xs
xsm
sm
md
lg

พธม.ชูผล “โหวตโน” ออนไลน์ทะลุ 50% สะท้อน ปชช.หนุนปฏิรูปการเมือง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


โฆษกพันธมิตรฯ ชูผลโพลออนไลน์หนุนโหวตโนเกิน 50% เชื่อ ปชช.ต้องการปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่ สับรัฐบาลทำมึนจ้างทนายฝรั่งเศสสู้คดีในศาลโลก หวังทำไทยแพ้เพื่อฟอกตัวเอ็มโอยู 43 จี้กองทัพฉวยจังหวะเขมรเพลี่ยงพล้ำ รุกยึดภูมะเขือ-วัดแก้วฯคืน ด้าน “ลุงจำลอง” เปรียบชาติเหมือนคนป่วยหนัก หมดหวังนักการเมืองไม่สนอธิปไตยชาติ

วันนี้ (2 พ.ค.) พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ ได้ร่วมกันแถลงข่าวประจำวันต่อสื่อมวลชน โดย นายปานเทพ ได้กล่าวถึงผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชน ในหัวข้อ “ถ้าเลือกตั้งวันนี้คุณจะเลือกพรรคใด” ทางหน้าเว็บไซต์ของเอ็มเอสเอ็น ประเทศไทย (th.msn.com) ว่า มีประชาชนเข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นต่อการเลือกตั้งโดยออกไปใช้สิทธิกากบาทในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนนให้กับพรรคการเมืองใดหรือโหวตโน ขณะนี้เพิ่มขึ้นมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์แล้ว ขณะที่ประชาชนที่ประสงค์จะใช้สิทธิเลือกพรรคเพื่อไทย 28 เปอร์เซ็นต์ และพรรคประชาธิปัตย์ มีเพียง 20 เปอร์เซ็นต์ แสดงให้เห็นว่า การรณรงค์ชูธงโหวตโนของพันธมิตรฯเป็นสิ่งที่ตรงใจประชาชนส่วนใหญ่ที่ไม่ต้องการนักการเมืองเลวมาปกครองประเทศโดยผ่านระบบการเลือกตั้งและต้องการให้เกิดปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่ เพื่อนำไปสู่ระบอบใหม่ที่ดีกว่า ที่จะสามารถได้นักการเมืองที่ดีและรัฐบาลที่ดีจะมาบริหารประเทศ เพื่อจะเป็นทางออกและทางรอดของประเทศได้

นายปานเทพ กล่าวต่อว่า จนถึงขณะนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะยุบสภา และจัดการเลือกตั้งวันใด รวมทั้งเลือกตั้งไปแล้วจะจัดตั้งรัฐบาลได้หรือไม่ หรือในการเลือกตั้งหากมีการทุจริตโดยการซื้อคะแนนเสียงกันอย่างมโหฬาร คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะสามารถจัดการเลือกตั้งที่ทุกฝ่ายยอมรับได้หรือไม่ ทั้งยังมีอุบัติเหตุทางการเมืองเกิดขึ้นได้อีกมากมาย อย่างไรก็ตาม ขอยืนยันว่า พันธมิตรฯไม่เคยมีแนวคิดในการเรียกทหารให้มาปฏิวัติรัฐประหาร แต่เราต้องการปฏิรูปการเมืองเพื่อได้คนดี คนเก่งมาบริหารประเทศ และเป็นสิ่งที่คนไทยรอคอยมาตลอด

