xs
xsm
sm
md
lg

เป็น อยู่ คือ

เผยแพร่:   โดย: จีระเดช ดิสกะประกาย


ขณะที่ผมค้นหาข้อมูลเพื่อจะเขียนเรื่อง ก็ไปเจอบทความเขียนไว้เมื่อสองปีก่อนในแบบบังเอิญแท้ๆ เมื่ออ่านดูก็ได้พบว่าพี่บรรเจิด ทวี คอลัมนิสต์ตัวยงผู้ใช้นามปากกาว่า “ไก่อ่อน” ในอดีต ได้กล่าวถึงอาจารย์ประทีป และผมไว้ในเนื้อหาที่เราพยายามจะทำในเวลานั้น และจวบจนถึงวันนี้ ความฝันก็เริ่มจะมีเค้าโครงแห่งความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสำนึกในประเทศชาติแบบใช้ปัญญาวิเคราะห์ หรือการช่วยกันผลักดันหลักการสอนวิชาแพทย์แผนไทยให้เป็นที่ยอมรับ ไปจนถึงความเป็นอยู่อันเป็นปฐมภูมิแห่งความสำนึกทั้งหลายทั้งปวงเพื่อลดแรงต้านแรงเสียดทานในหมู่ผองพี่น้องสุวรรณภูมิ

และนั่นก็คือความหมายของคำว่า “เป็น อยู่ คือ” ที่ภาษาอังกฤษมีคำแปลที่จำกัดจำเขี่ยพอควร นั่นก็คือ “is, am, are, was, were” โดยแต่ละตัวก็จะใช้คู่กับตัวประธานเฉพาะ เช่น “I am, He is, They were” ฯลฯ ความหมายที่พี่บรรเจิดให้ไว้ก็ตรงใจกับผมมากเพราะแนวคิดต้นเรื่องก็คือ “เป็นไทย อยู่อย่างไทย คือคนไทย” ส่วนจะไทยแค่ไหน จะเป็นไทยจากไหน เราค่อยมาว่ากันด้วยแนวคิดในเชิงวิเคราะห์ต่อไป

เป็น อยู่ คือ (เขียนโดยบรรเจิด ทวี formula@autoinfo.co.th, เมื่อ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2551)

เมื่อครั้งข้าพเจ้าไปร่วมงานกับกองทัพอากาศ เพื่อดำเนินรายการโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ข้าพเจ้ามีเพื่อนร่วมงานหลายท่าน โดยเฉพาะรองศาสตราจารย์ประทีป ชุมพล จากมหาวิทยาลัยศิลปากร และ จีระเดช ดิสกะประกาย สถาปนิก

โทรทัศน์ผ่านดาวเทียมของกองทัพอากาศชื่อ เอเอฟซี (AFC: Air Force Channel) มีรายการที่ผลิตโดยบุคคลภายนอกผลิตรายการตามวัตถุประสงค์ของสถานี ภายใต้กฎเกณฑ์ข้อบังคับของกองทัพ

ข้าพเจ้ามีสถานภาพเป็นที่ปรึกษาคนหนึ่งทางด้านสื่อสารมวลชน และมีความสนิทสนมกับ รศ. ประทีป และจีระเดช ทั้ง 2 ท่าน มีแนวความคิดในเชิงสร้างสรรค์ และต้องการผลิตรายการสักหนึ่งรายการให้ชื่อว่า รายการ “เป็น อยู่ คือ”

รายการ “เป็น อยู่ คือ” ก็หมายถึง “เป็นคนไทย อยู่อย่างไทย คือ คนไทย”

เป้าหมายที่เราทั้ง 3 คนวาดภาพขึ้นไว้ คือ รักษาวิถีชีวิตความเป็นคนไทย ส่งสัญญาณไปยังท่านผู้รับชมว่า ความเป็นคนไทยคืออย่างไร การอยู่อย่างไทยคืออะไร และคนไทยควรเป็นคนอย่างไร

เหตุที่เราอ้างกันขึ้นมาเป็นเพราะ ปัจจุบันนี้ คนไทยที่เป็นไทย มีวิถีชีวิตแบบไทย ชักจะหายากขึ้นทุกวัน ส่วนมากก็ถูกอิทธิพลจากต่างชาติเข้ามาแทรกแซง จนทำให้วิถีชีวิตความเป็นคนไทย มลายหายไปสิ้น

