ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ไม่ว่าจะชักแม่น้ำทั้ง 5 หรือแม่น้ำทั้ง 10 ก็ไม่มีใครเชื่อว่า การร่อนจดหมายลาออกจากตำแหน่งสมาชิกพรรคเพื่อไทยของ “บิ๊กจิ๋ว-พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” และการประกาศไม่ร่วมสังฆกรรมกับพรรคเพื่อไทยของ “นายเสนาะ เทียนทอง” ด้วยข้ออ้างเรื่องความไม่สบายใจที่นายจตุพร พรหมพันธุ์และแกนนำม็อบแดงปราศรัยจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ คือเหตุผลที่แท้จริงของผู้เฒ่าทั้งสองคน
หากแต่ทั้งสองคนอาศัยจังหวะปากปีจอของนายจตุพร พรหมพันธุ์เป็นเหตุในการโบกมือลาเท่านั้น
ทั้งนี้ เนื่องเพราะมูลเหตุที่แท้จริงของ 2 ผู้เฒ่าเขี้ยวเหลืองน่าจะเป็นผลมาจาก “ผลประโยชน์” ที่ไม่ลงตัวจาก “นช.ทักษิณ ชินวัตร” มากกว่า
เพราะในความเป็นจริงแล้ว ทั้งสองคนย่อมรู้อยู่แก่ใจถึงเป้าประสงค์ที่แท้จริงของ นช.ทักษิณเกี่ยวกับสถาบันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ขบวนการเคลื่อนไหวภายใต้การบงการของ นช.ทักษิณ รวมทั้งตัว นช.ทักษิณเองพูดจาในลักษณะนี้
หากแต่ดำรงอยู่มาโดยตลอดนับตั้งแต่ พ.ต.ท.ทักษิณยังคงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ทว่า ทั้งสองคนก็มิได้ใส่ใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวพล.อ.ชวลิตเองก็มีหลายต่อหลายครั้งที่มีคำพูดหมิ่นเหม่ต่อการจาบจ้วงสถาบัน
ดังเช่นในช่วงก่อนที่ม็อบแดงจะออกมาชุมนุมเผาบ้านเผาเมือง พล.อ.ชวลิตในฐานะประธานพรรคเพื่อไทยก็เคยออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวด้วยการประกาศเจตจำนงที่จะขอเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อยุติปัญหาอันเกิดการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง
ในครั้งนั้น “อ.อนันต์ เหล่าเลิศวรกุล” แห่งคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถอดรหัสคำพูดของ พล.อ.ชวลิตว่า “ถ้าไม่มีพระมหากรุณาธิคุณดังกล่าว จริงๆ แล้วคำพูดนี้ไม่สมควรที่จะพูดเป็นอย่างยิ่ง ถ้าไม่มีพระมหากรุณาธิคุณดังกล่าว คือคนไทยทุกคนทราบดีว่า พระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น ล้นเกล้าล้นกระหม่อมอย่างหาที่สุดมิได้ การพูดลักษณะแบบนี้เป็นเหมือนการตีปลาหน้าไซ เหมือนกับตีปลาหน้าไซว่าขออะไรใดใดไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจำเป็นที่จะต้องโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้ตามที่ขอ ไม่เช่นนั้นก็เรียกได้ว่า พระองค์นั้นไม่มีพระมหากรุณาธิคุณ ซึ่งผมคิดว่าไม่เหมาะสม”
ดังนั้น กับอีแค่การพูดจาของนายจตุพร พรหมพันธุ์ นายวิเชียร ขาวขำ และนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ จึงไม่น่าจะใช่เหตุผลในการตัดสินใจทั้งหมด
หากแต่เป็นการอาศัยจังหวะของสถานการณ์ที่พรรคเพื่อไทยและม็อบเสื้อแดงเพลี่ยงพล้ำจากกระแสสังคมในเรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ประกาศทิ้งพรรคเพื่อสร้างราคาให้กับตัวเองเสียมากกว่า
