ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์
เป็นที่ปลื้มปีติไปทั่วทั้งแผ่นดิน
เป็นที่สำนึกในพระกรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้
ที่สำคัญคือ เป็นขวัญและกำลังใจที่มิอาจประเมินค่าได้สำหรับชาวนบพิตำ จังหวัดนครศรีธรรมราช รวมทั้งผู้ได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัยครั้งใหญ่ในภาคใต้ จากการที่ “สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี” เสด็จฯเยี่ยมประชาชนที่กำลังได้รับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสจากวิกฤตน้ำท่วมด้วยพระองค์เอง ทั้งๆ ที่พระอูรุ (กระดูกต้นขา) ข้างซ้ายที่หักเมื่อครั้งทรงประสบอุบัติเหตุลื่นหกล้ม ขณะทรงพระดำเนินไปบรรยายทางวิชาการที่ ม.เกษตรศาสตร์ ยังมิหายดี และต้องประทับรถเข็น
เพราะนั่นแสดงให้เห็นถึงความห่วงใย และความผูกพันของสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่มีต่อประชาชนชาวไทยใต้ร่มพระบารมีเป็นอย่างดี
นี่คือ ความเด่นชัดยิ่งในพระกรณียกิจที่ทรงต้องการสืบทอดพระราชปณิธานในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความห่วงใยต่อพสกนิกรชาวไทยที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม ในยุคที่ต้องยอมรับว่า คนไทยจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ไม่ใคร่ได้เห็นพระราชกรณียกิจของทั้ง 2 พระองค์ จนทำให้ “ขบวนการล้มเจ้า” เติบใหญ่เช่นทุกวันนี้
และนี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่พสกนิกรชาวไทยได้เห็นถึงความเป็น “ขัตติยนารี” ในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ อย่างเด่นชัด หลังจากก่อนหน้านี้ ได้ทรงแสดงให้เห็นถึงความกตัญญูอย่างสูงสุดต่อ “ท่านพ่อ” ในทางธรรม คือ “หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน” ด้วยการเสด็จฯเยี่ยม และทรงเฝ้าดูอาการอาพาธตั้งแต่ช่วงทรุดหนัก จนละสังขาร และเสด็จฯไปประทับในการพระราชทานเพลิงสรีรสังขารจนเป็นที่ประจักษ์มาแล้ว รวมทั้งอีกหลายครั้งหลายครา
** เสด็จฯ “นบพิตำ”
พระกรณียกิจเพื่อพ่อหลวง
หากยังจำกันได้ ก่อนหน้าที่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ จะเสด็จฯ เยี่ยมผู้ประสบภัยที่อำเภอนบพิตำ จ.นครศรีธรรมราช คนไทยทั้งประเทศมีโอกาสได้รับทราบความในพระหฤทัยของพระองค์ ในฐานะที่ทรงเป็นสมาชิกแห่งราชวงศ์จักรี จากการที่พระราชทานสัมภาษณ์พิเศษ นายวุฒิธร มิลินทจินดา พิธีกรผู้ดำเนินรายการ “วู้ดดี้เกิดมาคุย” ซึ่งออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน ที่ผ่านมา
และต้องบอกว่า เป็นการออกอากาศที่มีประชาชนคนไทยจำนวนมากสนใจติดตามรับชมจนกลายเป็น “ทอล์ก ออฟ เดอะทาวน์” ที่กล่าวขานกันทั้งบ้านทั้งเมือง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพระราชทานสัมภาษณ์เรื่องพระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ทั้งสองพระองค์ทรงบำเพ็ญเพื่อประชาชนชาวไทยมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน มิเคยว่างเว้น แม้แต่ในระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินเพื่อประทับรักษาพระวรกายที่โรงพยาบาลศิริราช ก็ยังทรงติดตามสถานการณ์ของบ้านเมือง พร้อมทั้งมีพระราชกระแสรับสั่งให้มีการช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนตลอดเวลา
“อยากให้ทูลกระหม่อมพ่อได้รับความเป็นยุติธรรม ที่ท่านควรจะได้รับ รวมทั้งสมเด็จแม่ด้วย ท่านทรงตรากตรำเหลือเกินจริงๆ อยาก แต่ยังไม่กล้าขอ อยากขอเวลาทีวี วันละ 10 นาที หลังข่าว อยากจะฉายหนังสั้นพระราชกรณียกิจ ว่า พระองค์นี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระราชินี ทรงทำอะไรบ้าง สงสารท่านเถอะ”
อย่างไรก็ตาม ภายหลังการพระราชทานสัมภาษณ์ครั้งประวัติศาสตร์ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ ก็ได้ทรงแสดงให้เห็นถึงความเป็นขัตติยนารีในตัวของพระองค์ในการทำหน้าที่แทน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ด้วยการเสด็จฯไปทรงเยี่ยมประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสจากมหาวิบัติภัยน้ำท่วมภาคใต้
การเสด็จฯในครั้งนี้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ นอกจากจะพระราชทานถุงยังชีพพระราชทาน จำนวน 500 ชุด พระราชทานของเด็กเล่นให้แก่ลูกหลานของผู้ประสบภัย รวมทั้งตรัสถามความเป็นอยู่ ทุกข์สุขของราษฎร ที่มาเฝ้ารับเสด็จฯ และเยี่ยมอาการเจ็บป่วยของผู้ป่วยจำนวนหนึ่งแล้ว ยังมีพระปฏิสันถารกับประชาชนที่เฝ้ารับเสด็จฯด้วยข้อความที่สำคัญตอนหนึ่งด้วยว่า
“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงห่วงใยพสกนิกรชาวนครศรีธรรมราช และชาวภาคใต้ ซึ่งเมื่อปี 2531 เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ ที่ ต.กะทูน อ.พิปูน จ.นครศรีธรรมราช ข้าพเจ้าเคยเสด็จฯมาเยี่ยมประชาชนชาวนครศรีธรรมราช เมื่อครั้งนั้น ด้วยความห่วงใย และทำให้มีความผูกพันกับชาวนครศรีธรรมราช มาตลอด และเมื่อเกิดอุทกภัยใหญ่ กับชาว อ.นบพิตำ ที่ประสบอุทกภัยในครั้งนี้ ทำให้มีความเป็นห่วง วันนี้ทั้งสองพระองค์ จึงมีพระราชดำรัสรับสั่งให้ข้าพเจ้ามาดูแลพสกนิกร ชาว อ.นบพิตำ ด้วยความห่วงใย และรับสั่งให้ดูแลทุกข์สุขของราษฎรที่เดือดร้อนในครั้งนี้อย่างเต็มที่ และวันนี้ ข้าพเจ้าได้นำหน่วยแพทย์อาสา พอ.สว.มาดูแลตรวจรักษาราษฎรที่เจ็บป่วยด้วย”
และหลังจากปฏิบัติพระกรณียกิจที่ศูนย์อพยพชั่วคราว ห้องประชุมโรงเรียนนบพิตำวิทยา จ.นครศรีธรรมราช แล้ว สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ ก็ได้เสด็จฯต่อไปยังศูนย์อพยพชั่วคราว ณ โรงพยาบาลสวนสราญรมย์ ต.ท่าข้าม อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี พร้อมทั้งมีพระกระแสรับสั่งแก่ผู้ที่เฝ้ารับเสด็จฯว่า...
“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีความห่วงใยราษฎรเป็นอย่างมาก และรับสั่งให้ติดตามดูแลความเป็นอยู่ของราษฎรอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี และ นครศรีธรรมราช พระองค์ทรงมีความรู้สึก ว่า มีความใกล้ชิดห่วงใย เนื่องจากทั้งสองจังหวัดมีโครงการในพระราชดำริของพระองค์อยู่หลายโครงการ ตั้งแต่หลังเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่เมื่อปี 2541”
ขณะเดียวกัน สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ฯ ยังตรัสให้กำลังใจผู้ประสบภัยด้วยว่า....
