บลจ. ทิสโก้ ประเมิน เศรษฐกิจสหรัฐฯส่งสัญญาณฟื้นตัวชัดเจน ตัวเลขการว่างงานลดลงต่อเนื่อง มองเฟดยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยภายในปีนี้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ไปต่อ ขณะเศรษฐกิจจีนยังเติบโตต่อเนื่อง หลังความกังวลด้านเงินเฟ้อในช่วงครึ่งปีหลังเริ่มผ่อนคลายลง พร้อมแนะนักลงทุนกระจายพอร์ตเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯและจีน เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทน
นายสมประวิณ มันประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจมหภาค สำนักวิจัยทิสโก้ กล่าวว่า ขณะนี้เศรษฐกิจสหรัฐฯเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนมากขึ้น หลังเกิดปัญหาวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ตั้งแต่ปี 2008 ซึ่งทางรัฐบาลได้มีการออกนโยบายต่างๆเพื่อพยายามแก้ไขปัญหามาตลอด ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าในระบบการเงิน หรือ QE ซึ่งปัจจุบันอยู่ในช่วงการใช้ QE2 ส่วนปัญหาที่มีความกังวลอยู่คือ ตัวเลขการว่างงาน และปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจากปัจจัยลบต่างๆได้ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนครั้งใหญ่เข้ามาอยู่ในภูมิภาคเอเชียแทน
โดยตั้งแต่ต้นปีนี้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯเริ่มส่งสัญญาณดีขึ้น โดยคาดว่าปีนี้จีดีพีของสหรัฐฯจะมีการขยายตัวไม่ต่ำกว่า 3% อีกทั้งตัวเลขการว่างงานลดลงมาอยู่ระดับต่ำกว่า 9% จากที่เคยแตะระดับสูงสุดที่กว่า 10% นอกจากนี้ตัวเลขการจ้างงานใหม่ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ซึ่งจากตัวเลขของการจ้างงานที่ดีขึ้นนั้นจะส่งผลให้เม็ดเงินในสหรัฐฯมีการหมุมเวียนมากขึ้น และเป็นส่วนที่ส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯฟื้นตัวได้อีกครั้ง เนื่องจากจีดีพี 70% ของสหรัฐฯมาจากการบริโภคภาคเอกชนเป็นหลัก
สำหรับประเด็นเรื่องเงินเฟ้อของสหรัฐฯนั้นถือว่าไม่ใช่ปัญหาที่น่ากังวลเพราะอยู่ในระดับที่น้อยมาก เนื่องจากการเติบโตของเศรษฐกิจหลังวิกฤตนั้นยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้นจึงเชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐฯหรือเฟค จะยังไม่ปรับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงนี้แน่นอน ส่วนภาคอสังหาฯแม้ว่าจะยังไม่มีการฟื้นตัวที่ส่งนัยสำคัญ แต่ถือว่าอยู่ระดับที่ทรงตัวดีขึ้น
ทางด้านนายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและที่ปรีกษาการลงทุน ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล และกองทุรวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวถึงเศรษฐกิจของประเทศจีนว่า ยังมีการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าทางการจะมีนโยบายชะลอความร้อนแรงทางเศรษฐกิจลงแล้วก็ตาม โดยการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 9-10% ซึ่งความกังวลหลักของจีนยังคงเป็นปัญหาเรื่องเงินเฟ้อ ที่เกิดจากราคาอาหารและสินค้าเกษตร
"ภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เป็นแรงกดดันให้ตลาดหุ้นจีนไม่ขยายตัวเท่าที่ควรจะเป็นและมีแรงเทขายออกมาค่อนข้างมาก ซึ่งเชื่อว่าจากการออกมาตรการของรัฐบาลจีน รวมถึงราคาอาหารและสินค้าเกษตรที่เริ่มปรับตัวลดลงตามฤดูกาลของผลผลิตนั้น จะเป็นตัวช่วยให้ปัญหาด้านเงินเฟ้อของจีนในช่วงครึ่งปีหลังมีความผันคลายมากขึ้น" นายสาห์รัช กล่าว