จริงอยู่กล่าวสำหรับนายเสนาะแม้จะมีการให้สัมภาษณ์ชัดเจนว่า “ พูดกันตรงๆ วันนี้ขออยู่เฉยๆ ตราบใดถ้ายังไม่ลดละในเรื่องของสถาบันและยังไม่เกิดความปรองดองของคนในชาติในแผ่นดินและขัดนโยบายของผมคือ ต้องการให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า ดังนั้น จึงอยากอยู่เฉยๆ เพราะหันไปทางไหนไม่ว่าจะซ้ายก็ไม่ไหว หันไปขวาก็ไม่ไหว อย่างนี้บ้านเมืองมันแย่....” แต่หากย้อนกลับไปไม่กี่วันก่อนที่ทั้งสองคนจะตัดสินใจทางการเมืองเช่นนี้ ก็จะพบเงื่อนงำที่สำคัญอันเป็นรอยร้าวของ “รักสามเศร้าเราสามคน” ได้เป็นอย่างดี
ปมเหตุของเรื่องดังกล่าวมาจากการที่ นช.ทักษิณ ตัดสินใจให้ “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” น้องสาวในไส้ลงสมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 และเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ซึ่งทั้ง พล.อ.ชวลิตและนายเสนาะต่างคัดค้านโดยให้เหตุผลว่า จะไม่สามารถปรองดองกับอำนาจเก่าได้
นั่นคือเหตุผลที่หนึ่ง
ปมเหตุประการถัดมาน่าจะเป็นดังที่มีกระแสข่าวออกมาว่า เกิดความขัดแย้งและไม่ลงรอยทางความคิด เนื่องจากทั้งสองผู้เฒ่าเห็นว่า การที่ นช.ทักษิณกระโดดออกหน้ามาบัญชาการทัพด้วยตัวเองสุ่มเสี่ยงเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้อนาคตของพรรคเพื่อไทยมืดมน และมีสิทธิถึงขั้นยุบพรรคได้ในท้ายที่สุด เมื่อประกอบกับการที่ นช.ทักษิณเล่นบทตีสองหน้า ปล่อยให้ “ม็อบแดง” โดยนายจตุพร พรหมพันธุ์เล่มเกมท้าชนสถาบันอย่างตรงไปตรงมาก็ยิ่งทำให้พรรคเพื่อไทยแขวนอยู่บนปากเหวหนักเข้าไปอีก
เพราะไม่ใช่แค่ ขงเบ้งแห่งกองทัพอย่างพล.อ.ชวลิตจะรู้เท่านั้น หากแต่ในวันเดียวกันกับที่ พล.อ.ชวลิตยื่นหนังสือลาออกจากสมาชิกพรรคเพื่อไทย กรรมการบริหารพรรคหลายต่อหลายคนก็ตัดสินใจไขก๊อกลาออกจากตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคด้วย ไม่ว่าจะเป็นนายประยุทธ์ ศิริพานิช นายสุพล ฟองงาม เลขาธิการพรรค นายชวลิต วิชยสุทธิ์ รองเลขาธิการพรรค พล.ท.มะ โพธิ์งาม นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัยและนายกิตติศักดิ์ หัตถุสงเคราะห์ รวมถึงพล.ท.จิรเดช คชรัตน์ อดีตแม่ทัพภาค 3 ก็ได้ยื่นใบลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคแล้วเช่นเดียวกัน
นั่นคือเหตุผลที่สอง
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากทั้งสองเหตุผลแล้ว อีกประเด็นหนึ่งที่น่าจะมีความสำคัญไม่แพ้กันก็คือ ความไม่สมหวังในการจัดวางตำแหน่งที่เหมาะสมให้กับ พล.อ.ชวลิตและนายเสนาะมากกว่า เนื่องจากแม้จะใกล้กำหนดวันยุบสภาและเดินหน้าสู่โหมดการเลือกตั้ง นช.ทักษิณกลับยังแทงกั๊กการจัดวางโครงสร้างอำนาจ “ทายาทอสูร” ทำให้สองผู้เฒ่าเขี้ยวเหลืองไม่มีความมั่นใจในอนาคตของตนเอง เพราะไม่รู้ว่าจะถูกเล่นบท “ตบหัวแล้วลูบหลัง” เหมือนกรณี “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” หรือไม่
เพราะทั้งสองคนก็เรียกได้ว่า เป็นหนึ่งในตองอูเช่นกัน
กล่าวสำหรับ พล.อ.ชวลิตนั้นก็เคยเป็นถึงอดีตนายกรัฐมนตรี มีสมัครพรรคพวก กำลังพลและกระสุนดินดำอยู่ในมือมิใช่น้อย ขณะที่นายเสนาะก็ได้ชื่อว่าเป็น “นักปั้นมือทอง” ที่ผลักดันให้ นช.ทักษิณก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยซ้ำไป ซึ่งทั้งสองคนก็หมายมั่นปั้นมือว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ที่น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายของทั้งสองคน ควรจะได้รับผลตอบแทนกลับมาในระดับที่สมน้ำสมเนื้อ