อันที่จริง ต่างชาติก็เข้ามาแทรกแซงวิถีชีวิตคนไทยมาแต่เนิ่นนานแล้ว หากเราไม่ช่วยกันรักษาไว้ เตือนสติให้สำนึกถึงภูมิปัญญาไทย ไม่ช้าก็คงกล่าวคำสวัสดีกันโดยไม่ต้องพนมมือไหว้

รศ.ประทีป ชุมพล เป็นผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านโบราณคดี ประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของวิถีชีวิตแบบไทย เป็นผู้มีความรู้ และเป็นหลักสำคัญของการทำรายการนี้

ท่านเคยเขียนหนังสือ และเขียนนิยายแบบเชิงวิชาการ นอกเหนือไปจากการทำรายงานการวิจัย

งานวิจัยล่าสุดของท่าน คือ งานวิจัยเรื่อง “เวชศาสตร์ฉบับหลวงกับการบูรณาการการแพทย์แผนไทย ศึกษากรณีในเขตกรุงเทพมหานคร”

งานวิจัยดังกล่าว ท่านอ้างว่า เป็นอีกเรื่องย่อยของโครงการ “การผสมผสานทางศิลปะและ วัฒนธรรมในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น : ความสำเร็จด้านภูมิปัญญาของชาวกรุงเทพฯ” และได้รับทุนอุดหนุนจากสถาบันวิจัยและพัฒนาของมหาวิทยาลัยศิลปากร ปีพุทธศักราช 2547

คนที่ได้อ่านงานวิจัยนี้จะพบว่า ภูมิปัญญาคนไทยนั้นวิเศษ และเหนือชั้นกว่าต่างประเทศ โดยเฉพาะการแพทย์แผนไทย ที่คนไทยเรามีภูมิปัญญามาก่อนชาวตะวันตก

กระนั้นก็ตาม ประเทศไทยนับแต่กรุงเทพมหานครได้รับการสถาปนาเป็นพระนครหลวง เมื่อปี 2325 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมวงศ์กษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี งานทางด้านสาธารณสุข น่าจะเป็นงานที่โดดเด่น และล้ำสมัยอย่างยิ่ง

ว่ากันตามความเป็นจริง หน่วยงานสาธารณสุขของไทยเรานั้น เริ่มมีมาแต่สมัยอยุธยาตอนต้น ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระองค์ได้ตั้งหน่วยงานทางด้านสาธารณสุขขึ้นรวม 7 กรม ในปี 1998

7 กรม ดังกล่าว ประกอบด้วย

กรมแพทยา ทำหน้าที่บริหารงานทั่วไป ทางการสุขภาพชุมชน ทั้งทางฝ่ายทหาร และพลเรือน

กรมหมอ บริหารรับผิดชอบในด้านบุคลากรทางด้านการแพทย์

กรมหมอกุมาร รับผิดชอบในด้านที่เกี่ยวกับสุขภาพของมารดาและทารก

กรมหมอนวด รับผิดชอบในด้านการดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐานของชุมชน ซึ่งการนวดในการแพทย์แผนไทยนั้น ถือว่าเป็นการรักษาพยาบาลในเบื้องต้น โดยใช้การนวดเป็นการบำบัด ไม่ต้องอาศัยยารับประทาน กรมนี้ถือเป็นกรมใหญ่โต มีบุคลากรมากมาย เป็นหน่วยงานขนาดใหญ่

กรมหมอยาตา รับผิดชอบเกี่ยวกับโรคที่เกิดจากดวงตาเป็นการเฉพาะ

กรมหมอวรรณโรค (เขียนตามภาษาที่ใช้สมัยนั้น) เป็นหน่วยงานที่บำบัดรักษาโรค อันเกิดจาก ผิวหนัง เช่น บาดแผล เป็นต้น

กรมโรงพระโอสถ เป็นหน่วยงานเก็บรักษา และบริหารงานเกี่ยวกับสมุนไพร ทั้งสด และแห้ง ซึ่ง นำมาผลิตเป็นยาสมุนไพร และทำหน้าที่เป็นเซนเตอร์ควบคุมดูแลงานทั้งหมดที่เกี่ยวกับงานทางด้านสาธารณสุข

