การชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ภายใต้การนำของคณะกรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดิน หรือต่อมาได้เปลี่ยนเป็นคณะกรรมการรวมพลังป้องกันราชอาณาจักรก็ดี ได้ปักหลักชุมนุมอย่างต่อเนื่องบริเวณแยกสะพานมัฆวานฯ ถนนราชดำเนินนอก นับถึงวันนี้ก็เป็นเวลา 46 วันแล้ว โดยมีเจตนาชัดแจ้งเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปฏิบัติตามข้อเรียกร้อง 3 ข้อคือ
(1) ให้ยกเลิกเอ็มโอยู 2543 (2) ให้ถอนตัวจากภาคีมรดกโลก (3) ให้กดดันและขับไล่กองกำลังทหารและคนกัมพูชาที่รุกล้ำและยึดครองดินแดนไทยออกไป
กล่าวโดยสรุปก็คือ เรียกร้องให้รัฐบาลทำหน้าที่ปกป้องดินแดน เพื่อรักษาเอกราชและอธิปไตย อันเป็นสิทธิโดยชอบธรรมและเป็นหน้าที่ที่รัฐไทยพึงปฏิบัติในฐานะประเทศผู้ถูกรุกราน สอดคล้องและเป็นไปตามกฎบัตรของสหประชาชาติ มาตรา 2 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 1 ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้ และมาตรา 70, 71, 77 ซึ่งกำหนดให้เป็นหน้าที่ของพลเมืองไทยทุกคนและรัฐไทย ให้มีหน้าที่ต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ปกป้องเอกราช อธิปไตยและบูรณภาพแห่งเขตอำนาจรัฐ
การชุมนุมเรียกร้องโดยสงบ สันติ และปราศจากอาวุธของประชาชน แม้จะได้นำเสนอเหตุผลและข้อเท็จจริงที่ครบถ้วน หนักแน่น จนรัฐบาลเองก็มิอาจโต้แย้งได้ แต่นายกรัฐมนตรีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับเพิกเฉยไม่สนใจไยดีและไม่ฟังเสียงประชาชน ตรงกันข้ามกลับดื้อรั้นดึงดันและดำเนินการไปในทางที่ทำให้ราชอาณาจักรไทยต้องสูญเสียดินแดนให้แก่กัมพูชา ทำให้ประเทศเสื่อมเสียเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีในเวทีประชาคมโลกอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
การละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อันถือเป็นความผิดร้ายแรงของนายอภิสิทธิ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ เมื่อพิจารณาประกอบกับความล้มเหลวไร้ความสามารถและขาดประสิทธิภาพในการบริหารราชการแผ่นดินด้านอื่นๆ อาทิ การบริหารราชการแผ่นดินที่ไม่โปร่งใส ทุจริตคอร์รัปชัน ใช้อำนาจอันไม่เป็นธรรมเอื้อประโยชน์กับพวกพ้องพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ยึดหลักนิติรัฐ แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ช่วยผู้กระทำผิดทำให้รัฐเสียหายขาดประโยชน์ที่ต้องสูญรายได้ทางภาษีหลายหมื่นล้านบาท กรณีคดีฟิลลิป มอร์ริสและอื่นๆ จนกระทั่งล้มเหลวไม่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องเงินเฟ้อ
สินค้าอุปโภคบริโภคมีราคาแพงและขาดแคลน จนเกิดสภาวะข้าวยากหมากแพง ประชาชนทุกระดับได้รับความเดือดร้อนทุกครัวเรือน ดังปรากฏโดยทั่วไปในขณะนี้ ทำให้ประชาชนหมดสิ้นความศรัทธา ไม่เชื่อถือและไม่ไว้วางใจในการบริหารบ้านเมืองของนายอภิสิทธิ์อีกต่อไป และเห็นว่านายอภิสิทธิ์ ไม่สมควรที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จึงเรียกร้องให้รับผิดชอบและพิจารณาตนเองด้วยการลาออก
