแล้ว เร่งขุดหลุมหลบภัยหนีกระสุนปืนเขมรเอง มทภ.2 ชี้เหตุปะทะ เขมรคุมทหารนอกคอกไม่ได้ แฉทหารกัมพูชาเร่งขนศพเน่าออกจากแนวปะทะ คาดมีกว่า 100 ศพ ระบุเสียขวัญหนัก แต่ถูกลูกชาย "ฮุน เซน"บังคับให้รบ แลกเลื่อนยศ แจกบ้าน หนักสุดถึงขั้นจับครอบครัวเป็นตัวประกัน ด้านผบ.ทบ. ลั่น ไม่หยุดยิงอย่าสะเออะมาคุย เตือนบัวแก้วคิดให้รอบคอบทำทีโออาร์ดึงต่างชาติสังเกตเขาวิหาร พันธมิตรฯ จวก "มาร์ค" พูดเท็จเรื่องเอ็มโอยู 43 แค่สร้างภาพส่งชาวบ้านกลับ ทั้งๆ ที่ยังมีปะทะ แนะรัฐบาลมอบอำนาจเต็ม "สมปอง สุจริตกุล" คุมทีมทนายสู้ศาลโลก

หลังจากที่ได้มีการเจรจาหยุดยิงระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาและได้มีการอพยพชาวบ้านกลับภูมิลำเนาเมื่อวันที่ 2 พ .ค. ที่ผ่านมา ต่อมาได้เกิดเหตุปะทะขึ้นอีกครั้งในเวลาประมาณ 20.00 น.คืนวันที่ 2 พ .ค.บริเวณปราสาทตาควาย บ้านไทยนิยมพัฒนา ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ โดยทหารกัมพูชาได้ใช้อาวุธปืนประจำกาย ปืน ค. และระเบิดมือขว้าง ซึ่งไม่พบการปะทะด้วยอาวุธปืนใหญ่แต่อย่างใด ขณะที่ชาวบ้านตามแนวชายแดนที่อพยพกลับมาถึงบ้านวันแรกได้ยินเสียงปืนปะทะดังต่อเนื่องต่างแตกตื่นพากันวิ่งเข้าหลุมหลบภัยกันอย่างโกลาหล

ขณะที่ชาวบ้านไทยนิยมพัฒนา ต.บักได อ.พนมดงรัก ซึ่งเป็นหมู่บั้านที่ตั้งอยู่ใกล้กับปราสาทตาควาย บางส่วนได้พากันอพยพออกจากหมู่บ้านกลับเข้าไปอยู่ในศูนย์อพยพชั่วคราวอีกครั้ง หลังเพิ่งกลับเข้าบ้านเรือนได้ไม่ทันข้ามคืน เนื่องจากไม่มั่นใจในความปลอดภัย

จนถึงเวลา 03.00 น.ของวานนี้ (3 พ.ค.)ก่อนที่เสียงปืนจะสงบลง เจ้าหน้าที่ทหารไทยจึงเข้าตรวจสอบพื้นที่พบศพพลทหารไทยเสียชีวิตอีก 1 นาย คือ พลทหารธวัชชัย บุญมั่ง สังกัด ร.8 พัน 2 ถูกสะเก็ดระเบิดเข้าที่รักแร้ทะลุปอด เสียชีวิตทันที ทั้งนี้ ยังมีทหารได้รับบาดเจ็บอีก 3 นาย คือ อส.ทพ.สันติ จันทเข้ สังกัดกองร้อยทหารพรานจู่โจมที่ 2602 ส.อ.สริวิทย์ วิเศษชาติ และพลทหารอำพล ญาติปลื้ม ทั้งสองสังกัด ร.8 พัน 2 ได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิด รวมการปะทะตั้งแต่วันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมาจนถึงเช้าวานนี้ (3พ.ค.) มีทหารไทยเสียชีวิตแล้ว 8 นายเจ็บอีกกว่า 120 นาย

**ชาวบ้านเผยนาทีวิ่งหลบกระสุน

นายมา บุญสร้าง อายุ 84 ปีบ้านเลขที่ 36 ม.16 บ้านไทยสันติสุข ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ซึ่งหลบเข้าไปอยู่ในท่อระบายน้ำเพื่อความปลอดภัยในช่วงที่เกิดการปะทะกัน กล่าวว่า ตนอยู่ที่บ้านตลอดไม่ได้อพยพไปไหน เพราะพิการขาเดินไม่สะดวก วันนี้เป็นวันแรกที่ภรรยากลับจากศูนย์อพยพมาอยู่บ้าน และกำลังกินข้าวกันอย่างพร้อมหน้าเป็นครั้งแรก

"ยังไม่ทันเท่าไรก็ได้มีเสียงระเบิดและเสียงปืนจากการปะทะกันของทหารทั้ง 2 ฝ่ายดังขึ้นเป็นระลอกทำให้ตกใจและต้องวิ่งหลบกระสุนปืนอีกครั้ง หากมีการปะทะกันอีก ภรรยาและลูกหลานคงต้องอพยพไปอยู่ที่ศูนย์อพยพชั่วคราวต่ออีกครั้ง"

**มทภ.2รับมีพื้นที่1ใน3เป็นจุดอ่อนไหว

พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 (มทภ.2) กล่าวว่า หลังจากที่เกิดการปะทะกันที่บริเวณปราสาทตาควายเมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา สะท้อนว่า ทางฝ่ายกัมพูชายังไม่สามารถที่จะควบคุมทหารบางส่วนของตนเองได้ ซึ่งหลังจากที่เกิดการปะทะกันทางกองทัพภาคที่ 2 ได้ส่งผู้บังคับหน่วยทหารที่ประจำอยู่แนวหน้า ซึ่งมีการวางกำลังใกล้ชิดกันได้เข้าไปคุยกับผู้บังคับหน่วยทหารฝ่ายกัมพูชา เพื่อสอบถามถึงสาเหตุและหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน ซึ่งคาดว่าจากนี้ไปสถานการณ์จะดีขึ้น

"เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวันที่ 2 พ.ค. ถือเป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิด จึงส่งผลให้ทหารไทยได้รับความสูญเสีย ผมก็พยายามที่จะจี้ให้ทางฝ่ายกัมพูชาเห็นว่าจุดใดที่ยังคงเป็นปัญหา เพื่อให้ฝ่ายกัมพูชาเร่งดำเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ซึ่งเดิมทีแล้วจุดที่เป็นปัญหาตามแนวชายแดนตั้งแต่จังหวัดสุรินทร์ไปจนถึงบุรีรัมย์มีทั้งหมด 3 จุด แต่หลังจากที่มีการพูดคุยกันมาโดยตลอดปัญหาก็จะเหลืออยู่เพียงจุดเดียว คือ ที่บริเวณปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์ ซึ่งหากทางผู้บังคับหน่วยทหารในพื้นที่ได้เข้าไปพูดคุยหารือกับฝ่ายทหารกัมพูชาหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ปะทะขึ้นเป็นไปด้วยดี สถานการณ์ก็น่าจะดีขึ้น และจะเรียบร้อยได้ ส่วนตัวแล้วเข้าใจว่าไม่มีใครอยากให้เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น แต่ทุกสิ่งสามารถเกิดขึ้นได้ ซึ่งทางกองทัพภาคที่ 2 ยืนยันว่าจะดูแลเรื่องของสวัสดิการของทหารที่เสียชีวิตอย่างดีที่สุด"

พล.ท.ธวัชชัย กล่าวต่อว่า หากเหตุการณ์ยังเกิดขึ้นอีกทางทหารไทยจำเป็นที่จะต้องตอบโต้อย่างสมน้ำสมเนื้อ จะให้หยุดการตอบโต้แล้วให้ทหารไทยเอาหน้าอกไปรับกระสุนอย่างเดียวคงเป็นไปไม่ได้ และทางไทยขอยืนยันว่าสถานการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นฝ่ายทหารไทยไม่เคยเป็นฝ่ายเริ่มก่อนและไม่เคยรุกเข้าไปในพื้นที่ของกัมพูชาเป็นเพียงแค่การปกป้องอธิปไตยของประเทศเท่านั้น

สำหรับการเตรียมพร้อมของกองทัพขณะนี้ก็ได้มีการเสริมกำลังเข้าไปในจุดที่ยังเป็นปัญหา เพื่อป้องกันและรักษาอธิปไตยของประเทศไว้เรียบร้อยแล้ว ส่วนการดูแลความปลอดภัยของผู้อพยพที่กลับคืนหมู่บ้านก็ได้มีการจัดกำลังดูแลอย่างเต็มที่เช่นเดียวกัน

**คนชายแดนสุดทนขุดหลุมหลบภัยเอง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้เดินทางเข้าไปยังหมู่บ้านไทยนิยมพัฒนา ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ซึ่งอยู่ใกล้จุดปะทะด้านชายแดนปราสาทตาควายมากที่สุด พบประชาชนได้ทยอยเดินทางกลับเข้ามายังหมู่บ้านกันหมดแล้ว และได้พากันสร้างหลุมหลบภัยกันเองบริเวณข้างตัวบ้าน เพื่อใช้หลบกระสุนปืนใหญ่ฝ่ายกัมพูชา โดยต่างบอกว่าจะไม่ยอมเดินทางออกจากบ้านไปพักที่ศูนย์อพยพอีก เพราะต้องทำมาหากิน ดูแลไร่ นา บ้านเรือน และทรัพย์สินต่างๆ

นายไพรัช สมดี อายุ 33 ปี บ้านเลขที่ 34 บ้านไทยนิยมพัฒนา ม. 17 ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับปราสาทตาควายมากที่สุด บอกกับผู้สื่อข่าวว่า เพิ่งเดินทางจากศูนย์อพยพ มาพักที่บ้าน และเมื่อคืนวันที่ 2 พ.ค. เวลาประมาณ 22.00 น. มีเสียงปืนดังขึ้นที่ปราสาทตาควายอย่างหนักเป็นระยะๆ ทำให้ต้องพาลูก 2 คน และภรรยาหลบอยู่ในตัวบ้าน ไม่ยอมเดินทางออกจากบ้านเรือน เพราะเป็นเวลาค่ำมืดจนเสียงปืนสงบจึงได้หลับนอน

พอรุ่งเช้าวานนี้ (3 พ.ค.) ได้พาลูกชาย วัย 5 ขวบ ออกไปหาตัดต้นไม้มาทำบังเกอร์และขุดหลุมสร้างเป็นหลุมหลบภัยที่บริเวณข้างด้วยตัวเองเท่าที่จะทำได้ เพื่อใช้เป็นสถานที่หลบกระสุนปืนใหญ่ของทหารเขมร ซึ่งแต่ละครอบครัวต้องพยายามช่วยเหลือตัวเองอย่างเต็มที่ก่อน และต่อจากนี้ไปตนจะไม่อพยพออกจากบ้านหนีไปไหนอีกแล้ว เพราะอย่างน้อยปักหลักอยู่ที่บ้านยังสามารถทำงาน ในสวน ไร่ นา และได้ดูแลบ้านเรือนด้วย แต่เมื่อไปอยู่ศูนย์อพยพไม่สามารถทำงานอะไรได้ ทำให้ขาดรายได้ ประกอบกับลูกคนเล็กเพิ่งคลอดได้ 11 เดือน เมื่อไปอยู่ในศูนย์อพยพไม่สะดวกในการดูแลลูกน้อย จึงขออยู่ที่บ้านดีกกว่า ไม่หนีไปไหนอีกแล้ว