“ที่เดินทางมาเพราะเป็นห่วง เพราะรักและต้องการมาให้กำลังใจ ขอให้ทุกคนต่อสู้ และให้ดูตัวอย่างของชาวญี่ปุ่น เราจะได้มีกำลังใจที่เข้มแข็งต่อสู้ร่วมมือร่วมใจกันในการแก้ปัญหา”
พระกระแสรับสั่งดังกล่าว สร้างความปลาบปลื้มปีติใจให้กับผู้ประสบภัยเป็นอย่างมาก โดยบางคนถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ จนต้องร้องไห้ออกมาด้วยความตื้นตันใจ
ส่วนถามว่า ทำไม สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ ถึงมีความจำเป็นที่จะต้องเสด็จฯไปด้วยพระองค์เองนั้น คำตอบที่ชัดเจนน่าจะอยู่ที่คำให้สัมภาษณ์ของ นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่กล่าวระหว่างการจัดกิจกรรม “บ้านฉัน..รักพระเจ้าอยู่หัว” เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ว่า “จากการตรวจสอบข่าวลือในพื้นที่อีสาน เรื่องการยุยงปลุกปั่นประชาชนให้ปลดพระบรมฉายาลักษณ์ พบว่า มีการยุยงจริง…”
นี่คือเหตุผลว่า ทำไมถึงต้องเสด็จฯไปด้วยพระองค์เอง
ไม่นับรวมถึงการปรากฏสารพัดข้อความจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามเว็บไซต์ต่างๆ ที่นับวันจะยิ่งเหิมเกริมและอหังการมากขึ้น
**ทรงถามหาความยุติธรรม
ให้ พระเจ้าอยู่หัว-พระราชินี
อย่างไรก็ตาม ถ้าหากนำสิ่งที่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ พระราชทานสัมภาษณ์ในรายการ “วู้ดดี้เกิดมาคุย” ต่อเนื่องด้วยการเสด็จฯเยี่ยมเยียน และทรงให้กำลังใจพสกนิกรผู้ประสบอุทกภัยในครั้งนี้ ก็จะเห็นชัดเจนว่า ด้วยเหตุอันใดพระองค์จึงต้องทรงปฏิบัติทั้งๆ ที่ยังคงประทับนั่งในรถเข็น และไม่สามารถพระดำเนินได้ตามปกติ
เพราะนั่นถือเป็นอีกหนึ่งพระกรณียกิจในฐานะที่ทรงเป็น “พระเจ้าลูกเธอ” ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
อย่างไรก็ตาม ถ้าหากนำบทพระราชทานสัมภาษณ์ในรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย บางช่วงบางตอนมาทำความเข้าใจ ก็จะพบว่า สิ่งที่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ พระราชทานสัมภาษณ์แต่ละช่วงแต่ละตอนในวันนั้น มีนัยที่สำคัญยิ่ง เพราะเป็นการพระราชทานสัมภาษณ์ท่ามกลางความเติบใหญ่ของ “ขบวนการล้มเจ้า” โดยทรงบอกเล่าถึงความห่วงใยในทุกข์สุขของพสกนิกรในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ รวมทั้งการปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่างๆ ที่ทรงบำเพ็ญมาโดยตลอดนับแต่เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นต้นมา
“ท่านทรงงานท่านตรากตรำมากนะ เมื่อท่านเสด็จฯ เยี่ยมบ้านชาวเขาแถวเชียงใหม่ บางครั้งไม่มีทาง ก็ต้องเดินทางข้ามเขา บางทีข้ามเขา 7-8 ลูก บางครั้งฉันเคยตามเสด็จฯ แล้วเราคือต้องอยู่หน่วยแพทย์ ก็ต้องแบกเป้ยา เพราะว่าอยู่หน่วยแพทย์ก็ต้องใช้ยาได้ ก็ตอนนั้นยังอายุน้อย คือ ตอนนั้นยังสาวอยู่ รู้สึกว่ามันลำเค็ญ เจอหมู่บ้านก็อยากให้มีคนป่วยเยอะๆ จะได้ระบายยาออกจากเป้ เพราะมันหนักมาก มันหนัก 14 กิโล
