“ประพันธ์” ยกกรุงรัตนโกสินทร์ พม่ายกพลนับแสนยังตีไม่แตก โอดน่าอับอายทหารเขมรหยิบมือไทยรักษาดินแดนไม่ได้ ซัด “กษิต-อัษฎา” มัวเมาตำแหน่ง รับใช้ “มาร์ค-เทือก” ไม่ลืมหูลืมตา ทหาร-ปชช.ค้านยังทะลึ่งไปประชุมที่อินโดฯ ซัดนักวิชาการเชลียร์เสียทีจบดอกเตอร์แต่ไม่รู้จักแยกดีชั่ว ย้ำเลือกมาโกง ปชช.จะยิ่งจนลง ปูดเงินคลังน้อยจนน่าใจหาย หากเจอวิกฤติแบบญี่ปุ่น รับรองไทยล้มทั้งยืน
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง “รวมพลังปกป้องแผ่นดิน” ปราศรัยโดย “นายประพันธ์ คูณมี”
วันที่ 6 เม.ย. 2554 บนเวทีปราศรัยการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ นายประพันธ์ คูณมี โฆษกการชุมนุมรวมพลังปกป้องแผ่นดิน กล่าวว่า เนื่องในวันจักรี พวกเรามาชุมนุมเพื่อปกป้องแผ่นดิน สืบเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษที่เสียเลือดเนื้อปกป้องไว้ โดยเฉพาะพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ท่านได้สู้รบทำสงครามปกป้องแผ่นดินจากข้าศึกหลายครั้งเพื่อรักษาอาณาเขตไว้ สมดังพระราชปณิธาน “ตั้งใจจะอุปถัมภก ยอยกพระพุทธศาสนา ป้องกันขอบขันธสีมา รักษาประชาชนและมนตรี” ดังนั้น เราทั้งหลายที่มาชุมนุมอยู่ตรงนี้เท่ากับร่วมสืบเจตนารมณ์ของพระมหากษัตรย์ทุกพระองค์ ไม่ให้เสียแผ่นดินแม้แต่ตารางนิ้วเดียว
ทั้งนี้จะเห็นได้ว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ไม่ได้เพียงแต่พูดหรือมีบทกวีอย่างเดียว จึงอยากเตือนทหารหาญ เมื่อออกมาประกาศแล้วต้องปฏิบัติเพื่อป้องกันแผ่นดินด้วย การออกมาพูดนับเป็นเรื่องดี แต่จะดียิ้งขึ้นหากลงมือทำ เพราะการกระทำยิ่งใหญ่กว่าคำพูดหลายล้านเท่า
“ยุคกรุงรัตนโกสินทร์ แม้จะรายล้อมด้วยประเทศล่าอาณานิคม แต่ศัตรูสำคัญของไทยคือพม่า ซึ่งเคยยกพลมา 150,000 คน ยังตีกรุงรัตนโกสินทร์ไม่ได้ แต่ปัจจุบันเขมรเอาคนมาไม่กี่คน ไฉนมันถึงยึดปราสาทเขาวิหารได้ น่าอับอายเหลือเกิน ทำไมต้องก้มหัวให้ทหารเขมรกระจอก ลำพังแค่กระทืบเท้าดังๆ เขมรก็วิ่งหนีป่าราบไปแล้ว แต่คุณไปมุดหัวอยู่ไหน ปัจจุบันเรื่องไม่ได้ใหญ่โตเหมือนสมัยก่อน แต่ทำไมทหารไทยจึงทำไม่ได้ ดีแต่ออกมาพูดจนดูเหมือนเป็นโฆษกกองทัพไปแล้ว” นายประพันธ์กล่าว
นายประพันธ์กล่าวอีกว่า ไม่เข้าใจพรรคประชาธิปัตย์ มาใช้วันที่ 6 เมษายน เป็นวันก่อตั้งพรรค ซึ่งตรงกับวันจักรี ต้องถามว่าตลอดเวลาตั้งแต่ตั้งพรรคประชาธิปัตย์เคยปกป้องแผ่นดินหรือไม่ เมื่อไหร่จะไปแก้ทะเบียนพรรค ขอความกรุณาอย่าเอาชื่อวันก่อตั้งพรรคเป็นวันที่ 6 เลย ดีแต่ขายชาติไม่ได้ปกป้องแผ่นดินเลย ไม่เช่นนั้นคงไม่มีคำสัมภาษณ์ ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ฯ
นายประพันธ์กล่าวถึงคนที่ยังเชลียร์นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพรรคประชาธิปัตย์ว่า เป็นนักวิชาการจบดอกเตอร์มาได้อย่างไร ไม่รู้จักแยกดีชั่วอะไรผิดถูก ที่เราชุมนุมเรารู้จักแยกดีแยกชั่ว ใครดีก็ว่าดีใครชั่วก็ต้องประณาม วันหนึ่งหากประชาธิปัตย์ทำถูกต้องเราก็ชื่นชม แต่วันนี้มีพฤติกรรมขายชาติจริงๆ แล้วจะชื่นชมได้อย่างไร เมื่อนายอภิสิทธิ์ และประชาธิปัตย์ อาสาเข้ามาบริหารประเทศ เมื่อบริหารล้มเหลว เราจึงปะท้วงเรียกร้องให้ทำหน้าที่ตามกฎหมาย ดังนั้น นักวิชาการบางคนที่จัดทีวี วิทยุ เชลียร์รัฐบาลทุกเช้า หรือคอลัมน์นิสบางคน ที่ว่าเรา หากใครไม่เห็นด้วยก็ว่าเขาเลวไปหมดนั้น ที่จริงเราไม่เคยประณามใครที่ไม่เห็นด้วย เราประณามเฉพาะคนที่รู้ว่าชั่วแต่ก็ยังฝืนเชลียร์ อย่างไรก็ดี คอลัมนิสต์หากมีใจเป็นธรรมจริง คุณเคยวิจารณ์รัฐบาลทักษิณก็ต้องกล้าวิจารณ์รัฐบาลประชาธิปัตย์ด้วย
“ตั้งแต่มีการก่อตั้งกระทรวงการต่างประเทศมา ไม่มียุคไหนชั่วเท่ายุคนี้ สมัยก่อนข้าราชการของกระทรวงเป็นคนมีเกียรติ น่าเชื่อถือมาก มันมาบัดซบตั้งแต่ยุคทักษิณ เข้ามาครองเมือง เปลี่ยนจากข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นทูตซีอีโอ”
นายประพันธ์กล่าวว่า เมื่อก่อนทูตในประเทศไทย เรื่องบ้านเมืองต้องมาก่อน ดูได้จากกรณี นายถนัด คอมันตร์ นายสมปอง สุจริตกุล น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ และอีกหลายๆ คน ทุกคนสู้อย่างหนักเอาทุกรูปแบบ ไม่ยอมง่ายๆ เขาไม่โง่และปัญญาอ่อนเหมือนชุดนี้ วันนี้ที่น่าเสียใจที่สุดคนที่เคยขึ้นเวทีพันธมิตรฯ อย่างนายกษิต ภิรมย์ ได้เป็นกระทรวงการต่างประเทศ และนายอัษฎา ชัยนาม ได้เป็นประธานเจบีซี ทั้งสองคนหน้ามืดตามัวกับตำแหน่ง รับใช้นายอภิสิทธิ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อย่างไม่ลืมหูลืมตา ขนาดทหารออกมาแสดงจุดยืนไม่ต้องการประเทศที่สามเข้ามาเกี่ยวข้อง ยังทะลึ่งไปประชุมเจบีซีที่อินโดนีเซียอีก นี่เป็นการดำเนินนโยบายที่อัปยศ
“ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศวันนี้ยังมีคนดีๆ เหลืออยู่หรือไม่ ทำไมไม่มาไล่รัฐมนตรีเฮงซวยของคุณออกไป คนพวกนี้แม้จะเคยขึ้นเวทีพันธมิตรฯ แต่เราไม่ได้นับญาติเป็นพันธมิตรฯมานานแล้ว คนที่เป็นพันธมิตรฯ ต้องไม่ใช่คนแบบนี้”
นายประพันธ์กล่าวต่อว่า ยุคทักษิณย้ายทูตเป็นว่าเล่น แล้วใช้ทูตเป็นเครื่องมือหากินให้นักการเมือง เวลา พ.ต.ท.ทักษิณไปต่างประเทศ จะเอาทูตไปด้วยเสมอ เพื่อแสวงหาข้อตกลงทางการค้าที่เป็นธุรกิจของตัวเอง เลยทำให้ทูตเปลี่ยนจุดยืนเห็นแก่เงิน และที่น่าแปลกกระทรวงนี้ ส่วนใหญ่คนที่เข้ามาทำงานจะเป็นลูกเจ้าขุนมูลนายเต็มไปหมด ทำไมถึงก้มหัวให้นักการเมืองสัตว์นรกได้ หรือแปลพันธ์เป็นสัตว์นรกหมดแล้วถึงไม่สำนึกว่า ควรปกป้องชาติอย่างไร
ทั้งนี้ หากปล่อยให้นักการเมืองบริหาร คำนึงถึงแต่ประโยชน์ตัวเอง จิกหัวใช้ข้าราชการให้ทำงานสนองนโยบายตนเองซึ่งแม้จะเป็นนโยบายที่ล้มเหลว เอาผลประโยชน์ชาติไปขาย นักการเมืองก็ทำได้ และข้าราชการก็ยอมรับใช้นักการเมืองเหล่านั้นอยู่ได้ นี่คือยุคอัปยศชาติบ้านเมืองของเรา ดังนั้น จำเป็นที่พวกเรารณรงค์โหวตโน เป็นกระบวนการที่ตรงเป้าที่สุด ทุกพรรคการเมืองดิ้นพราด ออกมาพูด “ถ้าจะโหวตโนไม่เลือกใครไม่เป็นไร ขอให้โหวตเลือกพรรค เพื่อให้ได้สมาชิกแบบรายชื่อไปนั้งในสภา” โดยอ้างว่าเป็นพันธมิตรฯ ความจริงแล้วมติของเราชัดเจนโหวตโนทั้งหมด
