ศูนย์ข่าวภาคใต้-พระบรมวงศานุวงศ์ ทรงเป็นห่วงน้ำท่วมใต้ "ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ฯ" เสด็จเยี่ยมราษฎรนบพิตำ เมืองคอนและสุราษฏร์ธานี พระราชทานหน่วยแพทย์เข้าช่วยเหลือและถุงยังชีพ พร้อมทรงมีพระปฏิสัณฐาน"ในหลวง-พระราชินี" ทรงเป็นห่วงมาก ด้านพสกนิกรหลังน้ำตาปลาบปลื้มอย่างหาที่สุดมิได้ สมเด็จพระเทพฯ พระราชทานสิ่งของให้ชาวบ้านที่ชุมพร สรุปความเสียหายน้ำท่วมใต้ล่าสุด เดือดร้อนกว่า 2 ล้านคน ตาย 53 คน ระดมทหารช่างเร่งซ่อมแซมสะพาน ถนน ด้านศชอ.เตือนภัย ยังเสี่ยงโคลนถล่ม ส่วนเงินบริจาคช่วยน้ำท่วมล่าสุดทะลุ 110 ล้าน แต่มีเงินเข้าจริงแค่ 27 ล้าน
วานนี้ (5 เม.ย.) สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายา ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงมีพระราชประสงค์และพระประสงค์ที่จะทรงร่วมบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ในนามโครงการสายใยรักแห่งครอบครัว ในพระบรมราชูปถัมภ์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เพื่อสบทบทุนในการช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ราษฎรที่ประสบอุทกภัย
ในการนี้ประชาชนที่มีความประสงค์ร่วมบริจาคเป็นเงินสด เช็กเงินสดและสิ่งของ เครื่องอุปโภคบริโภค รวมทั้งสิ่งของจำเป็นในการช่วยเหลือและฟื้นฟูให้ราษฎร บริจาคเข้ากองทุนพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ เพื่อผู้ประสบภัยพิบัติ เลขที่บัญชี 132-454997-9 บัญชีสะสมทรัพย์ ธนาคารกรุงเทพ สาขาบางซื่อ และนำสำเนาหลักฐานการบริจาคชื่อ พร้อมที่อยู่ของผู้บริจาค ส่งที่กองงานพระวรชายา เพื่อการจัดส่งใบรับรองการรับเงินต่อไป
**ฟ้าหญิงฯเสด็จเยี่ยมราษฎรนบพิตำ
เวลา 09.00 น.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินด้วยเฮลิคอปเตอร์ลงยังสนามเฮลิคอปเตอร์ชั่วคราวโรงเรียนนบพิตำ อ.นบพิดำ จ.นครศรีธรรมราช โดยเสด็จฯ เข้าเยี่ยมเยียนประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากเหตุการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในพื้นที่ อ.นบพิตำท่ามกลางข้าราชการทุกระดับชั้น และประชาชนจำนวนมากที่รอเฝ้ารับเสด็จฯ
พร้อมกันนั้น ยังพระราชทานหน่วยแพทย์ พอ.ศว.เข้ารักษาอาการเจ็บป่วยของประชาชน และพระราชทานถุงยังชีพแก่ประชาชน 500 ชุด และพระราชทานของเด็กเล่นแก่เด็กที่ศูนย์อพยพโรงเรียนนบพิตำ ก่อนที่จะทรงมีพระปฏิสัณฐานถึงความเป็นอยู่ความเดือดร้อนแก่ประชาชนในศูนย์อพยพอย่างไม่ถือพระองค์ พร้อมทั้งพระราชทานกำลังใจแก่ประชาชนท่ามกลางความปลื้มปิติและน้ำตาของพสกนิกรอย่างหาที่สุดมิได้
**"ในหลวง-ราชินี"ทรงเป็นห่วงมาก
นายธีระ มินทราศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เปิดเผยภายหลังว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ฯ ทรงห่วงในพสกนิกรอย่างมาก และทรงมีพระปฏิสัณฐานเล่าว่า เมื่อปี 2531 นครศรีธรรมราช เกิดภัยแบบนี้มาแล้ว ครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเสด็จพระราชดำเนินมาเยี่มประชาชน มาวันนี้เป็นความห่วงใยอย่างมาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระราชินี ทรงให้มาดูแลเยี่ยมให้กำลังใจขอให้มีกำลังกายที่เข้มแข็ง กำลังใจที่แกร่งให้มาก ท่ามกลางความปิติของบรรดาข้าราชบริพาร และประชาชนที่เฝ้าฯ