“...คือไม่ได้พูดว่าจะโปรโมตว่าตัวเองเป็นเจ้า แต่อยากให้ทูลกระหม่อมพ่อได้รับความเป็นยุติธรรมที่ท่านควรจะได้รับ รวมทั้งสมเด็จแม่ด้วย ท่านทรงตรากตรำเหลือเกินจริงๆ อยาก แต่ยังไม่กล้าขอ อยากขอเวลาทีวี วันละ 10 นาที หลังข่าว อยากจะฉายหนังสั้นพระราชกรณียกิจว่า พระองค์นี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระราชินี ทรงทำอะไรบ้าง สงสารท่านเถอะ ตอนท่านทรงงานทุ่มพระทัยเต็มที่สำหรับประชาชนคนไทย ทั้งสองพระองค์ท่านเอาใจใส่มาก พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงตามงานชลประทาน ท่านให้คนมาเข้าเฝ้าฯ ที่โรงพยาบาลทุกวันที่โรงพยาบาล
“ท่านบรรทมดึกมาก บางครั้งท่านก็บรรทมไม่หลับ บางครั้งก็บรรทมน้อย บางครั้งมีการส่งรูปปัญหาต่างๆ เข้ามา ท่านก็คอยตาม อย่างน้ำท่วมคนลำบากไหม ท่านก็ทรงให้ส่งถุงยังชีพไปให้ แต่พอท่านทอดพระเนตรทางโทรทัศน์ ว่า ทางนั้นก็น้ำท่วม ทางนี้ร้อน ทางโน้นก็บาดเจ็บ ท่านนี้ตามช่วยเหลือโดยที่ไม่บอกใครด้วย คือ ท่านปิดทองหลังพระจริงๆ คือ ถ้าไม่ได้เป็นลูกท่านคงไม่รู้จริงๆ”
หลายคนถึงกับตกใจถึงสิ่งที่พระองค์พระราชทานสัมภาษณ์ เนื่องจากรับรู้ได้ถึงความสะเทือนพระทัยของพระองค์ และไม่คาดคิดว่า จะได้ยินได้ฟังข้อความในลักษณะนี้ โดยเฉพาะในประโยคที่ว่า “อยากให้ทูลกระหม่อมพ่อได้รับความเป็นยุติธรรมที่ท่านควรจะได้รับ รวมทั้งสมเด็จแม่ด้วย ท่านทรงตรากตรำเหลือเกินจริงๆ อยาก แต่ยังไม่กล้าขอ อยากขอเวลาทีวี วันละ 10 นาที หลังข่าว อยากจะฉายหนังสั้นพระราชกรณียกิจ ว่า พระองค์นี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระราชินี ทรงทำอะไรบ้าง สงสารท่านเถอะ”
และหลังจากการพระราชทานสัมภาษณ์พิเศษในวันนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงกับเต้นแร้งเต้นกาเป็นการใหญ่
นอกจากนี้ อีกประเด็นสำคัญในการพระราชทานสัมภาษณ์วันนั้น คือ การอธิบายความจริงในฐานะที่ทรงเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ที่หลายคนเข้าใจว่า ชีวิตมีแต่ความสุขสบาย ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้ว ชีวิตไม่ได้สุขสบาย หรือมีความหรูหราฟุ้งเฟ้ออย่างที่หลายคนจินตนาการกันไปเองตามคำบิดเบือนของผู้ไม่ปรารถนาดีต่อสถาบัน
“ชีวิตฉันนี้ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก ว่า เกิดเป็นเจ้าต้องรับใช้ประชาชน แล้วท่านก็ใช้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ที่เริ่มออกเยี่ยมราษฎรไปอยู่หน่วยแพทย์อาสา (พอ.สว.) ของท่าน ดูแลประชาชน ท่านเริ่มใช้ตั้งแต่อายุ 14 ปี แล้วการเรียนก็จำเป็นต้องเรียนพิเศษกลางคืน
