xs
xsm
sm
md
lg

นักค้าอำนาจทีมีวุฒิภาวะแบบเด็กเกเร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ปัญญาพลวัตร”
โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต

มนุษย์จำนวนไม่น้อยที่ใช้ผลของการกระทำในอดีตมาเป็นเกณฑ์ในการวินิจฉัยปัญหาและลงมือปฏิบัติในปัจจุบัน เมื่อมนุษย์คิดและกระทำสิ่งใดหลายครั้งหลายหน ก็เกิดเป็นความเคยชิน และมีแนวโน้มใช้แบบแผนความคิดและการปฏิบัติตามที่เคยใช้มาต่อไปอย่างสม่ำเสมอ

แบบแผนความคิดและการกระทำแบบเดิมของมนุษย์หลายเรื่องเป็นสิ่งที่เหมาะสม ใช้แล้วได้ผลในทางที่ทำให้สังคมมีเสถียรภาพ มีความสงบสุข มีความรุ่งเรือง และส่งเสริมการพัฒนาภูมิปัญญาของผู้คน แต่ก็มีแบบแผนความคิดและการกระทำแบบเดิมหลายประการที่เป็นปัญหาและนำพาสังคมไปสู่ความเสื่อมถอย เช่น การทุจริตซื้อขายเสียง การทุจริตในการบริหารราชการ การบริโภคนิยม การหาเสียงแบบประชานิยม เป็นต้น

โศกนาฏกรรมอย่างหนึ่งของมนุษย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมไทยคือ มีผู้คนจำนวนมากทั้งที่ทราบว่าความคิดและการกระทำบางอย่างเป็นปัญหาสร้างความไม่เป็นธรรม ทำลายชีวิตของผู้คน และคุณภาพสังคม รวมไปถึงการสร้างความขัดแย้งทางสังคมอย่างรุนแรง แต่ก็ยังคงดำเนินการปฏิบัติโดยใช้แบบแผนนั้นอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว

กรณีการทุจริตซื้อขายเสียง ผมคิดว่าคนที่มีสามัญสำนึกปกติทั่วไปย่อมทราบว่าเป็นการกระทำที่สร้างปัญหาแก่สังคมไทยอย่างเหลือคณานับ แต่ในการเลือกตั้งของประเทศไทยทุกครั้งก็ยังมีการทุจริตซื้อขายเสียงปรากฏให้เห็น ราวกับว่าการซื้อขายเสียงเป็นเรื่องธรรมชาติของการเลือกตั้ง ทั้งที่เรื่องนี้เป็นการก่อเกิดกำเนิดขึ้นมาโดยมนุษย์ธรรมดาที่เป็นนักเลือกตั้งผู้เป็นนายหน้าค้าอำนาจทั้งหลายเท่านั้นเอง

นักค้าอำนาจใช้ความไม่ประสีประสาในเรื่องอำนาจอธิปไตยของประชาชน การไม่ตระหนักรู้ในความสำคัญของสิทธิทางการเมือง ความยากจน ความอยากได้ผลประโยชน์เฉพาะหน้าอย่างง่ายๆโดยไม่ต้องลงมือลงแรงในการทำงานให้เหนื่อยยาก ความเกรงอกเกรงใจ และความสิ้นหวังของประชาชนที่มีต่อการเมือง เป็นเงื่อนไขในการสร้างการทุจริตซื้อขายเสียงและหล่อเลี้ยงให้ระบบนี้คงอยู่อย่างยาวนาน จนกลายเป็นแบบแผนว่า “เมื่อไรที่มีการเลือกตั้ง เมื่อนั้นต้องมีการซื้อขายเสียง”

การเลือกตั้งกับการซื้อขายเสียงจึงกลายเป็นปรากฎการณ์ที่มีความสัมพันธ์กันอย่างไม่อาจแยกออกจากกันได้ ปรากฎการณ์นี้หาใช่ดำรงอยู่แต่ในเฉพาะอาณาบริเวณของการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแต่ประการใด แต่กลับแพร่ขยายออกไปในทั่วทุกวงการที่มีการเลือกตั้ง เช่น การเลือกตั้งอธิการบดีของมหาวิทยาลัยบางแห่ง การเลือกตั้งในสมาคมวิชาชีพบางสมาคม และการเลือกตั้งคณะกรรมการของศาสนาบางศาสนา เป็นต้น