ขณะที่ชาวบ้านไทยนิยมพัฒนา ต.บักไก ที่เดินทางออกจากศูนย์อพยพกลับมาอยู่บ้านเรือน ต่างพากันเร่งสร้างหลุมหลบภัยกันอย่างหนาแน่นแข็งแรง เพื่อใช้เป็นที่หลบกระสุนปืนใหญ่และบอกว่าจะไม่ย้ายไปอยู่ศูนย์อพยพอีก ขอปักหลักอยู่ที่บ้าน แม้จะเกิดการสู้รบขึ้นก็ตาม

**เขมรเร่งขน100ศพทหารเน่าพ้นแนวปะทะ

แหล่งข่าวทหารไทยที่ฐานปฏิบัติการปราสาทตาเมือนธม ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ กล่าวว่า หลังได้มีการเจรจาหยุดยิงและทหารพรานไทยได้ล้อมรั้วลวดหนามและนำธงไปปักไว้ไม่ให้ทหารกัมพูชาเข้ามาในเขตตัวปราสาทตาเมือนธมนั้น ขณะนี้ทหารกัมพูชาที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ พ.อ.เนี้ยะ วงศ์ รองผู้บัญชาการและเสนาธิการกองพลน้อยที่ 42 ทหารภูมิภาคที่ 4 กัมพูชา ซึ่งคุมกำลังการรบกัมพูชาด้านชายแดนปราสาทตาเมือนธม ได้เร่งระดมพากันขนศพทหารกัมพูชาที่ติดอยู่ในหลุมบังเกอร์ ตามโขดหิน ต้นไม้ จำนวนมากในจุดปะทะ กลับเข้าไปยังวัดบ้านกู่ อ.บันเตียอัมปึล จ.อุดรมีชัย ฝั่งตรงข้ามปราสาทตาเมือนธม ห่างจากชายแดนไทยออกไปประมาณ 10 กิโลเมตร (กม.) เพื่อรวบรวมและคัดแยกศพ โดยพบว่ามีการขนย้ายศพมาเป็นเวลา 2 วันแล้ว พร้อมได้เร่งขุดหลุมหลบภัยสร้างบังเกอร์เพิ่มเติม เพื่อป้องกันกระสุนปืนใหญ่ของไทย

“ทหารกัมพูชาเสียชีวิตจำนวนมาก เพราะโดนกระสุนปืนใหญ่ไทยที่ชี้เป้ายิงถล่มลงกลางสนามรบอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งการขนย้ายศพทหารเขมรออกจากแนวปะทะดังกล่าวคาดว่าไม่ต่ำกว่า 100 ศพ เพราะมีกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ และพบซากอวัยวะคนกระจัดกระจายติดอยู่ตามต้นไม้เต็มไปหมด”แหล่งข่าวทหารกล่าว

แหล่งข่าวทหาร กล่าวอีกว่า จากได้ที่มีการเจรจาพูดคุยกับทหารฝ่ายกัมพูชา ทราบว่า ขณะนี้ทหารกัมพูชาไม่อยากสู้รบกับทหารไทย เพราะอาวุธยังด้อยกว่า อีกทั้งกลุ่มทหารที่อยู่ประชิดชายแดนไทยและเชี่ยวชาญพื้นที่เป็นอดีตกลุ่มทหารเขมรแดงที่เคยมาอาศัยแผ่นดินไทยอยู่ เป็นหนี้บุญคุณทหารไทยเคยช่วยเหลือในคราวศึกเขมร 3 ฝ่ายจนรอดมาได้ จึงพบมีรายงานทหารกัมพูชาจำนวนมากวิ่งหนีลงจากรถเมื่อมาถึงสมรภูมิรบชายแดน จนทำให้ พล.ท.ฮุน มาเน็ต ผู้บัญชาการหน่วยรบพิเศษ 91 และ รอง ผบ.ทบ.กัมพูชา บุตรชาย สมเด็จฯ ฮุน เชน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เดือดดาลถึงขั้นประกาศรับสมัครชาวบ้านมาเป็นทหารแทน

ประกอบกับการที่กลุ่มอดีตทหารเขมรแดงต้องมารบครั้งนี้ เนื่องจากมีคำสั่งจาก พล.ท.ฮุน มาเน็ต โดยตรง เพราะต้องการยืมมืออดีตทหารเขมรแดงมาสู้รบกับไทยและต้องการกำจัดอดีตทหารเขมรแดงให้หมดเสี้ยนหนามทางการเมืองด้วย ซึ่งเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว นั่นหมายถึงได้ทั้งคะแนนนิยมประชาชนจากการรบกับไทย และได้กำจัดศัตรูทางการทหารไปในตัวด้วย

“ทหารกัมพูชาส่วนใหญ่จึงถูกบังคับให้มารบ และได้รับการยื่นข้อเสนอแลกเปลี่ยนทั้งการเลื่อนยศ ตำแหน่งที่สูงขึ้น และจะให้บ้านพร้อมที่ดินริมชายแดนคนละ 5 ไร่อีกทั้งยังมีลักษณะการใช้ครอบครัวทหารเป็นตัวประกันด้วย หากใครไม่รบครอบครัวอาจถูกฆ่าทิ้งได้” แหล่งข่าวทหารกล่าว