นายประพันธ์กล่าวว่า นักวิชาการจอมปลอมบอกจะเอาคนโหวตโนมารวมกับคนไม่ใช้สิทธิไม่ได้ ไม่รู้เอาทฤษฎีอะไรมาอธิบาย ยังห่างไหลมาก น่าจะมาปรึกษาตนให้ตกผลึกก่อนจะไปเขียนอะไรที่ไม่เข้าท่า การเลือกตั้งเห็นกันอยู่ว่าซื้อเสียง เขาไม่ได้เลือกตั้งเพราะชื่นชม แต่เป็นเพราะรับเงินหรือรับผลประโยชน์จากนักการเมือง เป็นการเลือกตั้งจอมปลอม ดังนั้น ถ้ามีคนโหวตโนจำนวนมากจะเป็นแรงกดดัน ให้คนหันมามองกระบวนการเลือกตั้งลมเหลว ต้องหาวิธีใหม่ในการเลือกคนมาปกครองบ้านเมือง
“หากยังสนันสนุนการเลือกตั้งต่อไปเรื่อยๆ ไม่กล้าเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง จะทำให้นักการเมืองได้ใจจะโกงอย่างไรก็ได้ ไม่รู้สำนึก ทำผิดก็ยุบสภา แล้วก็เลือกมันกลับมาอยู่ดี การเมืองแบบนี้ คนรวยจะรวยล้นฟ้าและมีเฉพาะนักการเมืองเท่านั้นที่รวย ประชาชนจะจนลง”
นายประพันธ์กล่าวว่า ขอบคุณพี่น้องประชาชนชาวไทย ที่ส่งข้อความเสดงความคิดเห็นกับสิ่งที่จนได้พูดไป ทุกคนเห็นว่า อยู่อย่างนี้ไม่ได้แล้ว ประเทศต้องเปลี่ยนแปลง แต่ขึ้นอยู่กับจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรเท่านั้น มีผู้ใหญ่บ้านเมืองจำนวนมากมาโทรมาให้กำลังใจตน บอกเราต้องสู้ต่อไป เราไม่มีทางรอดอื่น ทหาร อย่าพูดอย่างเดียวต้องร่วมมือกันหาทางออกให้ประเทศ ปัจจุบันเงินที่รัฐบาลใช้อยู่นี้เป็นเงินที่กู้มาทั้งนั้น เงินสำรองหากได้ดูตัวเลขแล้วจะใจหาย เหลือเพียงน้อยนิด หากประเทศไทยเจอวิกฤตหนักแบบประเทศญี่ปุ่น รับรองประเทศไทยล้มทั้งยืนครับ
คำต่อคำ “ประพันธ์ คูณมี”ปราศรัย
“สวัสดีครับพ่อแม่พี่น้องผู้รักชาติทุกท่าน ยังอยู่กันมั้ยครับ ขอเสียงหน่อยครับ ยังอยู่กันเหนียวแน่นนะครับ ก่อนอื่นก็ขอประกาศก่อน ท่านเจ้าของรถ สว 556 กทม. ช่วยไปย้ายรถก่อน
พี่น้องครับ เราชุมนุมกันอยู่ค่อนข้างหน้าตาสดใส ไม่ทราบเป็นอะไรครับ ดีใจที่ทหารตบเท้าออกมารายงานประชาชนเหรอครับ เขาออกมารายงานพ่อแม่พี่น้องประชาชน รู้สึกว่าให้เกียรติพี่น้องพันธมิตรฯ มาก คงเห็นว่าบนเวทีนี้บอกว่าจะปฏิวัติ ทหารก็เลยบอกผมไม่ปฏิวัติ สงสัยไม่ปฏิวัติเฉพาะ 5 คนที่ยืนแถลงข่าวนั่นมั้ง
เอาล่ะครับพี่น้อง ก่อนจะคุยกันในวันนี้ ก็มีพี่น้องเราซึ่งก็ยังยืนหยัดเหนียวแน่นให้การสนับสนุนการชุมนุมและการต่อสู้ของพวกเรา นี่ก็เป็นคุณหมอจาก จ.เชียงราย ท่านมาไม่ได้แต่ก็ฝากเงินมากับญาติพี่น้อง มาช่วยบริจาคสนับสนุนการชุมนุมต่อสู้ของพวกเรา คุณหมอที่เชียงรายบริจาคมาทั้งสิ้น 10,000 บาทครับ ปรบมือให้กับคุณหมอด้วยนะครับ
แล้วก็ยังมีพันธมิตรฯ จากกรมอุทยานแห่งชาติฯ ซึ่งท่านก็มาบริจาคด้วยตนเอง บอกว่ายังไงก็ขอให้คุณประพันธ์ช่วยประกาศให้ด้วย ก็เป็นพี่น้องพันธมิตรฯ จากสำนักงานกรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้รวบรวมเงินมาร่วมบริจาคสนับสนุนการต่อสู้ของพวกเราในครั้งนี้เป็นเงินทั้งสิ้น 10,000 บาทครับ และก็มีคุณป้ามารี จากบางแสน บริจาคมาอีก 1,000 บาท ต้องปรบมือให้กำลังใจท่านนะครับ ส่วนอีกท่านหนึ่งน่าจะจากศรีราชา อ่าวอุดม พันธมิตรฯ ปากทางอ่าวอุดม บริจาคให้ ASTV 1,000 บาทครับ
พี่น้องที่เคารพรักครับ ผมคิดว่าวันนี้การชุมนุมของพวกเราที่นี่ได้กลายเป็นโรงเรียน เป็นมหาวิทยาลัย ที่ให้ความรู้กับพี่น้องประชาชนอย่างมีความหมายและมีคุณค่าอย่างยิ่งครับ ต้องปรบมือให้กับวิทยากรและนักวิชาการทุกท่านที่มาขึ้นเวทีที่นี่
วันนี้ทุกท่านก็คงทราบดีแล้วว่า เป็นวันจักรี คือวันที่ 6 เมษายน ก็ถือว่าเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้ปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์เมื่อปี พ.ศ.2325 6 เมษายน 2325 ตกมาถึงวันนี้ ปีนี้ ก็น่าจะรวมแล้ว 229 ปี ที่ราชวงศ์จักรีขึ้นปกครองบ้านเมือง และสถาปนาเมืองหลวงที่ชื่อว่ากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นมา
พี่น้องสังเกตไหมครับ ว่าวันสำคัญอย่างนี้คนในรัฐบาลเขาทำอะไร และรายการของทีวี ฟรีทีวี ทำอะไรให้สาระความรู้ที่เป็นเรื่องราวประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่าและทรงความหมาย ได้ให้ความรู้กับพี่น้องประชาชนไทย ให้เขาได้ตระหนักถึงว่า บูรพมหากษัตริย์ไทยในราชวงศ์จักรีนั้น ได้สร้างคุณงามความดี ปกป้องรักษาชาติ รักษาแผ่นดิน และรักษาบ้านเมืองมาจนเท่าทุกวันนี้อย่างไร ผมคิดว่ารายการฟรีทีวีจะไม่มีข้อมูลความรู้ทางวิชาการดีๆ บนเวทีนี้ให้ประชาชนได้ชมเลย เพราะฉะนั้นวันจักรีวันนี้ถ้าพี่น้องชาวไทยได้ติดตามรายการบนเวทีนี้ ผมถือว่ารายการที่นักวิชาการของพวกเราได้นำมาบอกกล่าวกับพี่น้องที่ชุมนุมอยู่ที่นี่ และที่ชมอยู่ทางบ้านนั้น ถือว่าเป็นเนื้อหาสาระที่ทรงคุณค่า มีความหมาย และเปี่ยมล้นไปด้วยสาระความรู้ที่เป็นคุณประโยชน์กับประเทศชาติบ้านเมืองอย่างยิ่ง ผมจึงอยากจะให้พี่น้องที่นี่ปรบมือดังๆ ให้กำลังใจวิทยากร นักวิชาการของเรา ที่ได้มาพูดจาบนเวทีนี้
แต่มีอีกท่านหนึ่งนะครับ ผมขอถือโอกาสนี้พูดถึงท่าน ท่านมาร่วมชุมนุมกับพวกเราทุกวันนะครับ แล้วก็มานั่งอยู่หลังเวที มาทุกวันไม่ได้ขาดเลย แล้วก็มานั่งอยู่หลังเวที อยู่ตั้งแต่เช้าจนดึกจนดื่น แม้ว่าวัยของท่านจะล่วงเลยมาถึง ผมเข้าใจว่าน่าจะ 70 ปีกว่าแล้วนะครับ ท่าน อ.ประพันธ์ศักดิ์ กมลเพชร ผมคิดว่าท่านผู้นี้ก็เป็นคนที่ห่วงใยประเทศชาติบ้านเมืองและท่านก็มีความฝันที่อยากจะเห็นว่าระบอบประชาธิปไตยนั้น อำนาจการปกครองที่แท้จริงของบ้านเมืองนั้น น่าจะได้ตกถึงมือประชาชนเสียที การปฏิวัติโดยคณะราษฎร์ตั้งแต่ 2475 ที่ไปขอให้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า สละพระราชอำนาจนั้น ท่านยังเห็นว่ายังตกไม่ถึงมือของพี่น้องประชาชน เพราะมันไปตกอยู่ที่มือของนักการเมือง ท่านก็ยังฝันอยู่ว่าสักวันหนึ่งอำนาจประชาธิปไตยอันแท้จริงนั้น จะต้องตกถึงมือราษฎรและประชาชนโดยทั่วไปอย่างแน่นอน
