xs
xsm
sm
md
lg

พธม.จับกะล่อน “มาร์ค” อุ้ม MOU43 แนะตั้ง “สมปอง” คุมทีมสู้เขมรที่ศาลโลก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ - ประพันธ์ คูณมี
พันธมิตรฯ ฉะ “มาร์ค” โกหกตลอดเรื่องเอ็มโอยู 43 บอกเป็นหลักประกันไม่ให้ไทยปะทะเขมรก็ไม่เป็นความจริง หรือจะทำให้ไทยไม่ต้องไปขึ้นศาลโลกก็กล่าวเท็จอีก แนะตั้ง “สมปอง” คุมทีมสู้เขมรบนเวทีศาลโลก พร้อมค้านรัฐบาลตั้งทนายชาวฝรั่งเศสสู้คดี ชี้จะทำให้ไทยเสียเปรียบ เหตุมีผลประโยชน์ทับซ้อน ขณะเดียวกันเสนอให้สู้ในประเด็นศาลโลกไม่มีอำนาจในการวินิจฉัยตีความเกินกว่าคำพิพากษาเมื่อปี 2505 สงสัยกองทัพโดนอะไรปิดปาก ไม่แอะ ครม.เตรียมอนุมัติทีโออาร์ให้ทหารอินโดฯ เข้าสังเกตการณ์ชายแดนไทย กัมพูชา เตือนไม่นำเข้าสู่การพิจารณาของสภา ระวังซ้ำรอย “นพเหล่” กระทำการขัด ม.190



นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แถลงว่า ขณะนี้เราได้รับทราบข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับเอ็มโอยู 2543 หลายประการ จากเดิมที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เคยบอกไว้ว่าเอ็มโอยู 2543 เป็นหลักประกันในการป้องกันไม่ให้เกิดการปะทะกันหรือมีสงครามเกิดขึ้น ในที่สุดแล้วเรื่องนี้ก็เป็นเท็จทั้งสิ้น เพราะการปะทะที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นว่าฝ่ายกัมพูชาไม่สนใจเอ็มโอยู 2543 แม้แต่น้อย ในการรุกรานแผ่นดินไทย และใช้อาวุธทำร้ายราษฎรและทหารไทยอย่างต่อเนื่อง

นายปานเทพกล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ยังเคยบอกว่าเอ็มโอยู 2543 ทำให้เราไม่ต้องไปขึ้นศาลโลก ซึ่งก็เป็นเท็จ เพราะกัมพูชาไปยื่นคำร้องต่อศาลโลกนั้นไม่ได้อ้างถึงเอ็มโอยู 2543 แม้แต่น้อย รัฐบาลไทยก็กำลังจะหลงเกมเข้าสู่ในเวทีศาลโลกอีกด้วย โดยขณะนี้นายอภิสิทธิ์และรัฐบาลยังมีท่าทีในการเคลื่อนย้ายราษฎรไทยกลับไปยังถิ่นฐานและปิดศูนย์อพยพ โดยอ้างว่าสถานการณ์สงบแล้ว แต่ปรากฏว่าเมื่อคืนที่ผ่านมากลับมีการปะทะกันจนทำให้มีทหารเสียชีวิตอีก 1 นาย ชี้ให้เห็นว่าสถานการณ์ยังไว้วางใจไม่ได้ แสดงว่ารัฐบาลสนใจแต่ที่จะเอาชนะกันทางการเมือง ที่ต้องการย้ายผู้คนกลับถิ่นฐานเดิม เพื่อสร้างภาพว่าสถานการณ์สงบแล้วก่อนที่จะมีการยุบสภา โดยไม่สนใจแม้แต่น้อยว่ากองกำลังกัมพูชาอยู่ในจุดสูงข่มที่สามารถทำร้ายราษฎรไทยได้ตลอดเวลา ไม่มีหลักประกันใดว่าราษฎรไทยจะปลอดภัยอย่างแท้จริง

“เราขอประณามรัฐบาลกัมพูชาที่ไม่ทำตามข้อตกลงหยุดยิงที่มีต่อกับฝ่ายไทย ในขณะเดียวกัน ก็ต้องตำหนิรัฐบาลไทยที่ไม่ผลักดันกัมพูชาออกจากจุดล่อแหลมที่สามารถทำร้ายราษฎรไทยได้ แล้วไปปิดศูนย์อพยพให้ประชาชนกลับถิ่นฐาน จนเกิดเหตุปะทะและสร้างความสุ่มเสี่ยงให้แก่ประชาชนในทางที่ไม่ควรจะเป็น” นายปานเทพกล่าว