ไม่น่าเชื่อครับว่า สยามประเทศของเราตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น มีการบริหารเพื่อคนในชาติอย่างครบถ้วนถึงเพียงนี้ ยิ่งกว่านี้ ในด้านวิชาการก็ยังปรากฏหลักฐานอันเชื่อได้ว่า คนไทยมีวิถีชีวิตความเป็นคนไทยสูงกว่าที่คาดคิด ชาวสยามมีวรรณกรรมทางการแพทย์อันสำคัญ เช่น “ประถมจินดา” อันเป็นหนังสือทางวิชาการที่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพของแม่และเด็ก หรือหนังสือ ชื่อ “ตำราแผนนวด” ให้ความรอบรู้เกี่ยวกับการนวด และการจับเส้นตามร่างกายอย่างถูกต้อง “มหาโชตรัต” เป็นหนังสือวิชาการที่ให้ความรู้เรื่องของโรคที่เกี่ยวกับสตรีเพศ หรือหนังสือ “ตำราพระโอสถพระนารายณ์” เป็นตำรายาที่แพทย์แต่งขึ้นถวายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ประกอบด้วยคณะแพทย์สยามจำนวน 5 ท่าน แพทย์ฝรั่งอีก 2 ท่าน แพทย์จีน 1 ท่าน และแพทย์อินเดียอีก 1 ท่าน

ทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องราวของสยามประเทศสมัยอยุธยาตอนต้น ครั้นย้ายพระนครหลวงมาถึงกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ทรงเริ่มตั้งตำรายาขึ้นเป็นครั้งแรกที่วัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธิ์) โดยจารึกไว้บนศิลา ห้วงเวลานั้น การเขียนตำรายาแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ การเขียนบนศิลา และการเขียนบนสมุดไทย

ตำรายาบนศิลา ได้แก่ จารึกตำรายาวัดราชโอรสารามฯ และจารึกตำรายาวัดพระเชตุพนฯ ซึ่งจารึกเมื่อปี 2375 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้รับการยกย่องว่าเป็นศิลาจารึกตำรายาสมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทย

ส่วนตำรายาบนสมุดไทย เริ่มจาก ตำราพระโอสถ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยฯ โปรดเกล้าฯ ให้ชำระขึ้นในปี 2355 โดย พระพงศ์อมรินทร์ (พระโอรสในสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช) เป็นหัวหน้างาน

ตำราสรรพคุณยา ได้รับการนิพนธ์ขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 โดย พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท (พระองค์เจ้านวม ต้นสกุลวงศ์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา) เป็นงานพัฒนาจากงานนิพนธ์ครั้งแรก

ตำรายาพิเศษ เป็นบทพระนิพนธ์ของ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ปี 2407 โดยพระองค์มิได้เป็นแพทย์ แต่เป็นผู้ทรงรวบรวมความรู้ทางยาจากบรรดาผู้รู้ทางยา

เวชศาสตร์ฉบับหลวง น่าจะเป็นตำรายาบนสมุดไทยที่สำคัญที่สุด ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ชำระขึ้นเมื่อพุทธศักราช 2413 อันเป็นห้วงเวลาที่กระแสรุนแรงของการแพทย์แผนตะวันตก บวกกับการตกต่ำของการแพทย์แผนไทย ในตำรายาเล่มนี้ประกอบด้วย 12 คัมภีร์

บางคัมภีร์ได้ถูกนำมาสอนในโรงเรียนแพทยากร ในศิริราชพยาบาลตั้งแต่ปี 2432

เวชศาสตร์ฉบับหลวง นับเป็นวรรณกรรมที่ทรงคุณค่าด้านการแพทย์แผนไทย และได้รับการปรับปรุงบูรณาการเป็นตำราทางการแพทย์ไทย จัดพิมพ์เผยแพร่มากที่สุด

รายการ “เป็น อยู่ คือ” ที่เราทั้ง 3 คนร่วมกันจัดสร้างขึ้น มิได้ทันสำเร็จเป็นรูปธรรม และจำเป็นต้องพ้นจากกิจการโทรทัศน์ของกองทัพอากาศเสียก่อนครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น