และวันนี้เมื่อเราได้รณรงค์โหวตโน หรือกาในช่องไม่ลงคะแนนให้กับคนใด พรรคใดนั้น รู้สึกว่าจะตรงใจ อ.ประพันธ์ศักดิ์ กมลเพชร มาก และท่านก็ทุ่มเท เสียสละ มาร่วมชุมนุมอยู่กับพวกเราอย่างเหนียวแน่น และน่าชื่นชมยกย่องจิตใจของท่านอย่างยิ่ง อยากให้ท่านปรบมือให้กำลังใจ อ.ประพันธ์ศักดิ์ หน่อยครับ ตั้งแต่พวกเราสู้ทางการเมืองมาก็เจอ อ.ประพันธ์ศักดิ์ มาตั้งแต่สมัย 14 ตุลาฯ แล้ว ไม่ถอยไปไหนเลยครับ 14 ตุลาฯ 1 ใน 13-14 กบฏ ก็เป็นคนที่ถูกจับไปร่วมกับเขาเหมือนกันครับ
ทีนี้ เนื่องในวันจักรี อ.ประพันธ์ศักดิ์ กมลเพชร ท่านได้เขียนจดหมาย จะเรียกว่าเป็นคำแถลง หรือเป็นแถลง เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้เข้าใจถึงบทบาทของพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช คือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ และจริงๆ แล้วคนไทยหลายท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ นั้นได้รับสมัญญานาม โดยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อปี พ.ศ.2525 เมื่อเวลาที่กรุงรัตนโกสินทร์ครบรอบ 200 ปี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ได้รับพระราชสมัญญานามโดยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อปี พ.ศ.2525 ให้เป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นมหาราชองค์แรกของปฐมบรมกษัตริย์ และในราชวงศ์จักรีมีมหาราชทั้งสิ้นอยู่ 3 พระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมหาราช และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช มหาราช ก็คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลปัจจุบัน
อ.ประพันธ์ศักดิ์ เขียนมาอย่างนี้ผมก็เลยขออนุญาตอ่าน เพื่อเป็นการให้กำลังใจกับ อ.ประพันธ์ศักดิ์ และเป็นการให้ความรู้กับพี่น้องประชาชนโดยทั่วไปด้วย ซึ่งท่านก็เป็นนักรัฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ประเทศไทยราชอาณาจักรไทย ราชอาณาจักรสยามโชคดีที่สุดในโลก ที่มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นพระมหากษัตริย์ ทรงครองราชย์เป็นพระปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ผู้ทรงมีพระบารมี อัจฉริยภาพ บรมเดชานุภาพยิ่งใหญ่แผ่ไพศาลในสากลจักรวาล พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งพระมหากษัตริย์ผู้ทรงทศพิธราชธรรม ธรรมิกราช ซึ่งมีพระปรีชาสามารถ ทรงเป็นทั้งนักรบและนักปราชญ์ เป็นยอดกษัตริย์ของโลก ที่จะหาพระมหากษัตริย์องค์ใดมาเทียบเทียมพระบารมีได้
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงเป็นพระปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ซึ่งมีมหาราชถึง 3 พระองค์ ในราชวงศ์เดียวกัน คือ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระปิยมหาราช และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช มหาราช ซึ่งประชาชน ราษฎร พสกนิกร ยกย่องให้เป็นมหาราชโดยธรรม
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงเป็นคนดีของกรุงศรีอยุธยา ทรงร่วมกับพระอนุชา และสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช กอบกู้ชาติบ้านเมืองจากอริราชศัตรู สัมฤทธิ์ผลสำเร็จเป็นประเทศเอกราช
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงเป็นพระมหากษัตริย์มหาราชสมพระนาม คือทรงเป็นพุทธ ทรงเป็นยอดฟ้ามหากษัตริย์ ทรงเป็นนักปราชญ์จุฬาโลกมหาราช พระองค์ทรงปกป้องประเทศชาติ ราชอาณาจักร ให้พ้นจากการรุกรานของอริราชศัตรูใดโดยเด็ดขาด ด้วยพระสติปัญญา คุณธรรมความรู้ความสามารถ จริยธรรมของพระองค์เอง พระองค์ทรงรวบรวมคนดี มีคุณธรรมความรู้ ความสามารถ ทุกสาขา มาร่วมกันสร้างสรรค์สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีได้สำเร็จ
พระองค์ทรงอุปถัมภ์ยกย่องเชิดชูพระพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำใจ ประจำชาติไทย พระองค์ทรงปกครองประชาชน ประเทศชาติ ให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขโดยธรรม พระองค์ทรงมีพระวิสัยทัศน์ โลกทัศน์ ลึกล้ำนำสมัยกว้างไกลไพศาลยิ่ง พระองค์ทรงวางรากฐานความสัมพันธ์อันดีกับนานาอารยประเทศ พระองค์ทรงกำหนดรัฐประศาสโนบาย และวิเทโศบาย ให้ประเทศไทย หรือราชอาณาจักรสยาม เป็นศูนย์กลางโลกมนุษย์ สอดคล้องกับหลักภูมิรัฐศาสตร์ของประเทศ ซึ่งมีทำเลที่ตั้งอยู่ในศูนย์กลางแผ่นดินอุษาคเนย์ ทวีปเอเชียและโลกมนุษย์ ซึ่งพระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญในการป้องกัน รักษาไว้ให้ลูกหลานไทยในปัจจุบัน อนาคต จึงเป็นสมควรที่เราอนุชนคนรุ่นใหม่จะระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณพระองค์ท่าน และบรรพบุรุษ ด้วยกตัญญูกตเวที ร่วมมือร่วมใจกันปกป้องแผ่นดินไทยไว้ด้วยชีวิต รู้รักสามัคคี ร่วมด้วยช่วยกัน สืบสานถ่ายทอดเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษ ให้ถึงมือ ถึงใจ คนรุ่นใหม่ และร่วมกันทำนุบำรุงแผ่นดินไทยให้มั่นคงไพบูลย์เจริญรุ่งเรือง นิรันดร ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า นายประพันธ์ศักดิ์ กมลเพชร
แม้ท่านจะสุขภาพไม่สู้จะดี แต่ก็ยืนหยัดอยู่ร่วมชุมนุมกับพวกเรา และเนื่องในวันจักรีก็ยังได้เขียนบทความ หรือบทแถลง เพื่อเป็นการน้อมเกล้าฯ แด่บูรพมหากษัตริย์มา ผมก็คิดว่านี่เป็นสิ่งที่พี่น้องชาวไทยจะตัองระลึกและน้อมใส่เกล้าฯ ว่า ที่พวกเรามาชุมนุมอยู่ในวันนี้ ก็เพื่อปกป้องดินแดนแผ่นดินไทยที่บรรพบุรุษของพวกเราได้ปกป้องและรักษาเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระปฐมบรมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีวงศ์ ซึ่งท่านได้ทำการสู้รบ รบทัพจับศึก ปกป้องแผ่นดินไทยจากข้าศึกหลายครั้งหลายครา เพื่อรักษาขอบขันธสีมาบ้านเมืองเอาไว้ ดังบทกวีที่ อ.เทพมนตรี ได้อ่านไปแล้วเมื่อสักครู่นี้ นั่นก็คือ ตั้งใจจะอุปถัมภก ยอยกพระพุทธศาสนา ป้องกันขอบขันธสีมา รักษาประชาชนแลมนตรี นี่คือพระราชปณิธานอันสูงส่งของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ครับ