นอกจากนั้น พระเจ้าลูกเธอฯ ยังทรงพระราชทานหน่วยแพทย์ พอ.ศว.เข้าดูแลรักษาอาการเจ็บป่วยของประชาชน ซึ่งได้คัดกรองตามอาการเจ็บป่วย พิการมอบให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) นครศรีธรรมราช รับไปดูแลตามขั้นตอน
**เสด็จฯเยี่ยมผู้ประสบภัยที่สุราษฎร์ฯ
ต่อมาเวลา 13.00 น.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินโดยเฮลิคอปเตอร์มายังสนามโรงพยาบาลสวนสราญรมย์ เยี่ยมผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่ศูนย์อพยพโรงพยาบาลสวนสราญรมย์ อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี มีนายธีระยุทธ เอี่ยมตระกูล ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี นายมนตรี เพชรขุ้ม นายก อบจ.สุราษฎร์ธานี นายทศพล งานไพโรจน์ นายกเทศมนตรีเมืองท่าข้ามและข้าราชการระดับผู้ใหญ่ในจังหวัดสุราษฎร์ธานีเฝ้ารับเสด็จ โดยมีประชาชนเฝ้ารับเสด็จกว่า 1,000 คน
โอกาสนี้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงมอบถุงยังชีพพระราชทาน 500 ชุด มอบของเล่นให้แก่ลูกหลานผู้ประสบภัย และตรัสถามความเป็นอยู่ เยี่ยมอาการเจ็บป่วยของผู้ป่วย ท่ามกลางน้ำตาและความปลาบปลื้มของพสกนิกร
จากนั้นทรงตรัสกับพสกนิกรที่มาเฝ้ารับเสด็จว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงห่วงใยพสกนิกรที่ประสบภัยใน จ.สุราษฎร์ธานี และภาคใต้ ทรงรับสั่งให้ข้าพเจ้ามาดูแล ข้าพเจ้ามาครั้งนี้มาด้วยความรัก ความห่วงใยประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม แม้สุขภาพจะไม่แข็งแรง แต่มาด้วยความเป็นห่วง มาดูแลทุกข์สุขของราษฎร
**"พระเทพฯ"พระราชทานสิ่งของช่วย
วันเดียวกันเวลา 09.00 น.ที่วัดสุวรรณธาราราม หมู่ที่ 2 ต.สวนแตง อ.ละแม จ.ชุมพร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พล.อ.เจษฏา ศรีสุภาพ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ กรมราชองครักษ์ เดินทางไปสำรวจข้อมูลเพื่อให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น และมอบสิ่งของพระราชทานแก่ราษฏรผู้ประสบอุทกภัย ในพื้นที่ ต.สวนแตง อ.แม จ.ชุมพร โดยมีนายธวัชชัย วิสมล นายอำเภอละแม ข้าชการ ตำรวจ และชาวบ้านจำนวน 240 คน จาก ต.สวนแตง เดินทางมารับมอบสิ่งของพระราชทาน หลังจากนั้นคณะของ พล.อ.เจษฏา ได้เดินทางลงเยี่ยมชาวบ้านในพื้นที่ที่ประสบอุกภัย และรับทราบปัญหาของชาวบ้านเพื่อนำไปกราบบังคมทูลฯแด่สมเด็จพระเทพฯเพื่อหาทางช่วยเหลือในลำดับต่อไป
ทั้งนี้ สถานการณ์อุทกภัยจังหวัดชุมพร มีพื้นที่เสียหายรวม 8 อำเภอ 63 ตำบล 567 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 65,671 คน 22,481 ครัวเรือน มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์น้ำท่วมแล้ว 2 คน มูลค่าความเสียหายคาดว่ามากกว่า 50 ล้านบาท