แต่จนถึงบัดนี้ การเรียกร้องถึงสปิริตและสำนึกรับผิดชอบทางการเมืองที่นายอภิสิทธิ์เคยพล่าม ว่ากล่าวอบรมสั่งสอนคนอื่นให้ยึดถือเอาสำนึกความรับผิดชอบทางการเมืองต้องสูงกว่าความรับผิดทางกฎหมายนั้น ได้กลายเป็นเรื่องที่นายอภิสิทธิ์ได้ถ่มน้ำลายขึ้นฟ้าตกลงมารดใส่หน้าตัวเองเสียแล้ว เขายังคงดื้อด้านไร้ยางอาย หาได้มีสำนึกความรับผิดชอบแต่อย่างใดไม่ การเรียกร้องต่อนายอภิสิทธิ์ให้รับผิดต่อปัญหาของชาติบ้านเมืองอันเกิดแต่ความผิดพลาดล้มเหลวของเขา ณ วันนี้คงยากที่จะได้รับการพิจารณาสนองตอบต่อความต้องการของประชาชน พอๆ กับการเรียกร้องให้งาช้างงอกออกมาจากปากสุนัขฉันใดก็ฉันนั้น
เมื่อประชาชนได้เรียกร้องโดยสันติ แต่ผู้ปกครองประเทศไม่สนใจไยดี กลับหาทางทำลายและสลายการชุมนุมของประชาชน โดยได้กระทำทุกวิถีทางทั้งรื้อไล่ จับกุม ตั้งข้อกล่าวหา ประกาศใช้กฎหมายที่ไม่เป็นธรรมเพื่อบดขยี้ประชาชนให้ได้ โดยอ้างกฎหมายความมั่นคงและ พ.ร.บ.จราจร มาบังคับใช้ให้มีผลเหนือกว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญ โดยยื่นคำขาดให้ผู้ชุมนุมทั้งหมดออกจากพื้นที่ที่ชุมนุมให้หมดภายในวันที่ 15 มีนาคมนี้
กรณีดังกล่าว ย่อมเป็นการบังคับขู่เข็ญ จงใจละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน กดขี่ข่มเหงรังแกประชาชนผู้มาทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดินซึ่งมาด้วยความสุจริต เสียสละ ยอมยากลำบากเพื่อทำหน้าที่รักษาเอกราชอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดนไทย และเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ประชาชนทั้งหลายจึงย่อมมีสิทธิที่จะขัดขืน และหากถูกทำร้ายก็ย่อมมีสิทธิที่จะตอบโต้ป้องกันตนเองได้โดยชอบ และมีสิทธิโดยชอบธรรมที่จะไม่ปฏิบัติตามประกาศและคำสั่งอันมิชอบดังกล่าว
พี่น้องประชาชนผู้รักชาติทั้งหลาย บ้านเมืองของเรา ประเทศชาติของเราในยามนี้ ได้ตกอยู่ภายใต้อำนาจการปกครองที่ชั่วร้ายของผู้นำประเทศที่ขลาดเขลา อ่อนแอ และไร้ความสามารถ ทั้งมีพฤติกรรมที่ทุจริตคดโกง ขาดความรู้ความสามารถที่จะนำพาชาติบ้านเมืองของเราให้หลุดพ้นจากปัญหาและวิกฤตของชาติไปได้ แม้สูญเสียดินแดนและแผ่นดินที่บรรพบุรุษของไทยได้สละชีวิตและเลือดเนื้อเป็นราชพลีเพื่อปกปักรักษาไว้จนตกมาถึงลูกหลานไทยจนตราบเท่าทุกวันนี้ นายอภิสิทธิ์และรัฐบาลของเขาก็ไม่สนใจไยดีหรือทุกข์ร้อนแต่อย่างใด แผ่นดินไทยต้องสูญเสียและเป็นการเสียดินแดนในรัชสมัยของรัชกาลปัจจุบันเขาก็ไม่คำนึง สถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ ประเทศชาติและประชาชนจึงไม่มีทางเลือกและทางออกอื่นใดต่อไปอีก
หากเราต้องการรักษาดินแดน เอกราชและอธิปไตยของชาติให้คงไว้ และไม่ต้องการให้ประเทศชาติบ้านเมืองของเราต้องพินาศเสียหายตกต่ำไปมากกว่านี้จนสุดที่จะเยียวยา ไม่ต้องการเห็นนักการเมืองเหยียบย่ำทำลายชาติบ้านเมืองของเราให้ย่อยยับ ไม่ต้องการผู้ปกครองที่ทรยศต่อชาติต่อประชาชนให้คงอยู่ในอำนาจอีกต่อไป ต้องการให้สังคมและประเทศชาติเปลี่ยนแปลง ไปสู่สังคมใหม่ที่ดีขึ้นหลุดพ้นจากหุบเหวแห่งความหายนะจากผู้ปกครองที่ไร้ซึ่งคุณธรรม ความซื่อสัตย์ และจงรักภักดีแล้ว จำเป็นและหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ประชาชนทั้งหลายต้องสามัคคีกัน ออกมาร่วมต่อสู้กอบกู้ชาติบ้านเมืองของเราร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง
การยื่นคำขาดของรัฐบาลที่ประกาศสลายการชุมนุมให้ได้ภายในวันที่ 15 มีนาคม 2554 คือวันประกาศเป่านกหวีด คือวันประกาศการต่อสู้ครั้งใหญ่ของประชาชนทั่วประเทศ ประชาชนต้องสู้และออกมาให้มากที่สุด ผมขอร้องและเชิญชวนพี่น้องทั่วประเทศ
นี่คือการต่อสู้ครั้งสำคัญของชาติบ้านเมืองของเรา ถ้ารักษาแผ่นดินไม่ได้ ก็รักษาประเทศไว้ไม่ได้ จงออกมา...ออกมา...ออกมาและจงออกมา รัฐบาลอภิสิทธิ์เป็นพิษร้ายของชาติ เป็นปัญหาของประเทศ เป็นปฏิปักษ์ต่อประชาชน เขาได้เผยโฉมหน้าและธาตุแท้ของเขาให้ประชาชนทั้งหลายได้เห็นโดยล่อนจ้อนแล้วว่า เขาเป็นเพียงนักการเมืองที่สามานย์ ฉ้อฉล ไร้สัจจะ เห็นแก่ตัว เนรคุณและตระบัดสัตย์ มิได้คำนึงถึงประโยชน์ของชาติและประชาชน
ขอเพียงแต่ให้เขาได้อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเท่านั้นเป็นพอ ไม่คิดและไม่ทำอะไรนอกจากลอยตัวอยู่เหนือปัญหา หาทางกลบเกลื่อนความผิดพลาดของตนและแก้ตัวไปวันๆ คำพูดคำสัญญาใดๆ ล้วนไม่มีความหมายและไม่ยึดถือทั้งสิ้น โอกาสของนายอภิสิทธิ์จึงหมดแล้ว และเวลาที่จะอยู่ในอำนาจของเขาก็หมดแล้ว มีแต่ประชาชนและพลังสามัคคีของประชาชนเท่านั้น ที่จะสามารถโค่นเขาลงจากอำนาจ
บัดนี้ได้ถึงเวลาและความจำเป็นอย่างยิ่ง ประชาชนผู้รักชาติทั้งหลายจงสามัคคีกัน ออกมารวมพลังปกป้องแผ่นดิน รักษาชาติ รักษาสิทธิ โค่นอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพื่อทดแทนคุณแผ่นดินกันเถอะครับ อย่าให้เสียชาติเกิด ที่ได้เกิดเป็นคนไทย
(1) ให้ยกเลิกเอ็มโอยู 2543 (2) ให้ถอนตัวจากภาคีมรดกโลก (3) ให้กดดันและขับไล่กองกำลังทหารและคนกัมพูชาที่รุกล้ำและยึดครองดินแดนไทยออกไป
กล่าวโดยสรุปก็คือ เรียกร้องให้รัฐบาลทำหน้าที่ปกป้องดินแดน เพื่อรักษาเอกราชและอธิปไตย อันเป็นสิทธิโดยชอบธรรมและเป็นหน้าที่ที่รัฐไทยพึงปฏิบัติในฐานะประเทศผู้ถูกรุกราน สอดคล้องและเป็นไปตามกฎบัตรของสหประชาชาติ มาตรา 2 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 1 ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้ และมาตรา 70, 71, 77 ซึ่งกำหนดให้เป็นหน้าที่ของพลเมืองไทยทุกคนและรัฐไทย ให้มีหน้าที่ต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ปกป้องเอกราช อธิปไตยและบูรณภาพแห่งเขตอำนาจรัฐ
การชุมนุมเรียกร้องโดยสงบ สันติ และปราศจากอาวุธของประชาชน แม้จะได้นำเสนอเหตุผลและข้อเท็จจริงที่ครบถ้วน หนักแน่น จนรัฐบาลเองก็มิอาจโต้แย้งได้ แต่นายกรัฐมนตรีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับเพิกเฉยไม่สนใจไยดีและไม่ฟังเสียงประชาชน ตรงกันข้ามกลับดื้อรั้นดึงดันและดำเนินการไปในทางที่ทำให้ราชอาณาจักรไทยต้องสูญเสียดินแดนให้แก่กัมพูชา ทำให้ประเทศเสื่อมเสียเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีในเวทีประชาคมโลกอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
การละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อันถือเป็นความผิดร้ายแรงของนายอภิสิทธิ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ เมื่อพิจารณาประกอบกับความล้มเหลวไร้ความสามารถและขาดประสิทธิภาพในการบริหารราชการแผ่นดินด้านอื่นๆ อาทิ การบริหารราชการแผ่นดินที่ไม่โปร่งใส ทุจริตคอร์รัปชัน ใช้อำนาจอันไม่เป็นธรรมเอื้อประโยชน์กับพวกพ้องพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ยึดหลักนิติรัฐ แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ช่วยผู้กระทำผิดทำให้รัฐเสียหายขาดประโยชน์ที่ต้องสูญรายได้ทางภาษีหลายหมื่นล้านบาท กรณีคดีฟิลลิป มอร์ริสและอื่นๆ จนกระทั่งล้มเหลวไม่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องเงินเฟ้อ
สินค้าอุปโภคบริโภคมีราคาแพงและขาดแคลน จนเกิดสภาวะข้าวยากหมากแพง ประชาชนทุกระดับได้รับความเดือดร้อนทุกครัวเรือน ดังปรากฏโดยทั่วไปในขณะนี้ ทำให้ประชาชนหมดสิ้นความศรัทธา ไม่เชื่อถือและไม่ไว้วางใจในการบริหารบ้านเมืองของนายอภิสิทธิ์อีกต่อไป และเห็นว่านายอภิสิทธิ์ ไม่สมควรที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จึงเรียกร้องให้รับผิดชอบและพิจารณาตนเองด้วยการลาออก
แต่จนถึงบัดนี้ การเรียกร้องถึงสปิริตและสำนึกรับผิดชอบทางการเมืองที่นายอภิสิทธิ์เคยพล่าม ว่ากล่าวอบรมสั่งสอนคนอื่นให้ยึดถือเอาสำนึกความรับผิดชอบทางการเมืองต้องสูงกว่าความรับผิดทางกฎหมายนั้น ได้กลายเป็นเรื่องที่นายอภิสิทธิ์ได้ถ่มน้ำลายขึ้นฟ้าตกลงมารดใส่หน้าตัวเองเสียแล้ว เขายังคงดื้อด้านไร้ยางอาย หาได้มีสำนึกความรับผิดชอบแต่อย่างใดไม่ การเรียกร้องต่อนายอภิสิทธิ์ให้รับผิดต่อปัญหาของชาติบ้านเมืองอันเกิดแต่ความผิดพลาดล้มเหลวของเขา ณ วันนี้คงยากที่จะได้รับการพิจารณาสนองตอบต่อความต้องการของประชาชน พอๆ กับการเรียกร้องให้งาช้างงอกออกมาจากปากสุนัขฉันใดก็ฉันนั้น
เมื่อประชาชนได้เรียกร้องโดยสันติ แต่ผู้ปกครองประเทศไม่สนใจไยดี กลับหาทางทำลายและสลายการชุมนุมของประชาชน โดยได้กระทำทุกวิถีทางทั้งรื้อไล่ จับกุม ตั้งข้อกล่าวหา ประกาศใช้กฎหมายที่ไม่เป็นธรรมเพื่อบดขยี้ประชาชนให้ได้ โดยอ้างกฎหมายความมั่นคงและ พ.ร.บ.จราจร มาบังคับใช้ให้มีผลเหนือกว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญ โดยยื่นคำขาดให้ผู้ชุมนุมทั้งหมดออกจากพื้นที่ที่ชุมนุมให้หมดภายในวันที่ 15 มีนาคมนี้
กรณีดังกล่าว ย่อมเป็นการบังคับขู่เข็ญ จงใจละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน กดขี่ข่มเหงรังแกประชาชนผู้มาทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดินซึ่งมาด้วยความสุจริต เสียสละ ยอมยากลำบากเพื่อทำหน้าที่รักษาเอกราชอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดนไทย และเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ประชาชนทั้งหลายจึงย่อมมีสิทธิที่จะขัดขืน และหากถูกทำร้ายก็ย่อมมีสิทธิที่จะตอบโต้ป้องกันตนเองได้โดยชอบ และมีสิทธิโดยชอบธรรมที่จะไม่ปฏิบัติตามประกาศและคำสั่งอันมิชอบดังกล่าว