นอกจากนี้ด้วยปัจจัยต่างๆที่จะมีผลต่อเศรษฐกิจจีนนั้นได้มีการรับรู้และสะท้อนตลาดไปจนหมดแล้ว ทำให้นักลงทุนได้เริ่มคลายความกังวลลงไปมาก โดยจะเห็นได้จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งล่าสุดของจีน ที่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อดัชนีตลาดหุ้นของจีนมากนัก
นายสาห์รัช กล่าวต่อว่า การเติบโตของภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯและจีน ถือว่ามีความโดดเด่นมาก และเหมาะที่นักลงทุนจะเลือกเป็นการเพิ่มโอกาสในการลงทุน โดยฝั่งของสหรัฐฯเองนอกจากตัวเลขการว่างงานที่ดีขึ้นแล้ว ในส่วนของบริษัทต่างๆก็มีผลการดำเนินงานที่ดี มีการเติบโตรวมแล้วยังสูงว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ เนื่องจากหลายบริษัทเป็นบริษัทที่มีธุรกิจอยู่ทั่วโลก ทำให้รายได้ของบริษัทเหล่านี้เติบโต อาทิ บริษัท Top 20 ใน S&P 500 เช่น Apple และ Microsoft เป็นต้น
ขณะเดียวกัน PE ของหุ้นสหรัฐฯนั้นถือว่าอยู่ในระดับไม่แพงหากย้อนหลังไป 5 ปี จะอยู่ที่ 14.7 เท่าส่วนปัจจุบันอยู่ที่ 13.5 เท่า จึงนับได้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯเป็นอีกตลาดที่น่าสนใจ ขณะที่ PE ของหุ้นจีนที่จดทะเบียนที่ฮ่องกงในปีนี้อยู่ที่ประมาณ 10-11 เท่า ซึ่งถือว่าน่าสนใจมาก และเชื่อว่า PE จีนจะปรับตัวสูงขึ้นไปสู่ระดับปกติที่ไม่ต่ำกว่า 13 เท่า ดังนั้นเรามองว่า Upside อยู่ที่ประมาณ 20-30% ทำให้การลงทุนในหุ้นจีนถือเป็นทางเลือหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน
นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส กรรมการผู้จัดการ บลจ. ทิสโก้ จำกัด กล่าวเสริมว่า ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกปีนี้ ถือว่ามีสัญญาณการขยายตัวที่ดีต่อเนื่อง โดยแรงขับเคลื่อนหลังยังคงมาจากฝั่งภูมภาคเอเชีย ซึ่งนำโดยประเทศจีน ในขณะที่เศรษฐกิจกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่น่าจับตามองที่สุด คือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีการปรับตัวดีขึ้น และเริ่มเป็นที่สนใจของนักลงทุนอีกครั้ง หลังผ่านวิกฤตด้านการเงินครั้งใหญ่มาแล้ว
โดยทั้งสองประเทศจะเป็นแรงหนุนช่วยให้เศรษฐกิจโลกมีการขยายตัวในอัตราที่ดีขึ้น ซึ่งนักลงทุนน่าจะมีการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนของทั้งสองประเทศนี้ เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสในการรับผลตอบแทนและเป็นการช่วยกระจายความเสี่ยงในการลงทุนอีกด้วย
ทั้งนี้บลจ.ทิสโก้มีกองทุนที่เข้าไปลงทุนในหุ้นของสหรัฐฯคือ กองทุนเปิด ทิสโก้ ยูเอส อิควิตี้ ฟันด์ ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนใน SPDR Trust Series1 ที่จดทะเบียนซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหุ้นนิวยอร์ก ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นชั้นนำสหรัฐฯเพื่อสร้างผลตอบแทนของกองทุนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี S&P 500 มากที่สุด นอกจากนี้เรายังมีกองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า H-shares อิควิตี้ โดยจะลงทุนในบริษัทชั้นนำของประเทศจีนจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกง ซึ่งจะลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Lyxor ETF chaina Enterpries (HSCEI) อีกด้วย