เราทั้งหลายที่มาร่วมกันชุมนุมอยู่ ณ ที่นี้ เราก็คือผู้ที่มาร่วมสืบสานเจตนารมณ์และพระราชปณิธานอันสูงส่งของบูรพมหากษัตริย์ทุกพระองค์ ที่จะปกป้องแผ่นดินไทยนี้ไว้ชั่วลูกชั่วหลาน ไม่ให้เสียให้กับผู้ใดแม้แต่ตารางนิ้วเดียว
การมาชุมนุมของพ่อแม่พี่น้องประชาชน ณ ที่นี้ จึงเป็นการชุมนุมที่มีความหมายและมีความสำคัญอย่างยิ่งใหญ่ และเป็นภารกิจอันมีเกียรติ มีคุณค่าต่อชาติ ต่อบ้านเมือง ต่อแผ่นดินอย่างยิ่ง ต้องปรบมือดังๆ ให้กับตนเองและพี่น้องที่ชมอยู่ทางบ้านและให้กำลังใจพวกเรา ร่วมสนับสนุนการชุมนุมต่อสู้ของพวกเรา
พี่น้องครับ ที่ อ.ประพันธ์ศักดิ์ เขียนก็ดี ที่ อ.เทพมนตรี เล่ามาก็ดี หรือตามบทกวีนี้ ที่ตั้งใจจะอุปถัมภกยอยกพระพุทธศาสนา ป้องกันขอบขันธสีมา รักษาประชาชนแลมนตรีนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ไม่ได้เพียงแต่พูดหรือมีพระราชดำรัสเฉยๆ หรือมีบทกวีเพียงอย่างเดียว นี่ก็อยากจะฝากเตือนไปถึงบรรดาเหล่าทหารหาญและแม่ทัพนายกองทั้งหลายว่า เมื่อออกมาประกาศแล้ว ต้องแสดงการปฏิบัติการที่เป็นรูปธรรม เพื่อป้องกันแผ่นดินไทยของเราด้วย
ทหารที่ออกมาพูดเราก็รับฟังได้ แต่จะดียิ่งขึ้น คือการกระทำ การกระทำมันยิ่งใหญ่และดังยิ่งกว่าคำพูดหลายล้านคำ สิ่งที่เราอยากเห็นคือการปฏิบัติการที่เป็นจริงของท่าน
พี่น้องครับ ในยุคสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นั้น เมื่อครั้งที่ก่อตั้งกรุงเทพฯ กรุงรัตนโกสินทร์ใหม่ เมื่อปี พ.ศ.2325 พี่น้องครับ 200 กว่าปีมานี้ เมื่อเรามารำลึกในวันจักรีนี้ เราจะคิดว่ามันนานนะครับ มันก็ไม่ได้นานเท่าไรนะครับ แต่เมื่อครั้งที่กรุงรัตนโกสินทร์ตั้งขึ้นมานั้น ประเทศไทยก็ยังไม่ได้มั่นคง ศัตรูรอบบ้านยังพยายามที่จะมารุกรานและยึดครองเอาแผ่นดินไทยไปเป็นประเทศราชของเขา และศัตรูคู่ปรับคู่สำคัญก็คือประเทศพม่า ซึ่งมีชายแดนติดต่อกัน พระเจ้าปดุง ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์ของพม่า ก็พยายามที่จะแผ่แสนยานุภาพเข้ามายึดครองกรุงรัตนโกสินทร์ ตีกรุงเทพฯ ให้ได้หลายครั้ง ในยุคสมัยนั้นมีศึกสงครามครั้งใหญ่ๆ พี่น้องต้องรู้ก็คือ ครั้งที่ 1 เมื่อการก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ได้เพียง 3 ปีเท่านั้น พม่าก็ยกทัพใหญ่มาเลย เพราะรู้ว่าเราเพิ่งก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ ยังไม่นาน คงไม่มีพลกำลังที่จะมาสู้กับกองทัพอันเกรียงไกรของพม่า
พม่ายกทัพมา พี่น้องลองคิดดูเมื่อสมัยนั้น 2328 เมื่อ 200 กว่าปีมาแล้ว ที่เราเรียกว่าศึก 9 ทัพนั้น ศึก 9 ทัพนั้นพม่ายกกำลังมาเท่าไร พม่ายกกำลังมาประมาณ 150,000 คน พี่น้องลองคิดดู นี่สมัยนี้ นั่น 200 กว่าปีแล้ว พม่ายกทัพมา 150,000 คน ยกมา 9 ทัพ มา 9 ทิศทางเลยครับ ยกกำลังมา 9 ทิศทาง หมายจะบดขยี้กรุงรัตนโกสินทร์ ยึดกรุงเทพมหานครเลย ยังยึดกรุงเทพมหานคร และยึดครองกรุงรัตนโกสินทร์ไม่สำเร็จ พี่น้องลองนึกดู แต่วันนี้ไอ้เขมรกระจอกมันยกมากี่คน แม่ทัพบก ผบ.สูงสุด ไอ้ทหารฮุน เซน โจรกระจอกฮุน เซน มันยกมากี่คน ไฉนมันมายึดครองปราสาทพระวิหารได้ อายเขามั้ยครับพี่น้อง
มันเป็นเรื่องอัปยศและเรื่องที่น่าอับอายเหลือเกิน ทำไมเราจะต้องไปยอมก้มหัวให้กับทหารเขมรกระจอกพวกนี้ ความจริงแล้วแค่ทหารไทยกระทืบเท้าดังๆ มันก็หนีป่าราบแล้ว แต่พวกคุณไปมุดหัวอยู่ไหน มันเป็นเรื่องน่าเศร้าใจสำหรับคนไทยในวันนี้
ศึก 9 ทัพนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะเอาพระองค์ท่านมาเปรียบเทียบกับพวกคุณหรอก เพราะพวกคุณมันเปรียบเทียบอะไรไม่ได้ แต่เพียงอยากจะยกอุทาหรณ์ว่าเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์นั้น บูรพมหากษัตริย์ทุกพระองค์ออกสู้รบปกป้องแผ่นดินไทย เสียเลือด เสียเนื้อ เสียชีวิต หลั่งเลือดลงดิน ไม่รู้กี่ร้อย กี่พันธ กี่หมื่น เพื่อปกป้องแผ่นดินนี้เอาไว้ ตกมาถึงยุคนี้ รัชกาลที่ 9 เรื่องมันไม่ได้ใหญ่โตขนาดนั้นเลย ทำไมคนไทย ทหารไทย จึงทำไม่ได้ ทำไมจึงดีแต่ออกมาพูด มาแถลง
คุณจะทำตัวเป็นโฆษกแทนโฆษกรัฐบาล โฆษกกองทัพ ไปแล้วเหรอ ปฏิบัติสิครับ เอาล่ะครับ พูดไปแล้ว ผมก็ชื่นชมไปแล้ว แต่อยากเห็นการปฏิบัติ ในยุคสมัยนั้นศึก 9 ทัพ นั่นครั้งที่ 1 รายละเอียดไม่ต้องพูดถึงหรอกครับ พระมหากษัตริย์ไทยออกสู้รบตบมือ จัดทัพไปรับมือยังไง ทางด้านตะวันตกไปยังไง ทางเหนือไปยังไง ตะวันออกไปยังไง ทุกท่านศึกษาแล้วก็รู้ดี ครั้งที่ 2 ศึกท่าดินแดง พม่าแพ้ครั้งที่ 1 ศึก 9 ทัพ ไม่ยอม มาอีก ก็รบกันอยู่ 3 วัน ก็พ่ายแพ้กองทัพไทย พ่ายแพ้ทหารในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกไปอีก
ครั้งที่ 3 พม่ามาตีเมืองลำปาง นั่นปี 2330 2328 มาทีหนึ่ง แพ้กลับไปศึก 9 ทัพ มาอีก 2329 ศึกท่าดินแดงก็แพ้อีก มาครั้งที่ 3 มาตีเมืองลำปาง และเมืองป่าซาง เมื่อ 2330 มาติดกัน 3 ปี 28 , 29 , 30 ก็พ่ายแพ้อีก แต่ครั้งที่ 4 ปีเดียวกัน ปี 30 มาตีเมืองทวาย เพื่อจะมาทางใต้ มายึดเมืองทวาย เมืองตะนาวศรี เมืองปะลิส อันนี้เป็นเรื่องที่เรายกไปตี แต่พม่าก็จะมาตีเหมือนกัน แต่เรายกไป สุดท้ายเมืองเหล่านี้ก็มาสวามิภักดิ์กับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
เพราะหลังจากนั้นพม่าก็เผชิญกับลัทธิอาณานิคม อังกฤษเข้าไปบุกรุก เราก็มีเวลาปรับปรุงบูรณะพัฒนาบ้านเมือง กรุงรัตนโกสินทร์จึงรุ่งเรืองตลอดมา หลังจากที่สู้รบเอาชนะพม่ามาได้ด้วยเลือดและชีวิตของวีรชนของพวกเรา