แต่การณ์กลับกลายเป็นว่า สถานการณ์ไม่ได้เป็นอย่างที่คุยกันไว้
รายงานข่าวจากคนใกล้ชิด พล.อ.ชวลิตระบุว่า เบื้องหลังของการตัดสินใจลาออกของพล.อ.ชวลิตในครั้งนี้เป็นผลมาจากการที่นายใหญ่เทใจให้กับม็อบแดงมากเป็นพิเศษ โดยให้อำนาจแกนนำเสื้อแดงในการจัดสรรผู้สมัครแบบไม่จำกัดภาค จนทำให้ผู้เฒ่าที่หมายมั่นปั้นมือว่าจะเป็นใหญ่ไม่พอใจ เพราะนายใหญ่ไม่เห็นหัว
และผู้ที่ยืนยันถึงความไม่ลงรอยดังกล่าวได้เป็นอย่างดีเห็นจะเป็น “พล.ต.ศรชัย มนตริวัต” ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นคนสนิทของ พล.อ.ชวลิตที่ให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้าร่วมประชุมใหญ่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยว่า “ ได้คุยกับพล.อ.ชวลิตเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา พล.อ.ชวลิตบอกว่า รู้สึกอึดอัดใจและกดดันมากในการอยู่กับพรรคเพื่อไทย เพราะหลายอย่างคุยกันแล้วไม่เป็นอย่างที่คิด”
การคุยกันแล้วไม่เป็นอย่างที่คิดตามคำกล่าวของ พล.ต.ศรชัยนั้น เกิดขึ้นมาเป็นระยะๆ และมาถึงจุดสูงสุดในหนึ่งถึงสองวันก่อนที่ พล.อ.ชวลิตจะยื่นหนังสือลาออกจากพรรคเพื่อไทย โดยแหล่งข่าวยืนยันว่า เริ่มต้นเจรจาต่อรองผลประโยชน์กันตั้งแต่ช่วงเช้าเรื่อยมาจนถึงเวลาประมาณ 15.30 น.ก่อนการประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทยในวันที่ 18 เมษายน และเมื่อตกลงผลประโยชน์กันไม่ได้ พล.อ.ชวลิตก็อาศัยจังหวะสถานการณ์เรื่องขบวนการล้มเจ้าสร้างความดีใส่ตัวประกาศทิ้งพรรคเพื่อไทยในทันที แถมยังหวังว่าจะลบข้อครหาในเรื่องสภาเปรซิเดียมและเรื่องสถาบันให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดไปในคราเดียว
แน่นอน งานนี้แม้หลายคนอาจจะมองว่า พล.อ.ชวลิตจะชิ่งหนีพรรคเพื่อไทยและ นช.ทักษิณ แต่ในอีกทางหนึ่งก็มิอาจมองว่า งานนี้ พล.อ.ชวลิตถูกถีบหัวส่งจาก นช.ทักษิณเสียมากกว่า เนื่องเพราะ นช.ทักษิณเล็งเห็นว่า พรรคเพื่อไทยจะมี พล.อ.ชวลิตหรือไม่ ก็ไม่ได้ช่วยทำให้สถานการณ์ดีขึ้นแต่อย่างใด
ดังเช่นที่นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายของ นช.ทักษิณกล่าวว่า “ขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณทราบแล้วว่า พล.อ.ชวลิตลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค โดยเคารพในการตัดสินใจของ พล.อ.ชวลิต” ซึ่งแปลไทยเป็นไทยได้ว่า นช.ทักษิณทราบเรื่องที่พล.อ.ชวลิตลาออกแล้ว แต่ก็ไม่ได้เหนี่ยวรั้งเอาไว้
หรือแปลไทยเป็นไทยได้อีกทีว่า นช.ทักษิณมิได้ยี่หระต่อการลาออกของ พล.อ.ชวลิตเลยแม้แต่น้อย เพราะนายใหญ่ของคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยย่อมรู้ดีแก่ใจถึงเบื้องหลังการเข้ามาร่วมงานทางการเมืองกับพรรคเพื่อไทยว่า พล.อ.ชวลิตมีเป้าประสงค์อะไร