การแพร่ขยายของการซื้อขายเสียงไปสู่วงการต่างๆ ทั้งที่บริบทของวงการนั้นแตกต่างจากชาวบ้านทั่วไป ย่อมเป็นสิ่งบ่งชี้ถึงพลังอำนาจของการซื้อขายเสียงได้เป็นอย่างดีว่ามีมากมายเพียงใด และย่อมเป็นสิ่งที่ตอกย้ำให้เห็นว่าบริบทของสังคมไทยนั้นเอื้ออำนวยต่อการซื้อขายเสียงในแทบทุกระดับ

เงื่อนไขร่วมที่ทำให้โรคซื้อเสียงแพร่ระบาดมีสี่ประการคือ 1)ผู้แพร่เชื้อหรือผู้ค้าอำนาจ มีอยู่ในทุกวงการ ผู้ค้าอำนาจแต่ละคนทราบเป็นอย่างดีว่าเมื่อได้อำนาจมาจะสามารถใช้อำนาจหน้าที่สร้างความมั่งคั่ง อิทธิพล และสิทธิประโยชน์ได้มากเพียงใด พวกเขาจึงมีความปรารถนาอย่างรุนแรงในการซื้ออำนาจมาครอบครอง นักค้าอำนาจไม่เคยสนใจเรื่องสิทธิ เสรีภาพ หรือหลักประชาธิปไตยใดๆ ไม่เคยสนใจด้วยซ้ำว่าประชาชนต้องการอะไร พวกเขาดูถูกประชาชนผู้เลือกตั้งที่พวกเขาซื้อได้ทุกคน ประชาชนจึงมีความหมายเท่ากับ “วัตถุสิ่งของที่ซื้อมาแล้ว ทำให้พวกเขามีอำนาจขึ้นมา” สิ่งนี้คือความคิดเบื้องลึกที่อยู่ภายในจิตใต้สำนึกของนักค้าอำนาจซึ่งสะท้อนออกมาจากการแสดงพฤติกรรมที่เป็นแบบ “เด็กเกเรที่ไร้วุฒิภาวะ” ของพวกเขานั่นเอง

2) ความอ่อนแอของผู้ถืออำนาจอธิปไตย ประชาชนทุกคนเป็นผู้ถืออำนาจอธิปไตย บางคนก็ตระหนักรู้ความสำคัญของอำนาจนี้จึงไม่ยอมขายแม้ผู้ค้าอำนาจจะเสนอมาเท่าไรก็ตาม แต่บางคนขาดความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของอำนาจที่ตนเองครอบครองอยู่ ผนวกกับความอยากได้ผลประโยชน์อย่างง่ายๆโดยไม่ต้องลงแรง จึงขายมันไปด้วยราคาถูกๆ เพียงไม่กี่ร้อยบาท เมื่อไรก็ตามที่ผู้ถืออำนาจอธิปไตยอ่อนแอเมื่อนั้นโรคซื้อเสียงก็จะเข้าสู่โจมทำร้ายทันที การทำให้ผู้ถืออำนาจอธิปไตยมีความเข้มแข็งโดยการสร้างความตระหนักรู้และการยึดมั่นในผลประโยชน์ของประเทศชาติ จึงเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันไม่ให้โรคซื้อเสียงเข้ามาทำลายได้

3) บริบทสังคม สังคมไทยมีความเกรงอกเกรงใจ ให้ความสำคัญกับผู้ที่เป็นพรรคพวก มากกว่าหลักการที่ใช้เป็นกติกาของสังคม ผนวกกับความรู้สึกร่วมที่ว่าใครก็ขายเสียงกันเป็นเรื่องปกติ แล้วเราจะเป็นคนขวางโลกอยู่ทำไม ผสมโรงขายมันไปด้วยจะดีกว่า ด้วยการมีบริบทเช่นนี้จึงเอื้อให้โรคซื้อขายเสียงแพร่ระบาดออกไปอย่างรวดเร็วและครอบคลุมไปทั่วทุกปริมณฑลของสังคม ยกเว้นในบางชุมชนที่มีบริบทของสังคมต่างออกไปโดยชุมชนมีความเข้มแข็ง ตระหนักว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด ชุมชนแบบนี้โรคซื้อเสียงไม่อาจเข้าไปได้