ทั้งหมดนี้ก็ไม่มีอะไรครับ เราก็อยากจะให้พ่อแม่พี่น้องได้ร่วมรำลึกถึงวันจักรี ซึ่งเป็นวันสำคัญ แต่ที่น่าอัปยศอีกอันหนึ่งก็คือว่า ผมไม่เข้าใจว่าพรรคประชาธิปัตย์มาใช้วันที่ 6 เมษายน เป็นวันก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งก็ตรงกับวันจักรี เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์และก่อตั้งราชวงศ์จักรีขึ้นมา พี่น้องครับ ถามว่าตลอดประวัติศาสตร์ของพรรคประชาธิปัตย์ พรรคประชาธิปัตย์เคยปกป้องแผ่นดินไหม หรือว่ามีแต่ขายชาติ ขายแผ่นดิน
แล้วเมื่อไรจะไปจดแจ้ง แก้ทะเบียนพรรคใหม่ว่า ขอความกรุณาว่าอย่าได้เอาชื่อว่าวันก่อตั้งพรรคเป็นวันที่ 6 เมษายน เลย มันอัปยศของพรรคประชาธิปัตย์ ดีแต่ขายชาติ ไม่ได้ปกป้องราชวงศ์จักรีเลย และไม่ได้ปกป้องแผ่นดินเลย ถ้าคุณทำเช่นนั้นคงไม่มีคำสัมภาษณ์ของเจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณฯ ใช่มั้ยครับ ผมถึงบอกว่า ไอ้คนที่ยังสอพลอ ประจบ และเชลียร์นายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ ผมไม่เข้าใจว่ามันเป็นนักวิชาการ จบด็อกเตอร์มาได้ยังไง มันเชลียร์เขาทุกเช้าเลย ไม่รู้จักแยกดี-ชั่ว ไม่รู้จักว่าอะไรผิด-อะไรถูก ที่เรามาชุมนุมต่อสู้อยู่นี่ เรารู้จักแยกดี แยกชั่ว แยกผิด แยกถูก วันหนึ่งถ้าพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ หรือนายชวน ทำถูกต้อง หรือทำดี เราก็ชื่นชม เราก็ให้กำลังใจ แต่วันนี้มันทำชั่ว ทำความผิด บริหารชาติบ้านเมืองล้มเหลว และมีพฤติกรรมขายชาติจริงๆ เราจะไปชื่นชมมันได้อย่างไร
พวกเราพันธมิตรฯ จึงเป็นบุคคลที่มีความซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา ใครดีก็ว่าดี ใครชั่วเราก็ต้องประณาม ไม่เว้น ไม่ว่าพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าทักษิณ ไม่ว่าอภิสิทธิ์ ใครก็ตามถ้าทำร้ายต่อชาติบ้านเมืองมันก็สมควรประณาม
ที่พวกเรามาชุมนุมอยู่นี่ ไม่ได้มาเพราะความเพี้ยน ความเคียดแค้น ความจงเกลียดจงชังอะไรเป็นส่วนตัวกับนายอภิสิทธิ์ นายชวน หรือพรรคประชาธิปัตย์ แต่เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ และนายอภิสิทธิ์เป็นบุคคลสาธารณะ อาสาตัวอยากจะเป็นนายกฯ บริหารประเทศ เมื่อบริหารประเทศเสียหาย ล้มเหลว เราก็จำเป็นต้องวิพากษ์วิจารณ์ ประท้วง และเรียกร้องให้ทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญและตามกฎหมาย นี่คือหน้าที่ เพราะฉะนั้นนักวิชาการบางคนที่ไปจัดทีวี จัดรายการวิทยุ ตอแหล เชลียร์เขาทุกวันนั้น ก็ได้ดีเพราะรัฐบาลเลว ก็เลยคิดว่าเขาเป็นคนดีไปหมด
คอลัมนิสต์บางคนก็มาเขียนต่อว่าเรา บางคนเมื่อก่อนก็ทำท่าว่าเหมือนจะก้าวหน้า เหมือนจะสู้ บอกว่าพวกเราถ้าใครไม่เห็นด้วยก็หาว่าเลวไปหมด พวกเราไม่เคยประณามใครเลยที่ไม่เห็นด้วยกับเราว่าเลว เราประณามเฉพาะพวกเห็นกงจักรเป็นดอกบัว พวกที่เห็นผิดเป็นชอบ และพวกที่รู้ว่าชั่วว่าผิดอยู่แล้วยังไปเชลียร์เขา นั่นมันก็สมควรประณามว่าเลวใช่มั้ยครับ
นักวิชาการบางคนจบด็อกเตอร์ เวลาวิจารณ์คนอื่น ด่าคนอื่น เก่งเหลือเกิน แต่เวลานายอภิสิทธิ์ทำผิด มองไม่เห็นแม้แต่เรื่องเดียว มันบ้าแล้วครับ มองไม่เห็นความชั่ว แม้แต่คอลัมนิสต์ดังๆ ที่เราเคยอ่าน เวลาเขียนวิจารณ์นายอภิสิทธิ์ ไม่เห็นวิจารณ์เป็นเลย เวลาวิจารณ์ทักษิณล่ะฉอดๆๆๆ ด่าเขาเก่งเหลือเกิน ตกลงมันมีคนชั่วเฉพาะทักษิณเหรอ ทักษิณน่ะมันเลวอยู่แล้ว แต่ว่าอภิสิทธิ์มันก็เลวเหมือนกันใช่มั้ยครับ ถ้าคุณวิจารณ์คนอื่นเขา คุณก็ต้องกล้าวิจารณ์คนของพวกคุณที่คุณเคยเชียร์ด้วย คุณถึงจะมีใจเป็นธรรม
ทีนี้อีกเรื่องหนึ่ง คือเรื่องที่กระทรวงการต่างประเทศไปประชุมเจบีซีที่อินโดนีเซีย พี่น้องครับ ผมอยากจะประณามว่าตั้งแต่กระทรวงการต่างประเทศก่อตั้งมา ไม่มียุคใด สมัยใด ที่กระทรวงการต่างประเทศเลว ชั่ว และตกต่ำ เท่ากับยุคนี้ จริงๆ แล้วผมเคยมีโอกาสเข้าไปทำงานในสมัยที่ ฯพณฯ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ยุคสมัยก่อนนั้นข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นกระทรวงที่มีเกียรติมาก ข้าราชการกระทรวงต่างประเทศ นักการทูตทุกคน เป็นคนที่มีความน่าเชื่อถือ มีความรู้ เวลาที่จะออกไปรับราชการต่างพระเนตรพระกรรณ ใครจะไปเป็นทูต ก็ต้องเข้าเฝ้าฯ และไปถวายรับพระราชทานสาส์นจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ แล้วก็จะมีพิธีทัดดอกมะตูมให้กับผู้ที่จะไปรับราชการในต่างประเทศ พระราชประเพณีนี้มีมายาวนาน และทูตถือเป็นตัวแทนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ไปรับราชการต่างประเทศ ต่างพระเนตรพระกรรณ กระทรวงต่างประเทศนี่มันฉิบหายและเลวระยำ และบัดซบมาตั้งแต่ยุคที่ทักษิณเข้ามาครอบครอง บริหารบ้านเมือง ผมจะบอกให้
นักการทูตไม่เคยมีใครที่จะออกไปเป็นพ่อค้า ไปเป็นเซลแมน เป็นนายหน้า เป็นโบรกเกอร์ หรือทำตัวแม้กระทั่งขายแผ่นดิน ขายสถานทูตตัวเองกินก็มี ก็เพราะอะไรครับ เพราะคำว่าทูตซีอีโอ เพราะผู้ว่าฯ ซีอีโอ ไงครับ มันมาเปลี่ยนเป็นทูตซีอีโอครับ แทนที่จะเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ข้าราชการต่างพระเนตรพระกรรณ มันบอกว่าทูตต้องทำหน้าที่เป็นทูตซีอีโอ มันไปแปลทูตไทย ข้าราชการกระทรวงต่างประเทศ ให้กลายเป็นพ่อค้าที่เห็นแก่ความละโมบโลภมาก เห็นแก่ได้ เห็นแก่เงิน และเห็นแก่ประโยชน์
ความจริงแล้วกระทรวงต่างประเทศในอดีตก่อนยุคนั้น เรื่องแผ่นดิน เรื่องชาติบ้านเมือง ต้องมาก่อนเป็นอันดับ 1 เรื่องเกียรติภูมิ ศักดิ์ศรี ประโยชน์ของชาติต้องมาก่อนเป็นอันดับ 1 นักการทูตเมื่อก่อนไม่ใช่ว่าเขาจะยอมเสียเกียรติภูมิ ศักดิ์ศรี แก่ประเทศอื่นอย่างง่ายๆ