“ต้องทำงานถวายก่อนแล้วเรียนพิเศษตอนกลางคืน ทำอย่างนี้มาจนจบปริญญาเอก ซึ่งมันยาก เพราะเวลามีเรียนมันน้อย เวลาพักผ่อนก็น้อย มันก็ง่วง เพราะเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว แล้วยังต้องเรียนอีก แต่ก็เข้าใจทูลกระหม่อมเสด็จพ่อเสด็จแม่ ว่า ท่านให้ทำเพื่ออะไร ทำไมต้องทำงาน เพราะมีหน้าที่ เข้าใจ และยิ่งตอนนี้อายุมากขึ้นด้วยยิ่งเข้าใจเสด็จพ่อมากขึ้นเลย
“เข้าใจว่า เป็นเจ้า เราต้องบำเพ็ญบารมี คือ ให้ทานและบารมี ให้ทานให้ความสุขแก่ราษฎร ให้ความสุขยังไง เช่น เขาป่วยเราก็รักษา เขาไม่มีอาชีพทำ ก็นำมาอบรมให้มีอาชีพทำ เขามีปัญหาทางเกษตรกรรม เช่น น้ำไม่พอ พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงสร้างเขื่อนให้เขา บุกไปดูพื้นที่ว่าต้องทำเขื่อนตรงโน้นตรงนี้เพื่อให้ราษฎรมีน้ำใช้ นี้คือ พ่ออยู่หัว และ สมเด็จพระราชินี ทรงทำอย่างนี้มา 60 ปี”
และท้ายที่สุดคือ การที่ทรงเปิดเผยถึงความทุกข์พระราชหฤทัยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง
“...เหตุการณ์ปีที่แล้ว ที่มีการเผาบ้านเผาเมืองกัน อันนั้นนำความทุกข์มาสู่พระเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จฯ เหลือเกิน พระเจ้าอยู่หัวจากที่ทรงหัดเดินได้ ตอนนั้นทรงทรุดเลย เป็นไข้ ต้องให้น้ำเกลือนอนแบ่บเลย สมเด็จฯ ก็เสียพระทัยมากเลย ท่านรับสั่งว่า คราวที่เราถูกเผาเมืองนั้น คือสมัยเสียกรุงต่อพม่า กรุงศรีอยุธยา แต่คราวนี้สะเทือนใจยิ่งกว่า เพราะเป็นการที่คนไทยเผาเมืองไทยเอง”
และนั่นเป็นพระดำรัสที่ทำให้นักวิชาการ อย่าง “สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล” อดรนทนไม่ไหวและตั้งคำถามในเว็บไซต์ประชาไทชนิดที่หลายคนถึงกับอึ้งไปตามๆ กัน
(http://prachatai.com/journal/2011/04/33901)
**สยบข่าวลืออัปมงคล
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ พระราชทานสัมภาษณ์ในฐานะ “พระเจ้าลูกเธอ” ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ หากแต่ทรงกระทำเพื่อชึ้แจงข้อเท็จจริงและปกป้องพระเกียรติของทั้งสองพระองค์มาโดยตลอด
หากยังจำกันได้ เมื่อครั้งที่เกิดข่าวลืออันอัปมงคล สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ ก็พระราชทานสัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งก็ยังความปลื้มปีติให้แก่พสกนิกรผู้จงรักภักดีอย่างยิ่ง
วันที่ 14 ตุลาคม 2552 ....ในขณะที่ตลาดหุ้นภูมิภาคปิดในแดนบวก อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ตลาดหุ้นไทยกลับปรับตัวลดลงสวนทางเหนือความคาดหมาย โดยปิดตลาดที่ระดับ 731.47 จุด ลดลง 15.20 จุด แถมดัชนีระหว่างวันลดลงหนักถึง 32 จุด ต่อเนื่องด้วยวันที่ 15 ตุลาคม 2552 ที่ดัชนีลงแรงถึง 60 จุด ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้น หลุด 700 จุด หลังจากที่ทะยานขึ้นต่อเนื่องกว่า 2 เดือน
