xs
xsm
sm
md
lg

“ทิสโก้” มองตลาดหุ้นไทยใกล้เป้าหมาย 1,200 จุด ระดับราคาเริ่มแพงแล้ว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ทิสโก้” มองตลาดหุ้นไทยใกล้เป้าหมาย 1,200 จุด เผย ระดับราคาหุ้นมาอยู่ในจุดที่แพงแล้ว PE ตลาดที่ระดับ 14 เท่าสูงกว่าในอดีต แนะขายทำกำไร-โยกพอร์ตลงทุน ลุยตลาดหุ้น สหรัฐฯ-จีน

นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและที่ปรึกษาการลงทุนธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ จำกัด เผยว่า จากภาวะดัชนีหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่มีปริมาณการซื้อขายที่หนาแน่นติดต่อกันหลายวัน จนทำให้ดัชนีหุ้นล่าสุดได้มีการปรับตัวทะลุ 1,100 จุด และย่างเข้าสู่ระดับ 1,150 จุด ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้กับเป้าหมาย 1,200 จุด ที่ประเมินไว้ตั้งแต่ต้นปีแล้วนั้น บลจ.ทิสโก้ แนะนำว่าผู้ลงทุนควรพิจารณาปรับสัดส่วนการลงทุนโดยทยอยขายทำกำไรหุ้นไทยลง และเพิ่มสัดส่วนการลงทุนไปลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาและจีนแทน

“การปรับตัวขึ้นของดัชนีตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีมาจนถึงปัจจุบันเป็นไปอย่างรวดเร็ว และจริงอยู่ว่าเรามีมุมมองที่เป็นบวกต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย และคาดว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดน่าจะมีกำไรต่อเนื่อง แต่การที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมายืนอยู่ในระดับนี้ทำให้หุ้นไทยถือว่ามีราคาที่ค่อนข้างแพงแล้ว เพราะหากประเมิน PE ตลาดเฉลี่ยน่าจะอยู่ที่ประมาณ 14 เท่า ซึ่งถือว่าเป็นระดับ PE ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 11 เท่า”

สำหรับมุมมองต่อการลงทุนในสหรัฐอเมริกาที่มีความน่าสนใจนั้น หากพิจารณาในเชิงเศรษฐกิจ จะพบว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีการปรับตัวดีต่อเนื่อง นักวิเคราะห์คาดการณ์ เศรษฐกิจสหรัฐฯ น่าจะโตได้ปีละกว่า 3% ในปีนี้และปีหน้า ในขณะที่อัตราการว่างงานเริ่มปรับตัวดีขึ้นจากที่เคยอยู่ที่ 9.8% ตอนนี้ลดลงมาอยู่ประมาณ 8% แม้ว่ายังอยู่ในระดับที่สูงเมื่อเทียบกับประเทศในแถบเอเชีย แต่ก็แสดงให้เห็นแนวโน้มของการฟื้นตัวของภาคแรงงงานก็น่าจะส่งผลดีต่อการบริโภคภายในประเทศของสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นกำลังสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นส่วนประกอบที่ใหญ่ที่สุด คิดเป็น 70% ของภาคเศรษฐกิจของสหรัฐฯ

ทั้งนี้ การขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากภูมิภาคเอเชีย ล้วนส่งผลดีต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ เนื่องจากส่วนใหญ่บริษัทเหล่านี้เป็นบริษัทข้ามชาติที่มีรายได้จากการค้าต่างประเทศในสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากในไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ที่ผลกำไรของบริษัทในสหรัฐฯ ดีกว่าที่นักลงทุนคาดไว้ค่อนข้างมาก

นอกจากนี้ หากพิจารณาในเชิงของราคาหุ้น พบว่า ราคาหุ้นในสหรัฐฯ ยังอยู่ในระดับที่ไม่แพงนัก โดยค่า Forward PE ของดัชนี S&P 500 ซึ่งเป็นดัชนีราคาหุ้นของบริษัทชั้นนำ 500 บริษัท ในสหรัฐฯ นั้นยังอยู่ที่ 13 เท่า ในขณะที่ค่าเฉลี่ย PE ในอดีตของ S&P 500 เคยอยู่ถึง 15 เท่า ซึ่งหากประเมินจากดัชนี S&P 500 ในปัจจุบันที่ประมาณ 1,300 กว่าจุด ดัชนี S&P 500 น่าจะมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปได้อีกถึง 1,550 ถึง 1,600 จุด ในอีก 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งเท่ากับว่ามี Upside ในการลงทุนร่วม 20% ซึ่งถือว่าเป็นอัตราผลตอบแทนการลงทุนที่น่าสนใจสำหรับกรลงทุนในตลาดหุ้นของกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว

ส่วนหุ้นจีนนั้น บลจ.ทิสโก้ มองว่า ความเสี่ยงเรื่องอัตราเงินเฟ้อน่าจะถูกควบคุมได้ ภายในกลางปีนี้ และการที่ราคาหุ้นจีน โดยดูจาก HSCEI นั้น ปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างช้ากว่าตลาดอื่นในรอบ 12 เดือนย้อนหลัง ทำให้ PE ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 11 เท่า ในขณะที่ PE เฉลี่ยในอดีตมากกว่า 14 เท่า ดังนั้น สำหรับหุ้นจีนแล้วหากพิจารณาในแง่ของปัจจัยพื้นฐานและราคาหุ้นที่ถูกก็ถือว่าน่าสนใจลงทุนที่สุดในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ นักวิเคราะห์ประเมิน Upside ของหุ้นจีนสูงถึงเฉลี่ยปีละ 35% ในรอบ 12 เดือน
กำลังโหลดความคิดเห็น