**“พระพุทธรูป”ถูกสะเก็ดอาร์พีจีเสียหาย

ที่วัดป่าเขาโต๊ะ บ้านไทยสันติสุข ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ทหารไทย ที่ออกลาดตระเวนบริเวณชายแดนด้านปราสาทตาควาย ได้นำพระพุทธรูปปางนั่งสมาธิ ถูกสะเก็ด ลูกจรวดอาร์พีจีที่ทหารกัมพูชายิงใส่ทหารไทยจากการปะทะกันที่บริเวณปราสาทตาควาย ได้รับความเสียหาย บริเวณไหล่ขวา และใบหน้าด้านซ้าย มาเก็บไว้ที่วัด

พระครูพนม ศีลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดป่าเขาโต๊ะ กล่าวว่า พระพุทธรูปปางนั่งสมาธิดังกล่าวชื่อว่า “พระพุทธวิโมกข์ 2” ประดิษฐานอยู่บริเวณเนินหิน ใกล้ปราสาทตาควาย โดยอาตมาเป็นผู้นำพระพุทธรูปดังกล่าวขึ้นไปประดิษฐานไว้ ที่ลานหินใกล้ปราสาทตาควายด้วยตัวเอง เมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา เพื่อให้ทหารไทยได้กราบไหว้บูชา เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ เมื่อเกิดเหตุการปะทะกันอย่างหนักระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้มีสะเก็ดจากจรวด อาร์พีจี ของทหารกัมพูชา ตกใส่พระพุทธรูปได้รับความเสีย เจ้าหน้าที่ทหารไทย จึงได้นำพระพุทธรูปองค์ ดังกล่าวมาเก็บไว้ที่วัด และจะได้จัดหาพระพุทธรูปองค์ใหม่ ให้ทหารนำไปประดิษฐานไว้ที่เดิมเพื่อเป็นศิริมงคลแก่ทหารไทยต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ที่วัดป่าเขาโต๊ะแห่งนี้ ในแต่ละวันจะมีทหารไทยที่ผลัดเปลี่ยนกำลังออกจากการปฏิบัติงานในแนวหน้าบริเวณชายแดนปราสาทตาควาย ได้เดินทางมากราบไหว้ ขอพรจากพระครูพนม ศีลาจารย์ และรับเครื่องรางของขลัง ติดตัวไว้เพื่อกราบไหว้บูชาอยู่เป็นประจำ นอกจากนี้ ทางวัดป่าเขาโต๊ะได้จัดตั้งโรงทาน มีบรรดาญาติโยม ผู้รักษาชาติ รักแผ่นดิน มีจิตใจเป็นกุศล ได้มาตั้งโรงทานประกอบอาหาร นำน้ำดื่ม และเครื่องดื่มชูกำลัง มาคอยเลี้ยงทหารไทยที่ปฏิบัติงานตามสนามรบชายแดน ด้าน อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ตลอดทั้งวันด้วย

***"ประยุทธ์"ลั่นถ้ายังยิงอยู่ไม่คุย

วานนี้ (3 พ.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. กล่าวถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า อยู่ในเกณฑ์ปกติ อาจปะทะกันบ้างเล็กน้อยช่วงกลางคืน ก็คงต้องมีการพูดจากัน และเราต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากยิ่งขึ้นในการใช้อาวุธ ซึ่งในวันนี้ พรุ่งนี้ ทางฝ่ายกัมพูชาพยายามจะขอพุดคุยในระดับนายทหารตามแนวชายแดน ซึ่งเรารอดูสถานการณ์ว่าควรจะคุยหรือไม่  เพราะถ้าคุยแล้วยังยิงอยู่ ก็ไม่รู้จะคุยไปทำไม
อย่างไรก็ตาม เราอย่าไปใช้คำว่า ไม่พูดคุยอีกแล้วคงไม่ได้  ต้องใช้วิธีการเดิม คือ ดูแลแนวชายในพื้นที่ที่รับผิดชอบให้ปลอดภัย กำลังพลต้องมีความพร้อมไม่ได้รับการบาดเจ็บ สูญเสีย ซึ่งการสู้รบเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อเผชิญหน้ากัน ถ้าขาดความระมัดระวัง ก็มีโอกาสบาดเจ็บ สูญเสีย  

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวยืนยันว่า ถ้าทหารกัมพูชาไม่เริ่มก่อน ทางเราไม่เริ่มก่อนแน่ ซึ่งอาจมีคนมองว่า เราใช้มาตรการอ่อนข้อหรือเปล่า หากต่างฝ่ายต่างแรงกันไป แรงกันมาแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ตนไม่เสียใจหรือที่ลูกน้องบาดเจ็บ สูญเสีย เมื่อทางกัมพูชายิงมาเราก็ต้องยิงโต้ตอบไป ถ้าปะทะก็ต้องปะทะ ฉะนั้นไม่ต้องเสียใจแทนตนที่ลูกน้องบาดเจ็บ เสียชีวิตทุกวัน ทำไมถึงไม่ตอบโต้ เพราะการเปิดสงครามขนาดใหญ่ ทำไม่ได้ เป็นเพียงปะทะในพื้นที่จำกัดเพื่อมุ่งสู่การเจรจา เราต้องพยายามตั้งหลักให้ดี ให้ได้เปรียบ ถ้าจะรบเพื่อเอาแพ้เอาชนะไม่ใช่เรื่องยาก เอากันจริงๆ ด้วยการใช้กำลังอาวุธที่มากกว่า ทำลายเป้าหมายได้มากกว่าก็ชนะ แต่ถามว่าหลังชนะไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ก็ต้องมีการเจรจา มีหลักฐานให้พร้อม ถ้าเกิดการปะทะ เรามีอะไรที่จะได้เปรียบหรือไม่ มีหลักฐานว่าใครยิงก่อนยิงหลัง ตนสั่งให้หน่วยในพื้นที่พยายามเก็บหลักฐานมาตลอด  