พี่น้องประชาชนผู้รักชาติทั้งหลาย บ้านเมืองของเรา ประเทศชาติของเราในยามนี้ ได้ตกอยู่ภายใต้อำนาจการปกครองที่ชั่วร้ายของผู้นำประเทศที่ขลาดเขลา อ่อนแอ และไร้ความสามารถ ทั้งมีพฤติกรรมที่ทุจริตคดโกง ขาดความรู้ความสามารถที่จะนำพาชาติบ้านเมืองของเราให้หลุดพ้นจากปัญหาและวิกฤตของชาติไปได้ แม้สูญเสียดินแดนและแผ่นดินที่บรรพบุรุษของไทยได้สละชีวิตและเลือดเนื้อเป็นราชพลีเพื่อปกปักรักษาไว้จนตกมาถึงลูกหลานไทยจนตราบเท่าทุกวันนี้ นายอภิสิทธิ์และรัฐบาลของเขาก็ไม่สนใจไยดีหรือทุกข์ร้อนแต่อย่างใด แผ่นดินไทยต้องสูญเสียและเป็นการเสียดินแดนในรัชสมัยของรัชกาลปัจจุบันเขาก็ไม่คำนึง สถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ ประเทศชาติและประชาชนจึงไม่มีทางเลือกและทางออกอื่นใดต่อไปอีก
หากเราต้องการรักษาดินแดน เอกราชและอธิปไตยของชาติให้คงไว้ และไม่ต้องการให้ประเทศชาติบ้านเมืองของเราต้องพินาศเสียหายตกต่ำไปมากกว่านี้จนสุดที่จะเยียวยา ไม่ต้องการเห็นนักการเมืองเหยียบย่ำทำลายชาติบ้านเมืองของเราให้ย่อยยับ ไม่ต้องการผู้ปกครองที่ทรยศต่อชาติต่อประชาชนให้คงอยู่ในอำนาจอีกต่อไป ต้องการให้สังคมและประเทศชาติเปลี่ยนแปลง ไปสู่สังคมใหม่ที่ดีขึ้นหลุดพ้นจากหุบเหวแห่งความหายนะจากผู้ปกครองที่ไร้ซึ่งคุณธรรม ความซื่อสัตย์ และจงรักภักดีแล้ว จำเป็นและหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ประชาชนทั้งหลายต้องสามัคคีกัน ออกมาร่วมต่อสู้กอบกู้ชาติบ้านเมืองของเราร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง
การยื่นคำขาดของรัฐบาลที่ประกาศสลายการชุมนุมให้ได้ภายในวันที่ 15 มีนาคม 2554 คือวันประกาศเป่านกหวีด คือวันประกาศการต่อสู้ครั้งใหญ่ของประชาชนทั่วประเทศ ประชาชนต้องสู้และออกมาให้มากที่สุด ผมขอร้องและเชิญชวนพี่น้องทั่วประเทศ
นี่คือการต่อสู้ครั้งสำคัญของชาติบ้านเมืองของเรา ถ้ารักษาแผ่นดินไม่ได้ ก็รักษาประเทศไว้ไม่ได้ จงออกมา...ออกมา...ออกมาและจงออกมา รัฐบาลอภิสิทธิ์เป็นพิษร้ายของชาติ เป็นปัญหาของประเทศ เป็นปฏิปักษ์ต่อประชาชน เขาได้เผยโฉมหน้าและธาตุแท้ของเขาให้ประชาชนทั้งหลายได้เห็นโดยล่อนจ้อนแล้วว่า เขาเป็นเพียงนักการเมืองที่สามานย์ ฉ้อฉล ไร้สัจจะ เห็นแก่ตัว เนรคุณและตระบัดสัตย์ มิได้คำนึงถึงประโยชน์ของชาติและประชาชน
ขอเพียงแต่ให้เขาได้อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเท่านั้นเป็นพอ ไม่คิดและไม่ทำอะไรนอกจากลอยตัวอยู่เหนือปัญหา หาทางกลบเกลื่อนความผิดพลาดของตนและแก้ตัวไปวันๆ คำพูดคำสัญญาใดๆ ล้วนไม่มีความหมายและไม่ยึดถือทั้งสิ้น โอกาสของนายอภิสิทธิ์จึงหมดแล้ว และเวลาที่จะอยู่ในอำนาจของเขาก็หมดแล้ว มีแต่ประชาชนและพลังสามัคคีของประชาชนเท่านั้น ที่จะสามารถโค่นเขาลงจากอำนาจ
บัดนี้ได้ถึงเวลาและความจำเป็นอย่างยิ่ง ประชาชนผู้รักชาติทั้งหลายจงสามัคคีกัน ออกมารวมพลังปกป้องแผ่นดิน รักษาชาติ รักษาสิทธิ โค่นอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพื่อทดแทนคุณแผ่นดินกันเถอะครับ อย่าให้เสียชาติเกิด ที่ได้เกิดเป็นคนไทย