ต้นตอของ 2 วันมหาวิปโยคของตลาดหุ้นไทยนั้นมีต้นสายปลายเหตุประการเดียว คือ “ข่าวลือ”
อย่างไรก็ตาม ข่าวลือทั้งหมดก็คลี่คลายลง เมื่อ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ที่เสด็จฯไปรับการถวายรางวัล วิน เดาส์ เมดัล จากสถาบันอินทรีย์เคมี และชีวโมเลกุล มหาวิทยาลัย เกอ๊อจ เอากุสท์ อูนีแวย์ซิเทท เกิ้ททิงเง่น สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ได้ทรงตอบคำถามข้าราชการสถานเอกอัครราชทูต และนักศึกษาไทย ที่ทูลถามถึงพระอาการพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยความเป็นห่วง และจงรักภักดี
พระองค์ทรงเล่าถึงพระอาการประชวรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และทรงยืนยันว่า “ตอนนี้นี่ให้ทุกคนสบายใจได้ว่า เรียกว่าทรงปลอดภัยแล้ว”
ขณะเดียวกัน ในระหว่างที่ทรงเล่าก็มีพระอารมณ์ขันเกี่ยวกับการท้าดวลผัก ระหว่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับพระองค์ด้วย
“ก็มีสนุกขำๆ คือว่า ตัวข้าพเจ้าเองนี่ ขึ้นไปเฝ้าพระอาการ บางครั้งขึ้นไปเฝ้าตอนเสวยข้าว ท่านก็ทรงท้า บอกมาดวลกันไหม รับประทานแข่งกันไหม ท่านรู้ว่าข้าพเจ้าตั้งแต่เล็กมาแล้ว กินผักไม่เป็น ไม่กินผัก แล้วท่านก็บอกว่า แล้วท่านก็บอก วันนี้มีซุปผักโขม มาดวลกันไหม ก็เลยทูลท่านบอกว่า ดวลก็ดวล คือว่า รับประทานถวายพ่อองค์เดียวนะ เพราะกับคนอื่น แหม จะให้กล้ำกลืนทานซุปผักนี่ ก็คงแย่เหมือนกัน แต่วันนั้นก็ได้ทานซุปผักถวายท่านไป 1 ชาม ท่านก็เสวยซุปผักเหมือนกัน 1 ชาม ทรงดีขึ้นเยอะแล้วค่ะ ก็เหลือแต่ว่า ต้องทำกายภาพบำบัด เรื่องการทรงพระดำเนินจะได้คล่องขึ้น และพระกำลังขาจะได้ดีขึ้น
นอกจากนั้น ก็ยังมีอีกหลายครั้งหลายคราที่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ ทรงแสดงบทบาทในลักษณะนี้
…ถึงตรงนี้ พสกนิกรผู้จงรักภักดีคงสบายใจกันอย่างถ้วนหน้า เพราะการที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงลุกขึ้นมาชี้แจงและเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ย่อมเป็นหลักประกันอันดีที่จะป้องกันมิให้ “ขบวนการล้มเจ้า” เติบใหญ่อีกต่อไป รวมทั้งส่งผลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว ได้ตื่นตัวเพื่อปกป้องสถาบันอันเป็นที่เคารพรักยิ่งให้สถิตสถาพรเป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยสืบไป
ขณะเดียวกัน พระกรณียกิจดังกล่าวยังทำให้หลายคนนึกถึงคำทำนายของ “หลวงพ่อฤาษีลิงดำ” เด่นชัดขึ้นอีกด้วย
หลวงพ่อฤาษีลิงดำทำนายเอาไว้ว่า.....