"เราไม่จำเป็นต้องไปพูดคุยในระดับประเทศ เพราะไม่ใช่หน้าที่ทหาร เรามีหน้าที่ปกป้องอธิปไตยตามแนวชายแดนให้ได้ โดยกองทัพภาคที่ 2 ซึ่งหากมีกำลังไม่เพียงพอ ก็ให้กองทัพอื่นสนับสนุน ภายใต้กรอบตามกฎหมาย และอำนาจหน้าที่ของกองทัพไทย ในเรื่องของการใช้กำลัง ขณะนี้ผู้บัญชาการทหารบกสามารถอำนวยการได้อยู่ แต่การเคลื่อนย้ายกำลังพล หากไม่พอต้องขออนุมัติจาก ผบ.ทหารสูงสุด และเป็นไปตามกรอบของกระทรวงกลาโหม ผมบอกว่าการสู้รบไม่ยาก แต่หลังการรบเป็นเรื่องยาก  เพราะยากในการเจรจา หากมีการละเมิดก็ต้องขึ้นศาล เป็นเรื่องของกระทรวงการต่างประเทศ" ผบ.ทบ.กล่าว

** ไม่สนมนต์ดำเขมรโดนยิงก็ตาย

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า เราอย่าไปให้เครดิตทหารกัมพูชามากนัก เราต้องให้เครดิตทหารไทย ก็พูดจากันไปเรื่อยมีที่ไหน มนต์ดำไสยเวทย์ อ่านนิยายกันมากไปหรือเปล่า ไม่มีหรอกมนต์ดำ ยิงตายทุกคน ตนเห็นว่าถูกยิงตายทุกคน  

เมื่อถามว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรที่ว่า ทหารกัมพูชา ถอดใจ ถอนกำลังออกนอกพื้นที่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ปกติการดูแลไม่เหมือนทหารไทย เรื่องขวัญกำลังใจ เสบียงอาหารอ่อนด้อยกว่าไทย แต่การสู้รบมี 2 อย่าง คือ กำลังรบที่มีตัวตน คือ อาวุธยุทโธปกรณ์ และคน ส่วนที่ไม่มีตัวตนคือ ขวัญกำลังใจที่ได้จากการตอบแทนเมื่อเสียชีวิตในการปฏิบัติหน้าที่ เพราะฉะนั้นต้องเชียร์ และให้กำลังใจทหารไทย  

**ทหารยึดหลักปกป้อง-ไม่บุกรุก

เมื่อถามว่าห่วงหรือไม่ที่ต่างชาติมองว่าไทยรังแกประเทศที่เล็กกว่า พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ใช่ ทุกคนก็มองอย่างนั้น เราพยายามไม่ให้เป็นเช่นนั้น จึงไม่อยากใช้ความรุนแรงเกินไป หรือใช้กำลังที่บุกข้ามเขตแดนเข้าไปทำลายเขา และกลับมาที่ตั้ง ซึ่งทหารไทยทำได้หมดทุกเรื่อง แต่ตอบคำถามได้หรือไม่  ซึ่งวันนี้เรามองว่าเขาบุกรุก หรือพยายามบุกรุก เราก็ต้องเอาเรื่องนี้เป็นหลักฐานเพื่อต่อสู้ ว่าเขาเข้ามาในดินแดนไทย ซึ่งเป็นความชอบธรรมที่เขาพยายามเข้ามาทำร้ายคนไทย  เราต้องต่อสู้ เพื่อป้องกันดินแดนอธิปไตยของเรา และหากเรานำกำลังข้ามไปดินแดนกัมพูชา ทางเขาก็มีความชอบธรรมในการป้องกันประเทศ ฉะนั้นสุดท้ายก็ต้องมาพูดคุยเพื่อหาทางออก ซึ่งเป็นเรื่องของกระทรวงการต่างประเทศต้องไปหารือ เพราะมิเช่นนั้นจะคาบเกี่ยวกันตลอด

เมื่อถามว่า กระทรวงต่างประเทศนำร่างทีโออาร์ เพื่อให้ผู้สังเกตการณ์เข้ามาในประเทศไทย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ถ้าตกลงกันได้มีอะไรก็ตามเป็นเรื่องที่ต้องคิดให้รอบคอบ ถ้าจะมีผู้สังเกตการณ์ทางกระทรวงต่างประเทศบอกว่า จะต้องไม่มีทหารบนเขาพระวิหาร ไม่ว่าใครจะไป จะมาหรือไม่มาได้ก็ดี เป็นคำยืนยันของรัฐบาล แต่ถ้าจะเข้ามาก็ต้องมี ทีโออาร์กันว่าจะเอาอย่างไร ใครจะเป็นผู้อนุมัติ ซึ่งเป็นขั้นตอนของกระทรวงต่างประเทศ เท่าที่ดูรายละเอียดจำเป็น ต้องไม่มีทหารในพื้นที่เขาพระวิหาร ชุมชนและวัด ซึ่งไม่มีใครเข้ามาได้ ถ้าเขาไม่ยอมก็ต้องสู้รบกันต่อไป ก็เป็นไปได้ หรือจะจบด้วยการพูดคุยกัน

**"เทือก"ให้รอผลการหารือที่อินโดฯ

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง กล่าวถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่จ.สุรินทร์ และจ.บุรีรัมย์ ที่เริ่มมีการปิดศูนย์อพยพ และส่งประชาชนกลับไปยังบ้านพักอาศัยแล้วว่า เมื่อไม่มีเสียงปืนแล้ว เราก็ให้ประชาชนกลับบ้าน เพราะประชาชนที่อยู่ในศูนย์อพยพก็เป็นห่วงบ้าน และทรัพย์สินของตัวเอง และหวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้นๆ