และผู้ที่สรุปเบื้องหลังการลาออกของ พล.อ.ชวลิตได้ดีที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้น “นายก่อแก้ว พิกุลทอง แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่สรุปว่า “เหตุพล.อ.ชวลิตลาออกนั้น คงเป็นเรื่องบังเอิญที่มาลาออกตอนนี้ แต่สาเหตุที่แท้จริงก็น่าจะเป็นเรื่องตำแหน่งนายกฯที่ พล.อ.ชวลิตหวังไว้ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณมีทีท่าชัดเจนที่จะสนับสนุนคนใกล้ตัว จึงเข้าข่ายคนแก่อกหักมากกว่า"
เฉกเช่นเดียวกับนายเสนาะที่ นช.ทักษิณก็เล็งเห็นเช่นกันว่า พรรคเพื่อไทยจะมีนายเสนาะหรือไม่มี ก็ไม่ได้ช่วยทำให้สถานการณ์ดีขึ้น เพราะเพลานี้กำลังพลของคนเสื้อแดงพร้อมแล้วที่จะเทคะแนนให้กับพรรคเพื่อไทยจนสามารถกำชัยชนะในการเลือกตั้งเอาไว้ได้
แถมการดำรงอยู่ของทั้งสองคนก็ยังทำให้เกิดความวุ่นวายในพรรคที่แตกแยกเป็นก๊กเป็นเหล่า เป็นมุ้ง ไหนจะ “เงินทอง” ที่จะต้องควักกระเป๋าจ่ายให้อีกต่างหาก
ถามว่า ทั้ง พล.อ.ชวลิตและนายเสนาะเมื่อทิ้งพรรคเพื่อไทยแล้วจะเบนเข็มชีวิตการเมืองไปในทางไหน
คำตอบในเรื่องนี้มีหลายทางด้วยกัน แต่หนทางที่เป็นไปได้มากที่สุดน่าจะเป็นการจับมือกับ “ก๊วนของนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์” ตั้งพรรคใหม่ หลังถูก พ.ต.ท.ทักษิณเตะตัดขาเบรกหัวทิ่มหลังเสนอตัวเป็นแคนดิเดตหัวหน้าพรรคเพื่อไทยและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เพราะเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณตัดสินใจเลือกน้องสาวในไส้อย่าง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”
ยิ่งเมื่อนำจิ๊กซอว์กรณีหลังจากที่เดอะคางคกยิงหมัดตรงเข้าใส่สถาบันแล้ว ก๊วนนายมิ่งขวัญพากันยกโขยงไปขอคำปรึกษาหารือกับนายเสนาะด้วยแล้ว ก็ยิ่งเป็นที่ชัดเจนถึงสายสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองคนเป็นอย่างดีว่า น่าจะมีการแตะมือทางการเมืองล่วงหน้าเป็นการภายในในระดับหนึ่งมาแล้ว
ประกอบกับเมื่อนายมิ่งขวัญเป็นหมาหัวเน่าถูก “นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล” ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ในฐานะคนใกล้ชิดนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ขับไล่ใสส่งด้วยคำพูดที่ว่า “พ.ต.ท.ทักษิณพูดชัดเจนหลังยุบสภาจะประกาศ ถ้าใครในพรรคฟังท่านแล้วไม่เข้าใจ รู้สึกต้องการให้ประกาศเร็วและทนไม่ไหว คับที่อยู่ได้คับใจอยู่ยาก ก็ขอให้ไปตั้งพรรคใหม่เสีย” ก็ยิ่งทำให้เงื่อนไขในการตัดสินใจตกผลึกมากยิ่งขึ้น
เพราะนายสุรพงษ์ไม่เพียงแค่ไล่เท่านั้นยังเหยียดหยามตามหลังด้วยว่า “อยากถาม ส.ส.40 คนที่จะออกจากพรรคว่า กล้าออกจากพรรคหรือไม่ สุดท้ายก็ไม่กล้า เพราะออกไปก็สอบตก เชื่อเถอะ ส.ส.ที่ออกมาเคลื่อนไหวไม่มีอะไร เป็นเกมการเมืองที่อ่อนมาก เขาวางไว้แล้ว ลึกๆ กะขึ้นเป็นนายกฯ และให้คนของเขาเป็นรัฐมนตรี แต่ต้องรู้ว่า พรรคนี้เป็นของใคร รู้อยู่แล้วว่า ใครเหมาะสม ซึ่งคนๆ นั้นคือคนที่เป็นตัวแทน ส.ส.และคนเสื้อแดงไปรดน้ำดำหัวท่านทักษิณที่มีการวิดิโอลิงก์มายังจังหวัดเชียงใหม่”
พล.อ.ชวลิต นายเสนาะจะมีความกล้าเพียงพอที่จะแยกทางจาก นช.ทักษิณตามที่นายสุรพงษ์ขับไล่หรือไม่
เช่นเดียวกับนายมิ่งขวัญที่ว่ากันว่ามีกระสุนดินดำปริศนาสนับสนุนกว่า 5,000 ล้านบาทจะกล้าพอที่จะประกาศเอกราชหรือไม่