***กรมเจ้าท่านำเรือพระราชทานช่วย
นายถวัลย์รัฐ อ่อนศิระ อธิบดีกรมเจ้าท่า กล่าวว่า กรมเจ้าท่าได้นำเรือท้องแบนพระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จำนวน 10 ลำ ออกไปให้การช่วยเหลือและนำสิ่งของแจกจ่ายประชาชนผู้ประสบภัยในพื้นที่ภาคใต้ ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และตรัง ตั้งแต่วันที่ 29 มี.ค. เป็นต้นมา โดยร่วมกับสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น และมีผู้แทนพระองค์ นำสิ่งของพระราชทานแจกจ่ายประชาชนผู้ประสบภัย นอกจากนี้ ยังออกประกาศให้เจ้าหน้าที่ระมัดระวังการเดินเรือ พร้อมสั่งการให้เฝ้าติดตามรายงานสถานการณ์ระดับน้ำ และให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย ทั้งด้านกำลังคน เรือ และอุปกรณ์ต่างๆ อย่างเร่งด่วน
**"ในหลวง”พระราชทานเงินซื้อน้ำดื่มให้กระบี่
ส่วนที่ศาลากลางจังหวัดกระบี่ นายประสิทธิ์ โอสถานนท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ เป็นประธานในพิธีรับมอบเงินพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 1 แสนบาทที่พระราชทานให้ จ.กระบี่ นำไปจัดซื้อน้ำดื่ม 25,000 ขวด สำหรับนำไปแจกจ่ายแก่ราษฎรที่ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่ให้ได้ดื่มน้ำที่สะอาด จากนั้นนายประสิทธิ์ ได้มอบต่อให้แก่นายเถลิงศักดิ์ ภูวญาณพงศ์ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดกระบี่ เพื่อนำไปมอบต่อให้ชาวบ้านในพื้นที่ประสบภัย
นายประสิทธิ์กล่าวว่า สำหรับบ้านเรือนของประชาชนที่ได้รับความเสียหายทั้งหลังมีประมาณ 100 กว่าหลัง ซึ่งถือว่าเป็นอุบัติภัยที่รุนแรงอย่างมาก และยังมีบ้านเรือนเสียหายบางส่วนอีกกว่า 1,000 หลัง ส่วนแนวทางทางการช่วยเหลือ เบื้องต้นจะจัดหาที่พักพิงซึ่งมีศูนย์อพยพตามจุดต่างๆ หลังจากนั้นจะหาบ้านให้กับผู้ประสบภัยอาศัย ซึ่งทางสำนักโยธาธิการและผังเมืองกำลังออกแบบอยู่ อย่างไรก็ตาม ในจุดเสี่ยงที่ไม่สามารถให้เข้าอยู่อาศัยได้ก็ต้องจัดหาสถานที่ใหม่ ซึ่งขณะนี้กำลังหารือกันอยู่
**รัฐมนตรีลงใต้เจ้าหน้าที่ไม่เป็นอันทำงาน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่มีรัฐมนตรีเดินทางมาตรวจเยี่ยมน้ำท่วม เช่น นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตร ลงพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง และอ.สิชล และมีรายงานว่า นายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฐ์ รมว.สาธารณสุข ลงพื้นที่ อ.นบพิตำ และคณะสุดท้าย คือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ลงพื้นที่ อ.สิชล และ อ.นบพิตำ ได้ทำให้ข้าราชการระดับสูงต้องมารอคอยต้อนรับ และไม่มีเวลาไปให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนที่ประสบภัย
**"สุเทพ"สั่งเร่งสำรวจความเสียหายกระบี่
เวลา 11.10 น.นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง พร้อมนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์ ลงที่โรงเรียนเขาพนมเบญจา เทศบาลเขาพนม จ.กระบี่ พร้อมรับฟังปัญหาในพื้นที่ในภาพรวม โดยมีนายประสิทธิ์ โอสถานนท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ รายงานความเสียหายในพื้นที่