คำทำนายที่เคยมีช้านานนัก เริ่มประจักษ์ให้เห็นเร้นไม่ได้
หลวงพ่อฤาษีลิงดำเคยทำนาย เมื่อถึงปลายรัชกาลผ่านเข้ามา
ประเทศชาติจะรุ่งเรืองและเฟื่องฟุ้ง น้ำมันผุดขึ้นมาจนเห็นค่า
พวกกาขาวจะบินรี้หนีเข้ามา เป็นประชาจนเต็มพระนคร
ชนทั่วโลกจะยกพระองค์ท่าน ชื่อกระฉ่อนร่อนทั่วทุกสิงขร
ออกพระนามลือชื่อดั่งทินกร องค์อมรเอกบุรุษแห่งแผ่นดิน
ชาวประชาจะปีติยิ้มสดใส แต่อกไหม้หนอนกินข้างในสิ้น
จะมีพวกกาฝากคอยกัดกิน เพื่อให้ได้สิ่งถวิลสมจินตนา
จะมีการต่อตีกันกลางเมือง ขุนนางเขื่องกังฉินกินทั่วหล้า
คอรัปชั่นจะกัดกร่อนทั้งพารา ประดุจปลวกกินฝานั้นปะไร
ข้าราชการตงฉินถูกประณาม สามคนหามสี่คนแห่มาลากไส้
เกิดวิกฤติผิดเพี้ยนโดยทั่วไป โกลาหลหม่นไหม้ไร้ความดี
ประชาชีจะสับสนเรื่องดีชั่ว ถ้วนทุกทั่วจะหมุดขุดรูหนี
ไม่แน่ใจสิ่งที่ทำนำความดี เกรงเป็นผีตายตกไปตามกัน
พุทธศาสน์จะถูกรุกและล้ำ มิตรเคยค้ำเป็นศัตรูมุ่งอาสัญ
เกิดวิกฤติธรรมชาติอุบาทว์ครัน พายุลั่นน้ำถล่มดินทลาย
แผ่นดินแยกแตกเป็นสองปกครองยาก เกิดวิบากทุกข์เข็ญระส่ำระสาย
เกิดการปราบจลาจลชนล้มตาย เลือดเป็นสายน้ำตานองสองแผ่นดิน
ข้าเป็นนายนายเป็นข้าน่าสมเพช ผู้มีบุญมีเดชจะสูญสิ้น
ทั้งพฤฒาอาจารย์ลือระบิล จะร่วงรินดุจใบไม้ต้องสายลม
ความระทมจะถมทับนับเทวศ ดั่งดวงเนตรมืดบอดสุดขื่นขม
คนที่ดีจะก้มหน้าสุดระทม ส่วนคนชั่วหัวร่อร่าทำท่าดัง
จะมีหนึ่งนารีขี่ม้าขาว ควงคฑามุ่งสู่ดาวสร้างความหวัง
ผู้ปกครองจะเป็นหญิงพึงระวัง สายน้ำหลั่งกรากเชี่ยวหวาดเสียวใจ
ศิวิไลซ์จะบังเกิดในสยาม หลังฝนคร้ามลั่นครืนจะยืนได้
จะเข้าสู่ยุคมหาชนพาไป เปลี่ยนเมืองใหม่ศักราชแห่งประชา
คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา
ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา ยามเมื่อฟ้าศรีทองผ่องอำไพ
ทรงพระเจริญ พระพุทธเจ้าข้า