เมื่อถามว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมา ยังมีการปะทะ และยังมีทหารไทยเสียชีวิตอีก 1 นาย จะรอดูความจริงใจของกัมพูชาอีกนานแค่ไหน นายสุเทพ กล่าวว่า ก็ดูไปเรื่อยๆ ยอมรับว่ามันเป็นงานที่ยาก สำหรับการเจรจาพูดคุยกับกัมพูชาให้หยุดยิงโดยทันที ซึ่งเราต้องใช้ความระมัดระวัง อย่างไรก็ตาม ในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่ ประเทศอินโดนีเซีย ระหว่างวันที่ 6-8 พ.ค.นี้ คิดว่าทางผู้นำกัมพูชาคงจะได้พบและพูดคุยกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และคิดว่าผลน่าจะออกมาดี 
 
**อนุมัติงบสร้างหลุมหลบภัยเพิ่ม

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนได้รายงานถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาให้นายกรัฐมนตรี รับทราบทุกวัน และยังคงให้มีศูนย์บริการประชาชนที่นิคมสร้างตนเอง จ.สุรินทร์ และจ.บุรีรัมย์ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง หรือการปะทะ ที่อาจเกิดขึ้นทันที ขณะเดียวกันก่อนการส่งประชาชนกลับเข้าพื้นที่ก็ได้มีการทำความเข้าใจและเตือนประชาชนหากเกิดการปะทะ ว่าสามารถกลับเข้ามาในศูนย์อพยพทั้ง 35 แห่งได้ตามเดิม

ส่วนการสร้างหลุมหลบภัยเพิ่มเติม ขณะนี้ได้มีการอนุมัติงบประมาณในการดำเนินการแล้ว ส่วน จ.บุรีรัมย์ กำลังรอการส่งเรื่องมายังรัฐบาล ด้านการให้ความช่วยเหลือและชดเชยค่าเสียหาย ทางรัฐบาลได้ดูแลและซ่อมแซมที่อยู่อาศัยให้สามารถกลับมาใช้งานได้ แต่หากเสียหายทั้งหลังก็จะทำการสร้างใหม่ให้ ทั้งนี้ งบประมาณที่ใช้ในการดำเนินการครั้งนี้เป็นเงินทดรองจ่ายกรณีฉุกเฉินของจังหวัดที่มีอยู่แล้ว 50 ล้านบาท  

***จวก"มาร์ค"พูดเท็จเรื่องเอ็มโอยู43

นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวในการแถลงข่าวประจำวันต่อสื่อมวลชน เมื่อเวลา 10.00 น. วานนี้ (3 พ.ค.) ว่า ขณะนี้ได้รับทราบข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับเอ็มโอยู 2543 หลายประการ จากเดิมที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เคยบอกไว้ว่าเอ็มโอยู 2543 เป็นหลักประกันในการป้องกันไม่ให้เกิดการปะทะกัน หรือมีสงครามเกิดขึ้น แต่ในที่สุดแล้ว เรื่องนี้ก็เป็นเท็จทั้งสิ้น เพราะการปะทะที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่าฝ่ายกัมพูชาไม่สนใจเอ็มโอยู 2543 แม้แต่น้อย ในการรุกรานแผ่นดินไทย และใช้อาวุธทำร้ายราษฎรทหารไทยอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ เคยบอกว่า เอ็มโอยู 2543 ทำให้ให้ไทยไม่ต้องไปขึ้นศาลโลก ซึ่งก็เป็นเท็จ เพราะกัมพูชาไปยื่นคำร้องต่อศาลโลกนั้น ไม่ได้อ้างถึงเอ็มโอยู 2543 แม้แต่น้อย รัฐบาลไทยก็กำลังจะหลงเกม เข้าสู้ในเวทีศาลโลกอีกด้วย โดยขณะนี้นายอภิสิทธิ์ และรัฐบาลยังมีท่าทีในการเคลื่อนย้ายราษฎรไทยกลับไปยังถิ่นฐาน และปิดศูนย์อพยพ โดยอ้างว่าสถานการณ์สงบแล้ว แต่ปรากฎว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา กลับมีการปะทะกันจนทำให้มีทหารเสียชีวิตอีก 1 นาย ชี้ให้เห็นว่าสถานการณ์ยังไว้วางใจไม่ได้ แสดงว่า รัฐบาลสนใจแต่ที่จะเอาชนะกันทางการเมืองที่ต้องการย้ายผู้คนกลับถิ่นฐานเดิม เพื่อสร้างภาพว่า สถานการณ์สงบแล้ว ก่อนที่จะมีการยุบสภา โดยไม่สนใจแม้แต่น้อยว่า กองกำลังกัมพูชา อยู่ในจุดสูงข่ม ที่สามารถทำร้ายราษฎรไทยได้ตลอดเวลา ไม่มีหลักประกันใดว่า ราษฎรไทยจะปลอดภัยอย่างแท้จริง

"เราขอประณามรัฐบาลกัมพูชาที่ไม่ทำตามข้อตกลงหยุดยิงที่มีกับฝ่ายไทย ในขณะเดียวกันก็ต้องตำหนิรัฐบาลไทยที่ไม่ผลักดันกัมพูชาออกจากจุดล่อแหลมที่สามารถทำร้ายราษฎรไทยได้ แล้วไปปิดศูนย์อพยพให้ประชาชนกลับถิ่นฐาน จนเกิดเหตุปะทะ และสร้างความสุ่มเสี่ยงให้กับประชาชนในทางที่ไม่ควรจะเป็น" นายปานเทพกล่าว
    