ส่วนที่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เตรียมนำเรื่องการขึ้นต่อสู้ในศาลโลก ตามที่ฝ่ายกัมพูชาได้ยื่นคำร้องเพื่อให้ขยายผลตีความคำพิพากษาของศาลโลกต่อกรณีปราสาทพระวิหาร เมื่อปี 2505 รวมทั้งกรณีการแต่งตั้งทนายชาวฝรั่งเศสเข้าสู่การพิจารณของ ครม.ในวันนี้นั้น นายปานเทพกล่าวว่า หากรัฐบาลยังดื้อดึงที่จะใช้ทนายความจากประเทศฝรั่งเศส ตนเป็นห่วงว่าอาจมีเหตุให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะทนายกลุ่มนี้อาจมีความรักชาติมากกว่าการดำเนินการในวิชาชีพตัวเอง เหตุเพราะฝรั่งเศสได้มีสัมปทานน้ำมันกับกัมพูชา และยังเป็นอดีตเจ้าอาณานิคม จึงมีพฤติกรรมอย่างต่อเนื่องในการสนับสนุนกัมพูชา ทั้งยังเป็นผู้เขียนแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ขึ้นมาฝ่ายเดียว โดยที่สยามและกัมพูชาต้องใช้มาโดยไม่ถูกต้อง

นายปานเทพกล่าวว่า หากฝ่ายไทยต้องไปขึ้นศาลโลกจริง ต้องไม่ไปสู้ในเรื่องเนื้อหาสาระต่อไป ควรที่จะไปสู้ในประเด็นเดียวว่าศาลโลกไม่มีอำนาจในการวินิจฉัยตีความเกินกว่าคำพิพากษาเมื่อปี 2505 ซึ่งฝ่ายไทยก็ไม่ควรยอมรับหากมีตีความเกินขอบเขตดังกล่าว มิเช่นนั้นรัฐบาลไทยอาจได้ชื่อว่าต้องการการประทับตรารับรองจากศาลโลก เพียงเพื่อต้องการฟอกความผิดจากกรณีเอ็มโอยู 2543 เท่านั้น

อย่าไรก็ตาม ตนเห็นว่ารัฐบาลไทยควรเชื่อในข้อเสนอของ ศ.ดร.สมปอง สุจริตกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศ ที่ให้ไทยยกเลิกเอ็มโอยู 2543 และถอนตัวออกจากภาคีมรดกโลก รวมทั้งผลักดันกัมพูชาออกจากแผ่นดินไทย ดังนั้น รัฐบาลควรเชิญให้ ศ.ดร.สมปองมาร่วมเป็นทีมทนายในครั้งนี้ โดยเป็นผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจทั้งหมด มิใช่เพียงที่ปรึกษา หรือคณะกรรมการที่อาจต้องฟังมติเสียงส่วนใหญ่ เพื่อให้ประชาชนไว้วางใจในการต่อสู้คดีความครั้งนี้

ผู้สื่อข่าวถามความเห็นถึงร่างข้อตกลงและแผนแม่บท (ทีโออาร์) ในการส่งทหารอินโดนีเซียเข้ามาผู้สังเกตการณ์ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา นายปานเทพกล่าวว่า เรื่องนี้มีความชัดเจนว่าต้องผ่านการเห็นชอบต่อที่ประชุมรัฐสภาเสียก่อน เพราะมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตดินแดนของประเทศไทย เพราะฝ่ายทหารจากประเทศที่ 3 เข้ามาโดยมีวัตุถุประสงค์ให้มีการหยุดยิงกันทั้ง 2 ฝ่าย ในขณะที่ฝ่ายกัมพูชายังยึดครองแผ่นดินไทยอยู่ โดยที่จะสามารถยึดครองได้อย่างถาวร หากการเจรจาแล้วฝ้ายกัมพูชายังไม่พอใจ รวมไปถึงการที่มีการไปเจรจาในทางลับเพื่อกำหนดกรอบทีโออาร์นั้น ก็ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 (3) ที่กำหนดให้มีการขออนุมัติกรอบการเจรจาเพื่อขอความเห็นชอบจากรัฐสภาเสียก่อน จึงจะมีการเจรจากับประเทศอื่นได้ ยิ่งหากมีการลงนามก็จะขัดต่อมาตรา 190 (2) ที่ต้องขอความเห็นชอบก่อนที่จะมีการลงนามใดๆ