พี่น้องดูนะครับ ยุคสมัยก่อน นักการทูตท่านดูอย่าง พ.อ.ถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีต่างประเทศที่อยู่นานมาก ยุคจอมพลสฤษดิ์ สู้กับนานาประเทศ สู้กับเขมรเรื่องปราสาทพระวิหารก็ดี ทุกคนเข้มแข็งมาก ท่านทูตสมปอง สุจริตกุล เหล่านี้ เป็นต้น หรือยุคสมัยที่ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ หรือสมัยท่าน พล.อ.เปรม เป็นนายกรัฐมนตรี นักการทูตไทยทุกคนสู้ สมัยนั้นพรรคคอมมิวนิสต์ เวียดนาม จีน ที่จะเข้ามาสนับสนุนการต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย เปลี่ยนแปลงการปกครองในประเทศ เราสู้กันอย่างหนัก เอาทุกรูปทุกแบบ และการเจรจาทางการทูตประเทศไทยไม่ยอมง่ายๆ เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์ไปพึ่งเวียดนาม เราก็เจรจาทางการทูต สร้างสัมพันธไมตรีกับจีน จับมือจีนได้ ก็สามารถแก้ไขปัญหาในประเทศได้ ถ้าอเมริกาจะวางก้ามในประเทศไทยมาก เราก็ต้องสามัคคีจีน สามัคคีรัสเซีย ถ่วงดุลอำนาจ
รัฐบาลแต่ละยุค แต่ละสมัยในอดีตที่ผ่านมา กระทรวงต่างประเทศเขาไม่โง่เง่าปัญญาอ่อนเหมือนรัฐบาลยุคนี้ และกระทรวงต่างประเทศยุคนี้
วันนี้ที่มันน่าเศร้าใจและเสียใจที่สุด ก็คือมัน 2 คนที่เคยมาขึ้นเวทีของเรา คนหนึ่งคือนายกษิต ภิรมย์ ตอนนี้ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ คนที่ 2 คือนายอัษฎา ไชยนาม เคยมาขึ้นเวทีนี้เหมือนกัน น้องชายคือสุรพงษ์ ไชยนาม อัษฎา ไชยนาม วันนี้นายกษิตเอาไปแต่งตั้งเป็นประธานเจบีซี แทนนายวศิน ธีรเวชญาณ ทั้งสองคนนี้พอกันตอนนี้ มันหน้ามืดตามัว เพราะมันหลงงมงายที่นายอภิสิทธิ์แต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ และคนหนึ่งได้เป็นประธานเจบีซี ไปประชุมเจบีซีที่อินโดนีเซียทั้งสองคน โง่หรือฉลาดครับ ไม่ได้เรื่องเลย
นี่เป็นการกระทำและเป็นการเดินนโยบายทางการเมืองที่อัปยศ ผมจึงอยากจะประณามว่ากระทรวงต่างประเทศวันนี้ ผมไม่รู้ว่าข้าราชการกระทรวงต่างประเทศที่ดีๆ ยังมีหลงเหลืออยู่หรือเปล่า ทำไมคุณไม่ลุกขึ้นมาสู้ ไล่รัฐมนตรีต่างประเทศเฮงซวยของคุณออกไปซะ แม้ว่าจะเป็นคนที่เคยผ่านเวทีพันธมิตรฯ เราก็ไม่ได้นับญาติเป็นพันธมิตรฯ มานานแล้ว คนพันธมิตรฯ ไม่ใช่คนแบบนี้ ถูกต้องมั้ยครับ
อยากจะอยู่ในตำแหน่ง อยากจะได้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศก็เลยสอพลอ ก้มหน้าก้มตา ก้มหัวรับใช้นายสุเทพ นายอภิสิทธิ์ แบบไม่ลืมหูลืมตา ขนาดทหารเขาออกมาแสดงจุดยืน ประชาชนออกมาเรียกร้องว่ามันเรื่องอะไร ปัญหาระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา ทำไมเสือกทะลึ่งไปประชุมที่อินโดนีเซีย ทำไมจะต้องให้อินโดนีเซียเข้ามาเกี่ยวข้อง เรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่อัปยศของกระทรวงต่างประเทศเห็นๆ ผมน่ะยังเชื่ออยู่ว่ามีข้าราชการที่ดีๆ ในกระทรวงต่างประเทศ แต่ทำไมมันก้มหัว มุดหัวอยู่ที่ไหนกันหมด วันนี้คนดี คนเก่ง คนกล้า ทำไมไม่แสดงตัวออกมา เพราะอะไรครับ
มันน่าเศร้าใจครับประเทศไทยของเรา นี่เรื่องของกระทรวงต่างประเทศ และยุคทักษิณนั่นล่ะครับ เป็นยุคที่เอาเด็ก นายกันตธีร์ ศุภมงคล มาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ย้ายทูตเป็นว่าเล่น และให้ทูตเป็นเครื่องมือในการไปทำมาหารับประทานของนักการเมือง เวลานายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี เดินทางไปต่างประเทศที่ไหน ทักษิณเดินทางไปต่างประเทศที่ไหน ก็จะเอาทูตไปเป็นเครื่องมือในการแสวงหาตลาด และแสวงหาสัญญาข้อตกลงทางการค้าที่เป็นธุรกิจของตนเอง
กระทรวงต่างประเทศยุคหลังก็เลยเปลี่ยนสี แปรธาตุ เห็นแก่เงิน เห็นแก่ผลประโยชน์ที่นักการเมืองหยิบยื่นให้ เพราะฉะนั้นการที่ไปตกลงให้เอ็กซิมแบงก์ปล่อยกู้ให้พม่า ก็อาศัยกลไกของกระทรวงการต่างประเทศ เจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศหลายคนก็พลอยถูกฟ้องไปด้วย และเรื่องไปยกเว้นภาษีนำเข้า ภาษีส่งเสริมการลงทุนให้กับธุรกิจดาวเทียม ของบริษัทในเครือชินวัตร นั่นก็มาจากกระบวนการการเจรจาต่อรองทางการทูตและการส่งเสริมทางการค้า และเกิดขึ้นในยุคสมัยที่ทักษิณเป็นรัฐบาล ทำให้กระทรวงต่างประเทศกลายเป็นเครื่องมือหากินของนักการเมืองไปเรียบร้อยแล้ว
และกระทรวงนี้มันแปลกนะครับ ส่วนใหญ่แล้วจะมีลูกขุนนาง ลูกผู้ดีมีสกุล อยู่เต็มไปหมด หม่อมเจ้า หม่อมหลวง หม่อมราชวงศ์ นามสกุลดังๆ ทั้งนั้น อยู่ที่นั่น ทำไมมันยอมก้มหัวให้กับนักการเมืองสัตว์นรกได้ ไม่เข้าใจครับ หรือว่าไอ้ตระกูลดังๆ มันก็แปรพันธุ์เป็นพวกสัตว์นรกไปกับเขาไปหมดแล้ว ถึงไม่ได้รู้สำนึกว่าการที่จะทำงานปกป้องผลประโยชน์ของชาติควรจะทำอย่างไร
ก็อยากจะบอกให้พี่น้องทราบว่าขณะนี้ประเทศไทย ถ้าปล่อยให้นักการเมืองบริหารบ้านเมืองไปอย่างที่เราเห็นอยู่นี้ นักการเมืองนั้นไม่ได้คำนึงถึงอะไรเลย คำนึงถึงแต่ประโยชน์ทางการเมืองของตนเองและของพรรคเท่านั้น แล้วก็จิกหัวใช้ข้าราชการให้ทำงานสนองนโยบายของตนเอง แม้ว่าจะเป็นนโยบายที่ล้มเหลว นโยบายที่ทำให้เสื่อมเสียเกียรติภูมิ ศักดิ์ศรี ของประเทศไทย เอาผลประโยชน์ของชาติไปขาย เพื่อแลกกับผลประโยชน์ที่ตัวเองจะได้แต่ชาติเสียหาย ประเทศชาติเสีย ประชาชนเสียหาย นักการเมืองก็ทำได้ แต่ข้าราชการทั้งหลายก็ยอมรับใช้นักการเมืองเหล่านั้นได้ นี่คือยุคอัปยศของประเทศชาติบ้านเมืองของเรา
มาถึงในจุดนึ้ มาถึงในช่วงนี้ มันจึงเป็นความจำเป็น ที่พวกเรารณรงค์โหวตโน รณรงค์ไม่เลือกใคร มันเป็นเรื่องการรณรงค์ที่เข้าจุดเข้าเป้าที่สุด เวลานี้จะเห็นได้ว่ามีคนดิ้นพล่านเยอะ ทุกพรรคการเมืองล่ะครับ บางพรรคก็ไปรณรงค์ว่า ถ้าจะโหวตโน ไม่เลือกใครไม่เป็นไร ตัวบุคคลน่ะ ยังไงช่วยหย่อนคะแนนให้พรรคหน่อยก็ยังดี เพื่อให้ได้สมาชิกของพรรคที่ส่งเป็นปาร์ตี้ลิสต์ ได้เข้าไปเป็น ส.ส.มีที่นั่ง โหวตโนก็ให้โหวตโนเฉพาะ ส.ส.เขตก็พอแล้ว แต่เลือกพรรคก็โหวตให้พรรคก็แล้วกัน พี่น้องพันธมิตรฯ อย่าลืมไปโหวตให้พรรค มีบางคนพยายามจะมาโน้มน้าวพวกเราแบบนี้ โดยอาศัยอ้างว่าเป็นคนพันธมิตรฯ อาศัยอ้างว่าเป็นคนการเมืองใหม่ ความจริงแล้วมติของพวกเราชัดแจ้งว่า ไม่ว่าพรรคใด คนใด เราก็โหวตโน ไม่เลือกใครทั้งนั้น กาในช่องไม่ลงคะแนนทั้งบัตรที่เลือกพรรคและบัตรที่เลือกคน กาในช่องไม่ลงคะแนนทั้ง 2 ใบ ถ้ามันมีเลือกตั้ง ใช่มั้ยครับ ไม่ว่าพรรคไหนทั้งนั้น อย่าให้พวกอีแอบมาตีกินแล้วมาหลอกพวกเรา