4) ความไร้น้ำยาขององค์การที่จัดการ ดูแล และตรวจสอบการเลือกตั้ง องค์การที่ดูแลการเลือกตั้งหรือคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต. ) เป็นเสมือนหมอผู้รักษาโรคซื้อขายเสียงและโรคทุจริตเลือกตั้งอื่นๆ แต่ กกต. กลับขาดองค์ความรู้อย่างเพียงพอเกี่ยวกับปรากฎการณ์ของการทุจริตเลือกตั้ง จึงทำให้การวินิจฉัยโรคผิดพลาด ป้องกันก็ไม่ได้ผล รักษาก็ไม่เป็น ปล่อยให้โรคนี้ระบาดและบ่อนทำลายสังคมไทยอย่างยืดเยื้อไม่มีท่าทีว่าจะสามารถหยุดได้แม้แต่น้อย

หากสังคมไทยยังยอมรับการซื้อขายเสียง หรือละเลยไม่ใส่ใจในการแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง เราก็ย่อมคาดหวังอะไรไม่ได้กับการเลือกตั้ง คงเป็นเรื่องยากที่การเลือกตั้งแบบนี้จะทำให้ได้มาซึ่งบุคคลที่มีความสามารถ มีความซื่อสัตย์ และมีคุณธรรม

สิ่งที่เราได้จากการเลือกตั้งที่มีการซื้อขายเสียงคือ ส.ส. ที่มีพฤติกรรมแบบเด็กเกเรที่ไร้วุฒิภาวะ เอาตนเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล อยากเด่นอยากดัง อยากได้อะไรง่ายๆ โดยไม่ใช้เงินเป็นหลัก อยากได้อยากมีฉกฉวยงบประมาณของแผ่นดินไว้เป็นประโยชน์ของตนเอง อยากได้สิทธิพิเศษเหนือบุคคลอื่น เบ่งกร่างข่มเหงประชาชนและข้าราชการ และอาละวาดเมื่อไม่ได้ดั่งใจ ซึ่งสร้างความอับอายขายหน้าแก่คนไทยทั้งประเทศ

เมื่อ ส.ส. เหล่านั้นเติบโตจนกลายเป็นรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี พฤติกรรมเหล่านี้ก็สะสมพอกพูนขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด บางคนเป็น ส.ส.มาหลายสมัยจนอายุทางชีวภาพแก่เฒ่าชราลงไปมากแล้ว แต่กระนั้นอายุทางจิตกลับมิได้มีการพัฒนา กลับย่ำอยู่กับที่ คือ เป็นจิตของเด็กเกเรที่ไร้วุฒิภาวะเฉกเช่นเดิม

เราจะอยู่ในประเทศที่ปกครองโดยเด็กเกเร ไร้วุฒิภาวะอย่างนี้ต่อไปได้อย่างไร เป็นคำถามที่ถามประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยทุกคน

เราจะเลือกนักค้าอำนาจที่มีวุฒิภาวะแบบเด็กเกเรที่กระจายอยู่ในพรรคต่างๆให้บริหารปกครองประเทศต่อไปอีกหรือ

ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่เราจะต้องคิด คิดอย่างจริงจัง และลงมือปฏิบัติ เพื่อหยุดยั้งแบบแผนความคิดและการปฏิบัติที่สร้างปัญหาแก่สังคมไทยเสียที

เริ่มต้นจากการสั่งสอนนักค้าอำนาจที่มีวุฒิภาวะแบบเด็กเกเร ให้สำนึกและตระหนักว่า พวกเขาไม่สามารถซื้ออำนาจอธิปไตยของประชาชนได้อีกต่อไป พวกเขาไม่ใช่ตัวเลือกของเราในการบริหารประเทศไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในพรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย หรือพรรคการเมืองใดๆ ก็ตาม

เราจะไม่ยอมนักค้าอำนาจผู้มีวุฒิภาวะแบบเด็กเกเร ซื้อเราได้ด้วยเศษเงินที่เป็นเศษเนื้อข้างเขียง ด้วยนโยบายประชานิยมที่หลอกลวง ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่หล่อเหลาสวยงาม แต่ภายในนั้นกลับตรงข้าม หรือด้วยชื่อเสียงภาพลักษณ์ที่ดูดี แต่เนื้อแท้กลับเน่าเหม็น

เราจึงต้องไปใช้สิทธิเลือกตั้งใช้อำนาจอธิปไตยของเรา ด้วยการกากบาทในช่อง “ไม่ประสงค์ลงคะแนน” เพื่อให้นักการเมืองผู้ค้าอำนาจและมีวุฒิภาวะแบบเด็กเกเรไม่มีความชอบธรรมทางการเมืองในการบริหารประเทศอีกต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น