นายปานเทพกล่าวว่า กรณีนี้จะซ้ำรอยกับการที่นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ ไปลงนามในจ๊อยส์คอมมูนิเก้ แล้วศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้เป็นโมฆะ เพราะไม่ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐสภา ซึ่งการที่กระทรวงการต่างประเทศแถลงว่า ในเบื้องต้นมีการกำหนดให้ทหารอินโดนีเซียเข้ามาสังเกตการณ์ในฝั่งไทย 4 จุด ฝั่งกัมพูชา 3 จุด แล้วบอกว่าไม่เข้าข่ายมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญนั้น ถือเป็นการคิดไปเองของกระทรวงการต่างประเทศ รวมไปถึงการเจรจาเพื่อจัดทำทีโออาร์ดังกล่าวควรจะเป็นหน้าที่ของคณะกรรมาธิการชายแดนทั่วไป (จีบีซี) ไทย-กัมพูชา ที่ฝ่ายกองทัพและกระทรวงกลาโหมดูแล การเข้ามามีบทบาทของกระทรวงการต่างประเทสจึงเป็นการก้าวก่ายหน้าที่ของฝ่ายมั่นคง

ทั้งนี้ ตนยังขอตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดจึงมีการนำทีโออาร์เข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุม ครม.ในช่วงนี้ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ฝ่ายกองทัพแสดงท่าทีไม่ยินยอมอย่างชัดเจน แต่ครั้งนี้กลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ออกมาจากทั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. จึงสงสัยว่าอาจเกี่ยวข้องกับการที่ทั้ง 2 คนได้เดินทางไปเยือนอินโดนีเซียเมื่อช่วงกลางเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา อีกทั้งในการประชุม ครม.วันนี้ก็ยังมีการอนุมัติงบประมาณจัดซื้ออาวุธอย่างมโหฬาร

“เมื่อการดำเนินการของ ครม.ในครั้งนี้จึงถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญ หากมีการดำเนินการไปถึงขั้นยินยอมให้ทหารจากประเทศที่ 3 เข้ามาในพื้นที่ แล้วส่งผลไม่ให้ทหารไทยสามารถผลักดันทหารกัมพูชาออกไปได้ เป็นผลให้ไทยต้องสุ่มเสี่ยงในการสูญเสียดินแดนอย่างถาวร ทางเราจะต้องดำเนินคดีความทางอาญาต่อไป”

ด้าน นายประพันธ์ คูณมี โฆษกคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย กล่าวว่า เหตุการปะทะที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่ากองทัพไทยล้มเหลวในการทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยดินแดนของชาติ แม้ว่าจะมีศักยภาพเหนือกว่ากัมพูชาอย่างมากมายมหาศาลก็ตาม ในความเป็นจริงรัฐบาลและกองทัพสามารถใช้กำลังในการทำลายศักยภาพทางการรบของกัมพูชาได้ทันที แต่กลับไม่ทำ ปล่อยให้กัมพูชามาตอดเล็กตอดน้อย แล้วให้ชีวิตทหารและประชาชนต้องบาดเจ็บล้มตายทุกวัน

ดังนั้น การที่มีความต้องการเจรจา หรือให้อินโดนีเซียเข้ามาสังเกตการณ์ เป็นการกระทำที่โง่เขลา และต้องถือว่าโดยที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง ทำหน้าที่ต่ำกว่ามาตรฐานไม่ควรที่จะได้รับเกียรติใดๆ จากประชาชน เพราะตั้งแต่ขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ.ดีแต่พูด ดีแต่ใช้ปากสำนวนโวหารตอบโต้กับประชาชน และสื่อมวลชน แต่ทำตัวอยู่ภายใต้การบงการของฝ่ายการเมือง ไม่ทำหน้าที่เป็ยผู้นำเหล่าทัพให้สมเกียรติ

“ปัญหาข้อพิพาทในวันนี้ ไม่ใช่ว่าใครยิงใครตายมากกว่ากัน แต่อยู่ที่ใครยึดดินแดนได้ หากเป็น ผบ.ทบ.แล้วปล่อยให้ประเทศที่มีศักยภาพการรบต่ำที่สุดในโลกยึดครองแผ่นดินได้ ก็สมควรที่ต้องเอาปี๊บคุมหัวได้แล้ว เพราะไม่มีศักดิ์ศรี อ้างไม่ได้ว่าทหารไทยเหนือกว่า เก่งกว่า ปล่อยให้ทหารกัมพูชามากร่างได้ตามแนวชายแดน และปล่อยให้มีการนำปัญหาไปสู่เวทีนานาชาติ จนต้องมีการเดินทางไปขอร้องมหาอำนาจอย่างจีนให้เข้ามาช่วย ถือเป็นการกระทำที่เลอะเทอะมาก” นายประพันธ์กล่าว

กำลังโหลดความคิดเห็น