เราจะทำอะไรเราต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และไปในทางเดียวกัน บางทีอาจจะมีพรรครักสันติ อาจจะมีพรรคนู้นพรรคนี้ หรือพรรคประชาธิปัตย์ อาจจะมาอ้างว่าเป็นพวกเดียวกันกับเรา หรือพรรคไหนก็แล้วแต่ ไม่ต้องเอ่ยชื่อพวกเราก็คงรู้ มาบอกว่าเป็นพวกเดียวกับพวกเรา ไหนๆ ถ้าไม่เลือก โหวตโนเป็นรายบุคคลแล้ว ก็ลงคะแนนให้พรรคก็แล้วกัน มันก็คือกันล่ะครับ อย่ามาทำลายพลังของพวกเราเลย เราไม่หลงกลอย่างแน่นอน
ถ้าคุณเป็นคนพันธมิตรฯ ถ้าคุณเป็นคนที่รักชาติ รักบ้านรักเมืองจริง เราเดินโหวตโนไม่ลงคะแนนให้ใคร มันก็ต้องไปด้วยกันใช่มั้ยครับ ไม่ใช่มาอีแอบตีกินแล้วก็ทำมาอธิบายเหตุผลต่างๆ นานา
นักวิชาการบางคนผมก็ไม่อยากจะตอบโต้หรอก เพราะอยากจะเรียกมาอบรมมากกว่า เรียกมาพูดคุยกันดีกว่า บางคนก็บอกว่าถ้าเราโหวตโน ไม่ได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ แสดงว่าเราแพ้ มันบ้าหรือเปล่านี่ โหวตโนนี่เราจะเลือกมาก เลือกน้อย จะไม่ลงคะแนนให้ใคร มากน้อยเท่าไร ขึ้นอยู่กับพลังของพี่น้องประชาชนที่จะร่วมกัน
มันจะได้เท่าไร มันก็ขึ้นอยู่กับพลังของพี่น้องประชาชน ซึ่งขณะนี้แน่นอน ถ้าหากว่าเรารณรงค์ไม่ลงคะแนนให้ใคร รับรองพี่น้อง คะแนนโหวตไม่ลงคะแนนให้ใครมันจะมาก ไม่น้อยกว่า 10-20 เปอร์เซ็นต์ เมื่อบวกรวมกับไม่ลงคะแนน หรือไม่ไปใช้สิทธิ์ 20-30 คะแนนแล้ว มันต้องมากแน่ และมันจะเป็นการตบหน้านักการเมืองและพรรคการเมือง
บางคนบอกว่าคุณจะไปเอาคะแนนคนที่ไม่ลงคะแนน คนที่ไม่ไปใช้สิทธิ์ 20-30 เปอร์เซ็นต์ มานับรวมกับคะแนนไม่ลงคะแนนไม่ได้ เอ๊ะ ทำไมจะรวมไม่ได้ มันก็คือคนที่ไม่สนใจ ไม่อยากเลือกตั้ง ไม่ยอมรับระบอบเลือกตั้ง และไม่สนับสนุนนักการเมืองเลือกตั้งนั่นเอง เขาถึงไม่ไปใช้สิทธิ์ โดยส่วนใหญ่คนที่ไม่ไปใช้สิทธิ์ก็คือ เลือกใครแม่งก็เหี้ยเหมือนกัน ใช่มั้ยครับ เลือกใครมันก็เหี้ยไปจัญไรมาเหมือนกัน ถ้าเขาไม่ไปใช้สิทธิ์ ก็แสดงว่าเขาไม่ยอมรับระบอบการเมืองและไม่ยอมรับนักการเมืองนั่นเอง
ถ้าคุณอยากรู้ว่าทำไมเขาไม่ไปใช้สิทธิ์ แน่จริงคุณลองไปสำรวจความเห็นพวกที่ไม่ไปใช้สิทธิ์สิ ว่าเขาไม่ไปใช้สิทธิ์เพราะอะไร แล้วคุณจะได้คำตอบ ว่าเขาไม่ไปเพราะ 1. กูขี้เกียจ 2. กูเบื่อ 3. เลือกเหี้ยไปก็จัญไรมาเหมือนเดิม ไม่ไปดีกว่า
แต่คราวนี้เรารณรงค์ให้ทั้งคนที่จะกาช่องไม่ลงคะแนนให้ใคร และรณรงค์ทั้งคนที่ไม่ไปใช้สิทธิ์ ให้ช่วยไปกาในช่องไม่ลงคะแนนให้ใคร พรรคใด คนใด ทั้งสิ้น ก็ต้องอยู่ในพวกที่ไม่เลือกนักการเมือง และ 2. โดยหลักทฤษฎีรัฐศาสตร์ ประชาชนจริงๆ แล้วระบอบเลือกตั้งมันเป็นเพียงระบอบจำลอง มันไม่ใช่ระบอบของจริง เพราะมันเป็นการเลือกโดยคนส่วนน้อย ไปเลือกคนส่วนน้อยมาปกครองประเทศ จะว่าไปแล้วมันไม่ใช่โดยคนส่วนใหญ่ไปเลือกคนส่วนน้อยเป็นตัวแทนมาปกครองประเทศ เพราะอะไรครับ ตัวเลขมันก็บอกอยู่แล้ว ประชากรไทย 66 ล้านคน คนมีสิทธิ์เลือกตั้งมีอยู่ 40 ล้านคน คนไปใช้สิทธิ์มีอยู่ประมาณ 30 ล้านคน ที่ไม่ไปใช้สิทธิ์และไม่ไปเลือกตั้งเลย มันก็มากกว่าคนที่ไปใช้สิทธิ์อยู่แล้ว และที่ไปใช้สิทธิ์ใน 30 ล้านคน ก็ไม่ลงคะแนนเสียกว่าครึ่ง สรุปแล้วคนที่ได้รับเลือกตั้งมันก็เป็นการได้รับเลือกตั้งมาจากคนส่วนน้อย ถ้าว่าตามความเป็นจริงของการเลือกตั้งแล้ว มันเป็นการคนส่วนน้อยไปเลือกคนส่วนน้อยมาเป็นตัวแทน ปกครองบ้านเมืองนั่นเอง ไม่ใช่ตัวแทนของคนส่วนใหญ่ทั้งประเทศ
และยิ่งถ้าหากการเลือกตั้งนั้นก็รู้อยู่แล้ว เห็นอยู่แล้ว มันเป็นการโกง การทุจริต การซื้อเสียงเข้ามา และคนที่ไปเลือกตั้งที่ไปใช้สิทธิ์จริงๆ เขาก็ไม่ได้ไปเลือกตั้งเพราะเขาชื่นชมในนักการเมืองนั้นหรอกว่าเป็นคนดี หรือพรรคนั้นหรอกมีนโยบายที่ดี แต่เพราะว่าจ่ายเงินมากกว่าครึ่ง ในจำนวนคนที่ไปเลือกตั้ง ที่ไปเลือกเองโดยไม่ได้รับเงินตอบแทน ใน 20 ล้าน มีไม่ถึง 10 ล้านที่ไปเลือกเอง นอกนั้น 10 กว่าล้าน รับเงินทั้งนั้น ที่ไปลงคะแนนเลือกตั้งและรับผลประโยชน์จากนักการเมืองทั้งนั้น มันจึงเป็นคำตอบไม่ได้ว่าผลของการเลือกตั้งนั้น คนที่ได้รับเลือกตั้งนั้น เป็นตัวแทนของประชาชนอย่างแท้จริง มันเป็นวิธีเลือกตั้งที่จอมปลอม
เพราะฉะนั้น นักวิชาการที่มาเขียนว่าเราจะเอาคนที่ไม่ไปใช้สิทธิ์มารวมกับคนโหวตโนไม่ได้ หรือถ้าเราไปรณรงค์ให้คนโหวตโนได้ไม่ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ของคนที่ไม่มา ที่กาไม่ลงคะแนน แสดงว่าเราแพ้ ผมไม่รู้ว่าคุณเอาทฤษฎีอะไรมาอธิบาย จริงๆ แล้วการวิเคราะห์การเมืองของนักวิชาการท่านนี้ ยังห่างไกลมาก เพราะฉะนั้นท่านน่าจะมาสนทนากับพวกผมอย่างเอาจริงเอาจังและตกผลึกดีกว่า ก่อนที่จะไปเขียนอะไรที่ดูแล้วไม่เข้าท่า
ความจริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องมีสาระอะไรที่อยากจะตอบโต้หรอก แต่อยากจะทำความเข้าใจกับพี่น้องว่า มันจะมีคนที่จะมีวิชามาร หรือมีวิธีคิดแปลกๆ บางคนก็เป็นพวกที่ปรารถนาดี บางคนก็เป็นพวกคิดดี รักระบอบประชาธิปไตย แต่ก็เป็นพวกที่รักระบอบประชาธิปไตยที่จำยอมต่อระบอบเก่า จำนนต่อระบอบเลือกตั้งที่โสโครกนี้ และไม่เคยคิดจะเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง และไม่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง
ถ้าเราไปสนับสนุนการเลือกตั้งต่อไปเรื่อยๆ ยอมให้นักการเมืองมันได้ใจว่าเลือกตั้งทีไร ยุบสภา พวกเราก็ไปเลือกตั้ง ไปกาเลือกมันมาอยู่ดี มันก็มาปล้นบ้านกินเมืองอยู่ตลอดไป แล้วอย่างนี้นักการเมืองมันจะรู้สำนึกไหมครับ มันก็ไม่รู้สำนึกอยู่ดี