** ชู"สมปอง สุจริตกุล"นำทีมทนาย

ส่วนกรณีที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เตรียมนำเรื่องการขึ้นต่อสู้ในศาลโลกตามที่ฝ่ายกัมพูชาได้ยื่นคำร้องเพื่อให้ขยายผลตีความคำพิพากษาของศาลโลกต่อกรณีปราสาทพระวิหาร เมื่อปี 2505 รวมทั้งกรณีการแต่งตั้งทนายชาวฝรั่งเศส เข้าสู่การพิจารณาของครม.นั้น นายปานเทพ กล่าวว่า หากรัฐบาลยังดื้อดึงที่จะใช้ทนายความจากประเทศฝรั่งเศส ตนเป็นห่วงว่าอาจมีเหตุให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะทนายกลุ่มนี้ อาจมีความรักชาติมากกว่าการดำเนินการในวิชาชีพตัวเอง เหตุเพราะฝรั่งเศสได้มีสัมปทานน้ำมันในกัมพูชา และยังเป็นอดีตเจ้าอาณานิคม จึงมีพฤติกรรมอย่างต่อเนื่องในการสนับสนุนกัมพูชา ทั้งยังเป็นผู้เขียนแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสนขึ้นมาฝ่ายเดียว โดยที่สยามและกัมพูชา ต้องใช้มาโดยไม่ถูกต้อง

โดยหากฝ่ายไทยต้องไปขึ้นศาลโลกจริง ต้องไม่ไปสู้ในเรื่องเนื้อหาสาระต่อไป ควรที่จะไปสู้ในประเด็นเดียวว่า ศาลโลกไม่มีอำนาจในการวินิจฉัยตีความเกินกว่าคำพิพากษา เมื่อปี 2505 ซึ่งฝ่ายไทยก็ไม่ควรยอมรับ หากมีการตีความเกินขอบเขตดังกล่าว มิเช่นนั้นรัฐบาลไทยอาจได้ชื่อว่า ต้องการการประทับตรารับรองจากศาลโลก เพียงเพื่อต้องการฟอกความผิดจากกรณีเอ็มโอยู 2543 เท่านั้น

"รัฐบาลไทยควรเชื่อในข้อเสนอของ ศ.ดร.สมปอง สุจริตกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศ ที่ให้ไทยยกเลิกเอ็มโอยู 2543 และถอนตัวออกจากภาคีมรดกโลก รวมทั้งผลักดันกัมพูชาออกจากแผ่นดินไทย ดังนั้น รัฐบาลควรเชิญให้ ศ.ดร.สมปอง มาร่วมเป็นทีมทนายในครั้งนี้ โดยเป็นผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจทั้งหมด มิใช่เพียงที่ปรึกษา หรือคณะกรรมการที่อาจต้องฟังมติเสียงส่วนใหญ่ เพื่อให้ประชาชนไว้วางใจในการต่อสู้คดีความครั้งนี้"

** อินโดฯจะเข้ามาต้องผ่านสภาก่อน

ผู้สื่อข่าวถามถึงการนำร่างข้อตกลงและแผนแม่บท (ทีโออาร์) ในการส่งทหารอินโดนีเซียเข้ามาผู้สังเกตการณ์ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา นายปานเทพ กล่าวว่า เรื่องนี้มีความชัดเจนว่าต้องผ่านการเห็นชอบต่อที่ประชุมรัฐสภาเสียก่อน เพราะมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตดินแดนของประเทศไทย เพราะฝ่ายทหารจากประเทศที่ 3 เข้ามาโดยมีวัตุถุประสงค์ให้มีการหยุดยิงกันทั้ง 2 ฝ่าย ในขณะที่ฝ่ายกัมพูชายังยึดครองแผ่นดินไทยอยู่ โดยที่จะสามารถยึดครองได้อย่างถาวร หากการเจรจาแล้วฝ่ายกัมพูชายังไม่พอใจ รวมไปถึงการที่มีการไปเจรจาในทางลับ เพื่อกำหนดกรอบทีโออาร์นั้น ก็ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 (3) ที่กำหนดให้มีการของอนุมัติกรอบการเจรจาเพื่อขอความเห็นชอบจากรัฐสภาเสียก่อน จึงจะมีการเจรจากับประเทศอื่นได้  ยิ่งหากมีการลงนาม ก็จะขัดต่อมาตรา 190 (2) ที่ต้องขอความเห็นชอบก่อนที่จะมีการลงนามใดๆ

กรณีนี้จะซ้ำรอยกับการที่นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ ไปลงนามในจ๊อยส์คอมมูนิเก้ แล้วศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้เป็นโมฆะ เพราะไม่ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐสภา ซึ่งการที่กระทรวงการต่างประเทศ แถลงว่า ในเบื้องต้นมีการกำหนดให้ทหารอินโดนีเซีย เข้ามาสังเกตการณ์ในฝั่งไทย 4 จุด ฝั่งกัมพูชา 3 จุด แล้วบอกว่าไม่เข้าข่าย มาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญนั้น ถือเป็นการคิดไปเองของกระทรวงการต่างประเทศ รวมไปถึงการเจรจาเพื่อจัดทำทีโออาร์ดังกล่าว ควรจะเป็นหน้าที่ของคณะกรรมาธิการชายแดนทั่วไป (จีบีซี) ไทย-กัมพูชา ที่ฝ่ายกองทัพและกระทรวงกลาโหมดูแล การเข้ามามีบทบาทของกระทรวงการต่างประเทศ จึงเป็นการก้าวก่ายหน้าที่ของฝ่ายมั่นคง

** รัฐบาลอัดงบอุดปากทหาร

นายปานเทพกล่าวว่า ตนขอตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดจึงมีการนำทีโออาร์เข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมครม. ในช่วงนี้ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ฝ่ายกองทัพ แสดงท่าทีไม่ยินยอมอย่างชัดเจน แต่ครั้งนี้กลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ออกมาจากทั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. จึงสงสัยว่า อาจเกี่ยวข้องกับการที่ทั้ง 2 คนได้เดินทางไปเยือนอินโดนีเซีย เมื่อช่วงกลางเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา อีกทั้งในการประชุมครม.ครั้งนี้ ก็ยังมีการอนุมัติงบประมาณจัดซื้ออาวุธอย่างมโหฬาร