ส่วนกรณีที่คณะรัฐมนตรีเตรียมนำเรื่องการแต่งตั้งทนายชาวฝรั่งเศสเพื่อต่อสู้ในศาลโลก จากการที่ฝ่ายกัมพูชายื่นฟ้องในส่วนปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า ตนไม่ทราบเหตุผลว่าเหตุใดกระทรวงการต่างประเทศจึงต้องไปนำชาวฝรั่งเศสที่เป็นชาติเจ้าของอาณานิคมของประเทศกัมพูชา และยืนคู่กับกัมพูชามาโดยตลอด มาเป็นทนายของรัฐบาลไทย และขอตั้งข้อสังเกตว่า เป็นความจงใจของรัฐบาลหรือไม่ที่ต้องการแพ้คดีในศาลโลกอีกครั้ง เพื่อเป็นการฟอกความผิดให้กับรัฐบาลในอดีตที่ไปลงนามเอ็มโอยู 2543 และรับรองแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ทำให้ไทยเสียเปรียบกัมพูชาตลอดมา เพราะหากไทยแพ้คดีอีก รัฐบาลจะได้อ้างว่าไม่ได้เป็นเพราะเอ็มโอยู 2543 แต่เป็นเพราะปัญหาเขตแดน แต่ถ้าไทยชนะคดีรัฐบาลก็จะอ้างได้อีก เอาเป็นความดีความชอบของรัฐบาลเองที่เตรียมข้อมูลหลักฐานไปต่อสู้ในศาลโลกจนชนะ แต่ขอยืนยันว่า ไม่เกิดประโยชน์ต่อเขตแดนประเทศไทยใดๆ ทั้งสิ้น หากชนะก็คือประเทศไทยได้สิทธิในตัวแผ่นดินใต้ปราสาทพระวิหารเหมือนเดิม เพราะธรรมนูญของศาลโลก ได้ระบุว่า หากจะแย้งคำพิพากษาศาลโลกที่ตัดสินไปแล้ว ต้องมีข้อมูลใหม่ภายในระยะเวลา 10 ปี แต่คำตัดสินตั้งแต่ปี 2505 เลยกำหนดระยะเวลาดังกล่าวไปแล้ว และยังระบุในท้ายคำตัดสินด้วยว่าไม่เกี่ยวข้องกับเส้นเขตแดน เพราะศาลโลกตัดสินเฉพาะอธิปไตยเหนือตัวปราสาทเท่านั้น ดังนั้นรัฐบาลไทยไม่ควรไปต่อสู้ หรือรื้อฟื้นคดีขึ้นมาอีก แต่หากจำเป็นต้องต่อสู้ ต้องใช้สิทธิในการไม่ยอมรับอำนาจของศาลโลก แทนการต่อสู้ในเนื้อหาของคดี ซึ่งเสร็จสิ้นไปตั้งแต่เมื่อ 50 ปีก่อน

“ที่ผ่านมา ไม่ว่าเวทีใดทั่วโลก ไทยก็ไม่เคยชนะกัมพูชาได้เลย ทุกอย่างเดินตามเกมกัมพูชามาตลอด ซึ่งรัฐบาลไทยไม่ควรไปเสียเวลาเอาเงินงบประมาณไปละเลงเล่นกับเรื่องนี้อีก ควรออกมาทำหน้าที่ปกป้องเขตแดนของชาติจะเป็นเรื่องที่ต้องเร่งมากที่สุด โดยช่วงนี้ทหารกัมพูชากำลังเพลี่ยงพล้ำ ก็ควรรุกไปยึดภูมะเขือ วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ และพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร โดยต้องให้ถอนกองกำลังทหารและชุมชนกัมพูชาออกไปให้หมด” นายปานเทพ กล่าว

โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวด้วยว่า ในส่วนพื้นที่รอบปราสาทตาควายนั้น รัฐบาลต้องให้ความชัดเจนว่า ก่อนหน้านี้ มีกองกำลังทหารกัมพูชาเข้าอยู่ก่อนหรือไม่ และจะต้องถอยร่นออกหน้าผาเลยแนวสันปันน้ำไป จึงจะเรียกว่ายึดคืนแผ่นดินไทยกลับมาได้ แต่ขณะนี้รัฐบาลกลับไม่ทำอะไรนั่งรอให้ทหารกัมพูชามีความเข้มแข็งขึ้น แล้วมาทำร้ายราษฎรไทย ทำให้ทหารบาดเจ็บล้มตายไปให้มากกว่านี้เท่านั้นเอง เพราะรัฐบาลยังไม่สามารถเจรจาให้ทหารกัมพูชาหยุดยิงถาวรได้เลย เมื่อเป็นเช่นนี้จะเอาอะไรไปต่อสู้ในศาลโลก และหากกัมพูชาหยิบยกเอาทุกปราสาทในไทยไปฟ้องศาลโลก รัฐบาลไทยก็ต้องตามไปแก้ต่างจนหมดทุกแห่งเช่นนั้นหรือ