เขาก็ต้องคิดว่า โกงยังไงก็ได้ เพราะว่าเดี๋ยวถึงเวลายุบสภา เลือกตั้งใหม่ มันไม่มีทางเลือก มันก็ต้องไปกาเลือกพวกกูกลับมาอยู่ดี นักการเมืองมันก็ต้องคิดอย่างนี้อยู่ดี แต่การที่เราไม่ให้ความร่วมมือ บอยคอต ด้วยการกาในช่องไม่ลงคะแนนเลือกพรรคใด ไม่เลือกคนใด ถ้ามีจำนวนมากพอ มันจะเป็นแรงกดดันให้ทุกคน ทุกฝ่ายในประเทศนี้ หันมามองดูว่าระบอบเลือกตั้งนั้นมันล้มเหลว จำเป็นต้องคิดหากระบวนการ วิธีการใหม่ ที่จะได้คนดีมาปกครองบ้านเมือง คุณไปคิดเลยว่าเอาวิธีไหนก็ได้ที่ให้ได้คนดีเข้ามาปกครองบ้านเมือง มันจะเป็นแรงกดดันในเรื่องนี้ครับ
แต่ถ้าเราไม่คิดจะทำอะไรเลย ไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงอะไรเลย บ้านเมืองก็จะจมอยู่อย่างนี้
พี่น้องที่เคารพรักครับ ก่อนจะจากกันไปในวันนี้ขอพูดประเด็นสุดท้ายประเด็นหนึ่ง เมื่อวานนี้ที่ผมได้พูดไปที่เกี่ยวกับทหาร เกี่ยวกับเรื่องการปฏิวัติ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง ต้องขอบคุณพี่น้องประชาชนชาวไทยเป็นอย่างมาก ที่ส่งข้อความและแสดงความคิดเห็นที่เห็นด้วยกับสิ่งที่ผมพูดไป เพราะทุกคนเห็นว่าประเทศไทยจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลง ปัญหาว่าจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรเท่านั้นเอง แต่จะอยู่อย่างนี้ อยู่อย่างเก่า ไม่ได้ ใช่มั้ยครับ ถ้าท่านเห็นว่าต้องเปลี่ยนแปลง ขอเสียงปรบมือหน่อย
และก็มีผู้หลักผู้ใหญ่มากมายช่วยโทรศัพท์มาให้กำลังใจจำนวนมาก บอกว่าเราต้องสู้ต่อไป และเวทีนี้ และที่พี่น้องประชาชนชุมชนอยู่ที่นี่ล่ะ เป็นจุดสำคัญที่เป็นเวทีที่ให้ความรู้กับคนในประเทศ และในสังคม เพื่อจะตอบโต้กับแนวคิดของพวกนักเลือกตั้ง และสามารถกดความคิดของนักเลือกตั้งให้สยบ ไม่สามารถที่จะหาความชอบธรรมได้เหมือนเมื่อก่อน ลงไปเยอะเลย
แล้วกระแสการจะรณรงค์ร่วมกับพวกเรา เมื่อวานผมบอกพี่น้องไปแล้ว วันนี้มีคนส่งข่าวผมว่า เขาลงทุนด้วยเงินของเขาเอง พิมพ์สติ๊กเกอร์ประมาณ 2,000 อัน เพื่อจะไปติดกับรถตู้ รถแท็กซี่ ประมาณ 2,000 คัน ออกเงินด้วยตัวเขาเองครับ
ความจำเป็นที่บ้านเมืองต้องเปลี่ยนแปลงนั้น ไม่จำเป็นต้องพูดกันอีกแล้ว เพราะไม่ว่าจะพูดในมิติใด โครงสร้างของบ้านเมืองนั้น ถ้าไม่ปรับปรุง ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ปฏิรูปครั้งใหญ่ สังคมไทยอยู่ไม่ได้ โครงสร้างเศรษฐกิจแบบนี้ประเทศไทยก็อยู่ไม่ได้ เพราะคนรวยจะรวยล้นฟ้า และจะมีแต่นักการเมืองเท่านั้นที่รวยเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี ประชาชนมีแต่จะจนลง
ใครมาเป็นนักการเมือง ได้เป็น ส.ส. ได้เป็นรัฐมนตรี รวยทุกคนครับ ยิ่งเป็นรัฐมนตรีสมัยแรก มีเงินร้อยล้าน พันล้าน เป็นสมัย 2-3 เป็นหมื่นล้านครับ แล้วประเทศมันจะไม่จนยังไงครับ แล้วพี่น้องดูนะครับ ถึงเวลาน้ำท่วม ภัยพิบัติ เงินคงคลัง เงินสำรองของประเทศไม่ค่อยมีนะครับ เพราะนักการเมืองมันโกงไปเยอะ เก็บภาษีก็ได้ต่ำกว่างบประมาณที่ได้ประมาณการเอาไว้ เวลานี้ภาระหนี้สินของประเทศมีสูงมาก ถึงเวลาภัยพิบัติแรงๆ ประเทศไทยต้องมาเรี่ยไรเงินจากพี่น้องประชาชน หาเอาเงินไปช่วยพี่น้องด้วยกันเอง เงินของรัฐบาล เงินในคลังที่จะไปช่วยประชาชนนั้นมีน้อยมาก พอเวลาเบิกไปเอาไปช่วยราษฎร มันก็โกงกัน กินกันเป็นรายทางอีก
นี่คือคือความอัปยศของบ้านเมืองของเรานะครับ เวลานี้ถ้าเอาตัวเลขภาระหนี้สินของประเทศมาให้พี่น้องดู เดี๋ยววันหลังพี่น้องจะตกใจ ถ้าเราประสบภัยพิบัติหนักอย่างญี่ปุ่นนะ ประเทศล่มสลาย ล้มทั้งยืน ไม่มีวันรอดเลยครับ ประเทศเรา เพราะเราไม่มีเงินสำรอง ไม่มีเงินออม พอที่จะมาเยียวยาเวลาที่เราจำเป็น ขาดแคลน หรือเดือดร้อน เวลานี้เรากู้ทั้งนั้น เงินที่ใช้อยู่นี่กู้ทั้งนั้น และกู้มามันก็โกงต่อ เงินภาษีที่เก็บมา มันก็โกง เงินกู้มันก็โกง แล้วประเทศมันจะอยู่ได้ยังไงครับ
ผมถึงบอกว่าวันนี้มันถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญที่ประเทศไทยเราจะต้องเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แล้ว ถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลงบ้านเมือง เราไปไม่รอดหรอก เพราะฉะนั้นบรรดาทหารหาญทั้งหลาย ท่านอย่ามัวแต่พูดครับ ถ้าคิดว่าบ้านเมืองเป็นของท่าน ประเทศเป็นของพวกเรา มันต้องมาช่วยกันคิดหาทางแก้ไขเปลี่ยนแปลงประเทศชาติบ้านเมืองร่วมกัน เพราะเราไม่มีทางรอดทางอื่น ถ้าเราปล่อยให้นักการเมืองยังเสวยสุขอยู่อย่างนี้
เวทีของพวกเราวันนี้ ที่เรายืนหยัดอยู่นี้ พี่น้องต้องยืนหยัดอยู่อย่างมีความมั่นใจและมีความสุข เพราะที่เรายืนหยัดอยู่นี่ พี่น้องเชื่อผมนะครับ ผลของการยืนหยัดด้วยความถูกต้อง ด้วยความเป็นธรรม และยืนหยัดด้วยความจริงของเรา มันจะส่งผลสะเทือนไปถึงคนในวงการสังคมต่างๆ เขาคิดนะครับ และทุกคนขณะนี้ เขากำลังวิเคราะห์และกำลังคิดว่าจะหาทางออกให้กับบ้านเมืองอย่างไร เพราะมีเวทีนี้ยืนหยัดอยู่ และมันเป็นเวทีที่ประจานความล้มเหลวของรัฐบาล ไม่ว่าเลือกใครก็เหี้ยไปจัญไรมา แล้วบรรดาพวกท่านทั้งหลายจะปล่อยให้เหี้ย ให้จัญไร มาปกครองบ้านเมืองต่อไปอีกหรือ
เพราะฉะนั้นทุกคนเวลานี้ช่วยกันคิด เพราะมีพวกเราปักหลักปักธงอยู่ตรงนี้ ดังนั้นเราจึงต้องปักหลักปักธงอยู่ตรงนี้จนกว่ามันจะมีคำตอบ มีทางออกที่ดีที่สุด มีคนถามว่าทางออก คำตอบ มันคืออะไร คุณประพันธ์ พี่น้องจำไว้ คำตอบที่ดีที่สุดอยู่ในสถานการณ์นี้ แล้วในอีกวันหนึ่งไม่นานมันจะมีทางออกให้เราเห็น เหมือนกับเมื่อครั้งที่เราไล่ทักษิณอยู่ เอ๊ะอยู่ๆ ทำไมมันมี 19 กันยาฯ ใช่มั้ยครับ เราชุมนุมไล่สมัย ไล่สมชาย เอ๊ะอยู่ๆ ทำไมศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้สมัครหลุดจากคดี เอ๊ะ เราชุมนุมอยู่ดีๆ ทำไมศาลตัดสินให้ยุบพรรค สมชายจึงพ้นจากตำแหน่ง พี่น้องไม่ต้องห่วง ในความสงบมีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา เราต้องมั่นใจว่าเมื่อเรายืนหยัดบนหนทางนี้แล้ว ก็ต้องไปให้สุดทาง สู้ให้ถึงที่สุดจนกว่าเราจะได้ชัยชนะครับ ขอให้กำลังใจพี่น้องทุกคน สวัสดีครับ”