"เมื่อการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้ จึงถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญ หากมีการดำเนินการไปถึงขั้นยินยอมให้ทหารจากประเทศที่ 3 เข้ามาในพื้นที่ แล้วส่งผลไม่ให้ทหารไทยสามารถผลักดันทหารกัมพูชาออกไปได้ เป็นผลให้ไทยต้องสุ่มเสี่ยงในการสูญเสียดินแดนอย่างถาวร ทางเราจะต้องดำเนินคดีความ ทางอาญาต่อไป" นายปานเทพกล่าว

** อัดผบ.ทบ.ล้มเหลว-ดีแต่พล่าม

นายประพันธ์ คูณมี โฆษกคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย กล่าวว่า เหตุการปะทะที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่า กองทัพไทยล้มเหลวในการทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติ แม้ว่าจะมีศักยภาพเหนือกว่ากัมพูชาอย่างมากมายมหาศาลก็ตาม ในความเป็นจริง รัฐบาลและกองทัพาสามารถใช้กำลังในการทำลายศักยภาพทางการรบของกัมพูชาได้ทันที แต่กลับไม่ทำ ปล่อยให้กัมพูชามาตอดเล็กตอดน้อย แล้วให้ชีวิตทหาร และประชาชนต้องบาดเจ็บล้มตายทุกวัน

ดังนั้น การที่มีความต้องการเจรจาหรือให้อินโดนีเซียเข้ามาสังเกตการณ์ เป็นการกระทำที่โง่เขลา และต้องถือว่าโดยที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง ทำหน้าที่ต่ำกว่ามาตรฐาน ไม่ควรที่จะได้รับเกียรติใดๆ จากประชาชน เพราะตั้งแต่ขึ้นมาเป็นผบ.ทบ. ก็ดีแต่พูด ดีแต่ใช้ปาก ตีสำนวนโวหาร ตอบโต้กับประชาชน และสื่อมวลชน แต่ทำตัวอยู่ภายใต้การบงการของฝ่ายการเมือง ไม่ทำหน้าที่เป็ยผู้นำเหล่าทัพ ให้สมเกียรติ

"ปัญหาข้อพิพาทในวันนี้ไม่ใช่ว่าใครยิงใครตายมากกว่ากัน แต่อยู่ที่ใครยึดดินแดนได้ หากเป็นผบ.ทบ.แล้วปล่อยให้ประเทศที่มีศักยภาพการรบต่ำที่สุดในโลก ยึดครองแผ่นดินได้ ก็สมควรที่ต้องเอาปิ๊บคุมหัวได้แล้ว เพราะไม่มีศักดิ์ศรี อ้างไม่ได้ว่าทหารไทยเหนือกว่า เก่งกว่า ปล่อยให้ทหารกัมพูชามา กร่างได้ตามแนวชายแดน  และปล่อยให้มีการนำปัญหาไปสู่เวทีนานาชาติ จนต้องมีการเดินทางไปขอร้องมหาอำนาจอย่างจีนให้เข้ามาช่วย  ถือเป็นการกระทำที่เลอะเทอะมาก" นายประพันธ์กล่าว

***ศาลโลกเผยเขมรยื่นคำร้องแล้ว

สำนักข่าวเอเอฟพีและรอยเตอร์รายงานว่า ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice ใช้อักษรย่อว่า ICJ) หรือ “ศาลโลก” ออกคำแถลงในวันจันทร์(2พ.ค.) ว่า รัฐบาลกัมพูชาได้ยื่นคำร้องในกรณีปราสาทพระวิหารที่เป็นกรณีพิพาทอยู่กับประเทศไทย พร้อมกับขอให้ศาลโลกออกคำสั่งให้ทหารไทยถอนออกไปจากบริเวณพื้นที่รอบๆ ปราสาทพระวิหารด้วย

ศาลโลกระบุในคำแถลงว่า จะตรวจสอบข้อเรียกร้องของกัมพูชาที่จะให้มีการไต่สวนเรื่องนี้ภายในระยะเวลาสองสามเดือนข้างหน้า แต่ยังไม่ได้มีการกำหนดวันเวลาแน่นอน

นอกจากนั้น คำแถลงของศาลโลกบอกด้วยว่า การยื่นคำร้องของกัมพูชาคราวนี้ ทำให้เป็นการเปิดคดีความคดีใหม่ขึ้นมา

ก่อนหน้านี้เมื่อวันพฤหัสบดี (28เม.ย.) รัฐบาลกัมพูชาแถลงว่า ได้ยื่นคำร้องต่อศาลโลก เพื่อขอให้ตีความคำตัดสินในกรณีปราสาทพระวิหารเมื่อปี พ.ศ.2505

ทั้งนี้ ตั้งแต่ที่ศาลโลกในรูปแบบปัจจุบันก่อตั้งขึ้นมาในปี 2489 นั้น ครั้งนี้เป็นเพียงครั้งที่ 7 ที่มีประเทศผู้เกี่ยวข้องยื่นขอให้ตีความขยายความคำพิพากษา  โดยที่ 6 ครั้งที่ขอมาก่อนหน้านี้ ต่างยื่นภายหลังศาลโลกอ่านคำตัดสินไป 1 หรือ 2 ปี มีแต่คราวนี้เท่านั้น ที่มาขอให้ตีความภายหลังการพิพากษาผ่านไปเกือบ 50 ปี
กำลังโหลดความคิดเห็น