ASTVผู้จัดการรายวัน - หุ้นราคาแพง บลจ.ทิสโก้ แนะปรับพอร์ต ทยอยขายทำกำไรที่ระดับดัชนี 1,150 จุด ก่อนย้ายลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา จีน ที่มีโอกาสรับผลตอบแทนสูงกว่า พร้อมชูทางเลือก 2 กองเด่น "ทิสโก้ ยูเอส อิควิตี้ ฟันด์และทิสโก้ ไชน่า H-share อิควิตี้"
นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและที่ปรึกษาการลงทุนธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า จากภาวะดัชนีหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่มีปริมาณการซื้อขายที่หนาแน่นติดต่อกันหลายวัน จนทำให้ดัชนีหุ้นล่าสุดได้มีการปรับตัวทะลุ 1,100 จุด และย่างเข้าสู่ระดับ 1,150 จุด ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้กับเป้าหมาย 1,200 จุด ที่ประเมินไว้ตั้งแต่ต้นปีแล้วนั้น บลจ.ทิสโก้แนะนำว่าผู้ลงทุนควรพิจารณาปรับสัดส่วนการลงทุนโดยทยอยขายทำกำไรหุ้นไทยลง และเพิ่มสัดส่วนการลงทุนไปลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาและจีนแทน
“การปรับตัวขึ้นของดัชนีตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีมาจนถึงปัจจุบันเป็นไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งการที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมายืนอยู่ในระดับนี้ทำให้หุ้นไทยถือว่ามีราคาที่ค่อนข้างแพงแล้ว เพราะหากประเมิน PE ตลาดเฉลี่ยน่าจะอยู่ที่ประมาณ 14 เท่า ซึ่งถือว่าเป็นระดับ PE ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 11 เท่า”นายสาห์รัชกล่าว
ทั้งนี้ ในส่วนของมุมมองต่อการลงทุนในสหรัฐอเมริกานั้น หากพิจารณาในเชิงเศรษฐกิจ จะพบว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีการปรับตัวดีต่อเนื่อง นักวิเคราะห์คาดการณ์ เศรษฐกิจสหรัฐฯ น่าจะโตได้ปีละกว่า 3 % ในปีนี้และปีหน้า ในขณะที่อัตราการว่างงานเริ่มปรับตัวดีขึ้นจากที่เคยอยู่ที่ 9.8% ตอนนี้ลดลงมาอยู่ประมาณ 8% แม้ว่ายังอยู่ในระดับที่สูงเมื่อเทียบกับประเทศในแถบเอเชียแต่ก็แสดงให้เห็นแนวโน้มของการฟื้นตัวของภาคแรงงงานก็น่าจะส่งผลดีต่อการบริโภคภายในประเทศของสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นกำลังสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นส่วนประกอบที่ใหญ่ที่สุด คิดเป็น 70% ของภาคเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อีกทั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากภูมิภาคเอเชีย ล้วนส่งผลดีต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ
นอกจากนี้ หากพิจารณาในเชิงของราคาหุ้น พบว่าราคาหุ้นในสหรัฐฯ ยังอยู่ในระดับที่ไม่แพงนัก โดยค่า Forward PE ของดัชนี S&P 500 ซึ่งเป็นดัชนีราคาหุ้นของบริษัทชั้นนำ 500 บริษัท ในสหรัฐฯ นั้นยังอยู่ที่ 13 เท่า ในขณะที่ค่าเฉลี่ย PE ในอดีตของ S&P 500 เคยอยู่ถึง 15 เท่า ซึ่งหากประเมินจากดัชนี S&P 500 ในปัจจุบันที่ประมาณ 1,300 กว่าจุด ดัชนี S&P 500 น่าจะมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปได้อีกถึง 1,550 ถึง 1,600 จุด ในอีก 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งเท่ากับว่ามี Upside ในการลงทุนร่วม 20% ซึ่งถือว่าเป็นอัตราผลตอบแทนการลงทุนที่น่าสนใจสำหรับกรลงทุนในตลาดหุ้นของกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว
ส่วนหุ้นจีนนั้น บลจ.ทิสโก้ มองว่าความเสี่ยงเรื่องอัตราเงินเฟ้อน่าจะถูกควบคุมได้ ภายในกลางปีนี้ และการที่ราคาหุ้นจีน โดยดูจาก HSCEI นั้นปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างช้ากว่าตลาดอื่นในรอบ 12 เดือนย้อนหลัง ทำให้ PE ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 11 เท่า ในขณะที่ PE เฉลี่ยในอดีตมากกว่า 14 เท่า ดังนั้น สำหรับหุ้นจีนแล้วหากพิจารณาในแง่ของปัจจัยพื้นฐานและราคาหุ้นที่ถูกก็ถือว่าน่าสนใจลงทุนที่สุดในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ นักวิเคราะห์ประเมิน Upside ของหุ้นจีนสูงถึงเฉลี่ยปีละ 35% ในรอบ 12 เดือน
สำหรับกองทุนเปิดของทิสโก้ ที่รองรับความต้องการลงทุนในตลาดสหรัฐฯ คือ กองทุนเปิดทิสโก้ ยูเอส อิควิตี้ ฟันด์ ซึ่งลงทุนใน ETF SPDR Trust, Series 1 ที่มีนโยบายสร้างผลตอบแทนให้ใกล้คียงกับดัชนี S&P 500 ส่วนกองทุนเปิดที่ลงทุนในตลาดหุ้นจีนคือ ทิสโก้ ไชน่า H-share อิควิตี้ เน้นลงทุนใน ETF ของ Lyxor ETF China Enterprise (HSCEI) ทั้งสองกองทุนเปิด ซื้อขายได้ทุกวันทำการ
นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและที่ปรึกษาการลงทุนธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า จากภาวะดัชนีหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่มีปริมาณการซื้อขายที่หนาแน่นติดต่อกันหลายวัน จนทำให้ดัชนีหุ้นล่าสุดได้มีการปรับตัวทะลุ 1,100 จุด และย่างเข้าสู่ระดับ 1,150 จุด ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้กับเป้าหมาย 1,200 จุด ที่ประเมินไว้ตั้งแต่ต้นปีแล้วนั้น บลจ.ทิสโก้แนะนำว่าผู้ลงทุนควรพิจารณาปรับสัดส่วนการลงทุนโดยทยอยขายทำกำไรหุ้นไทยลง และเพิ่มสัดส่วนการลงทุนไปลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาและจีนแทน
“การปรับตัวขึ้นของดัชนีตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีมาจนถึงปัจจุบันเป็นไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งการที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมายืนอยู่ในระดับนี้ทำให้หุ้นไทยถือว่ามีราคาที่ค่อนข้างแพงแล้ว เพราะหากประเมิน PE ตลาดเฉลี่ยน่าจะอยู่ที่ประมาณ 14 เท่า ซึ่งถือว่าเป็นระดับ PE ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 11 เท่า”นายสาห์รัชกล่าว
ทั้งนี้ ในส่วนของมุมมองต่อการลงทุนในสหรัฐอเมริกานั้น หากพิจารณาในเชิงเศรษฐกิจ จะพบว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีการปรับตัวดีต่อเนื่อง นักวิเคราะห์คาดการณ์ เศรษฐกิจสหรัฐฯ น่าจะโตได้ปีละกว่า 3 % ในปีนี้และปีหน้า ในขณะที่อัตราการว่างงานเริ่มปรับตัวดีขึ้นจากที่เคยอยู่ที่ 9.8% ตอนนี้ลดลงมาอยู่ประมาณ 8% แม้ว่ายังอยู่ในระดับที่สูงเมื่อเทียบกับประเทศในแถบเอเชียแต่ก็แสดงให้เห็นแนวโน้มของการฟื้นตัวของภาคแรงงงานก็น่าจะส่งผลดีต่อการบริโภคภายในประเทศของสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นกำลังสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นส่วนประกอบที่ใหญ่ที่สุด คิดเป็น 70% ของภาคเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อีกทั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากภูมิภาคเอเชีย ล้วนส่งผลดีต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ
นอกจากนี้ หากพิจารณาในเชิงของราคาหุ้น พบว่าราคาหุ้นในสหรัฐฯ ยังอยู่ในระดับที่ไม่แพงนัก โดยค่า Forward PE ของดัชนี S&P 500 ซึ่งเป็นดัชนีราคาหุ้นของบริษัทชั้นนำ 500 บริษัท ในสหรัฐฯ นั้นยังอยู่ที่ 13 เท่า ในขณะที่ค่าเฉลี่ย PE ในอดีตของ S&P 500 เคยอยู่ถึง 15 เท่า ซึ่งหากประเมินจากดัชนี S&P 500 ในปัจจุบันที่ประมาณ 1,300 กว่าจุด ดัชนี S&P 500 น่าจะมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปได้อีกถึง 1,550 ถึง 1,600 จุด ในอีก 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งเท่ากับว่ามี Upside ในการลงทุนร่วม 20% ซึ่งถือว่าเป็นอัตราผลตอบแทนการลงทุนที่น่าสนใจสำหรับกรลงทุนในตลาดหุ้นของกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว
ส่วนหุ้นจีนนั้น บลจ.ทิสโก้ มองว่าความเสี่ยงเรื่องอัตราเงินเฟ้อน่าจะถูกควบคุมได้ ภายในกลางปีนี้ และการที่ราคาหุ้นจีน โดยดูจาก HSCEI นั้นปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างช้ากว่าตลาดอื่นในรอบ 12 เดือนย้อนหลัง ทำให้ PE ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 11 เท่า ในขณะที่ PE เฉลี่ยในอดีตมากกว่า 14 เท่า ดังนั้น สำหรับหุ้นจีนแล้วหากพิจารณาในแง่ของปัจจัยพื้นฐานและราคาหุ้นที่ถูกก็ถือว่าน่าสนใจลงทุนที่สุดในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ นักวิเคราะห์ประเมิน Upside ของหุ้นจีนสูงถึงเฉลี่ยปีละ 35% ในรอบ 12 เดือน
สำหรับกองทุนเปิดของทิสโก้ ที่รองรับความต้องการลงทุนในตลาดสหรัฐฯ คือ กองทุนเปิดทิสโก้ ยูเอส อิควิตี้ ฟันด์ ซึ่งลงทุนใน ETF SPDR Trust, Series 1 ที่มีนโยบายสร้างผลตอบแทนให้ใกล้คียงกับดัชนี S&P 500 ส่วนกองทุนเปิดที่ลงทุนในตลาดหุ้นจีนคือ ทิสโก้ ไชน่า H-share อิควิตี้ เน้นลงทุนใน ETF ของ Lyxor ETF China Enterprise (HSCEI) ทั้งสองกองทุนเปิด ซื้อขายได้ทุกวันทำการ