ขณะที่ พล.ต.จำลอง กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนเชื่อว่า หลังการเลือกตั้งไปแล้ว ไม่ว่าพรรคใดมาเป็นรัฐบาลก็ยังไม่มีการหยิบยกเรื่องการปกป้องอธิปไตยของประเทศมาดำเนินการอย่างเต็มที่ และคงปล่อยปัญหาข้อพิพากชายแดนไทย-กัมพูชา ยืดเยื้ออยู่อย่างนี้ไม่ว่าทหารไทย ประชาชนไทยต้องตายหรือบาดเจ็บ ต้องไปอยู่ศูนย์อพยพกันอีกกี่ครั้ง รวมทั้งปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นโกงบ้านกินเมือง ข้าวยากหมากแพง เป็นปัญหาที่คนไทยต้องทนรับกรรมกันต่อไป เพราะการมาเป็นนักการเมืองแล้วมาจับมือกันตั้งรัฐบาล เป็นของง่ายๆของนักการเมืองไทย ไม่ว่าประชาชนจะแบกปัญหาไหวหรือไม่ไหว ก็เพียงแต่หยิบมาอภิปรายไม่วางใจแล้วก็ยกมือกันให้เสียงข้างมากผ่านในสภาฯเท่านั้นก็จบเป็นรัฐบาลต่อไปได้ ไม่สนใจปัญหาของชาวบ้าน

“ถามว่า คนไทยจะยอมให้ระบบการเมืองเป็นเช่นนี้ต่อไปหรือ ดังนั้นพันธมิตรฯจึงต้องออกมารณรงค์โหวตโนให้ประชาชนอย่าไปเลือกนักการเมืองที่นายอภิสิทธิ์ บอกว่าเลวน้อยที่สุดเข้ามา เพราะขนาดเลวน้อยที่สุดแล้วยังโกงกินกันขนาดนี้” พล.ต.จำลอง กล่าว

พล.ต.จำลอง กล่าวอีกว่า ขณะนี้ต้องถือว่าประเทศไทย เหมือนคนป่วยหนัก เป็นโรคร้ายแรงทุกด้าน แม้แต่จะสูญเสียอธิปไตยก็ยังไม่มีนักการเมืองคนใดสนใจ เวลานี้คนไทยต้องการต้องการหมอและยาขนานที่ดีที่สุดมารักษาให้หายก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเมืองนอกระบบหรือในระบบ ถ้าทำให้ประเทศไทยหายป่วย ตนก็พร้อมจะปักหลักสู้อยู่ที่นี่ เพื่อให้ได้มาของระบบการเมืองที่ดีกว่า แม้ว่าจะอยู่เหลือเพียงตัวคนเดียวก็จะสู้ไม่ถอยและไม่ยอมที่จะให้ประเทศต้องอยู่ในระบบการเลือกตั้งได้นักการเมืองเลวมาปกครองประเทศอีก จะต้องปฏิรูปการเมืองก่อน

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีความขัดแย้งภายในพันธมิตรฯ พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ยืนยันว่าไม่ได้มีความแตกแยก มีเพียงความเห็นต่างระหว่างพันธมิตรฯ กับพรรคการเมืองใหม่ เท่านั้น ซึ่งคาดว่าปัญหาจะจบเร็วๆ นี้ เพราะทุกคนร่วมต่อสู้กันมา มีอุดมการณ์เพื่อบ้านเมืองคล้ายคลึงกันอยู่บางส่วน แต่ไม่ว่าใครมีความคิดอย่างไร ตนพร้อมเคารพต่อการตัดสินใจของทุกฝ่าย ส่วนการชุมนุมที่นี่พร้อมเปิดรับทุกคน เพราะมีความเชื่อตรงกันในเรื่องการปกป้องอธิปไตยของประเทศที่ต้องทำโดยเร็วที่สุด หากไม่ทำจะสูญเสียดินแดนอีกมากมาย
กำลังโหลดความคิดเห็น