จากนั้นนายสุเทพ พร้อมด้วยคณะ ลงพื้นที่ประสบภัยดินถล่ม ที่บ้านต้นหาร ม.7 ต.หน้าเขา อ.เขาพนม เพื่อสำรวจความเสียหายหลังประสบภัยดินโคลนถล่ม เมื่อวันที่ 29 ม.ค.ที่ผ่านมา ระหว่างที่เดินสำรวจได้มีนายอาคเนย์ ทองเนียม อายุ 33 ปีได้เข้ามาดักรอนายสุเทพ เพื่อขอให้ช่วยค้นหาญาติที่สุญหายอีก 2 คน คือ นายสิทธิพร พี่ชาย และนางปิยนาถ พี่สะใภ้ ขณะที่นายสุเทพ ยืนยันว่าจะไม่มีการยกเลิกภารกิจ จนกว่าจะพบ หรือจนกว่าทางญาติจะพอใจ พร้อมมอบเงินเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตทั้ง 10 ศพ
นอกจากนี้ นายสุเทพ ยังกำชับหน่วยงานในพื้นที่เร่งสำรวจข้อมูลความเสียหาย ผู้ประสบภัย ทรัพย์สินประชาชนให้ทั่วทุกพื้นที่ ตลอดจนส่งข้อมูลความเสียหาย ให้รัดกุม ความช่วยเหลือในเบื้องต้นให้ครอบคลุม โดยเฉพาะในเรื่องของบ้านพักของผู้ประสบภัย ให้แต่ละหน่วยงานเร่ง สำรวจจำนวนความเสียหายให้ชัดเจน หากพื้นที่ใดยังขาดอยู่ ทางรัฐบาลจะได้สนับสนุน เนื่องจาก มีหลายหน่วยงานเข้ามาช่วยเหลือ อาจเกิดความซ้ำซ้อน แม้ขณะนี้สถานการณ์น้ำท่วมเริ่มคลี่คลาย แต่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมตลอดเวลา และให้ประชาชนเชื่อฟังคำเตือนของหน่วยงานของรัฐ เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
**ชาวบ้านกระบี่ยังผวาภูเขาถล่ม
ผู้สื่อข่าวเดินทางไปตรวจสอบภูเขาถล่ม ม.1 ต.หนองทะเล อ.เมือง จ.กระบี่ หลังจากได้รับการประสานจากชาวลบ้านในพื้นที่โดยเหตุการณ์ภูเขาถล่มครั้งนี้เกิดขึ้น เมื่อเวลา 20.00 น.วันที่ 4 เม.ย.ที่ผ่านมา เมื่อไปถึงพบว่าบนถนนสายหนองทะเล-กระบี่มีไทยมุงจำนวนมากกำลังยืนมองดูบนยอดภูเขาหนองทะเล หรือภูเขาขาไก่ ที่เกิดรอยแยกเป็นทางยาว จากยอดเขาลงมาส่วนล่าง เป็นทางยาวประมาณ 50 เมตร
นอกจากนี้ ภูเขาลูกดังกล่าวยังอยู่ใกล้กับชุมชนและอยู่ห่างจากโรงเรียนบ้านหนองทะเล ประมาณ 300 เมตร ส่วนชาวบ้านที่อยู่อาศัยในบริเวณดังกล่าวประมาณ 20 ครัวเรือนได้ปิดประตูบ้านเงียบขนย้ายข้าวของที่จำเป็นอพยพไปอยู่ที่ปลอดภัย โดยไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ
นายเลาะ สาระวารี ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าวเล่าว่า เมื่อช่วงกลางคืนได้มีเสียงคำรามออกมาจากภูเขา คล้ายกับเสียงรอยหินเคลื่อนตัวพร้อมๆ กับวันที่ภูเขาพนมเบญจาถล่มบ้านต้นหาร ม.7 ต.หน้าเขา อ.เขาพนม และได้มีเสียงดังเรื่อยมาจนเกิดเหตุภูเขาถล่มขึ้นในวันนี้ ซึ่งสร้างความหวาดกลัวให้กับชาวบ้านที่อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุเป็นอย่างมาก เนื่องจากภูเขาลูกนี้อยู่ใกล้ชุมชน หากภูเขาพังลงมาทั้งลูกเชื่อว่าจะทำให้เกิดความเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินชาวบ้านเป็นวงกว้างอย่างแน่นอน
ต่อมาทางสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารภัยจังหวัดกระบี่ ได้ส่งทีมเฝ้าระวัง เข้ามาในพื้นที่เพื่อติดตามเฝ้าสังเกตการณ์ความผิดปกติของภูเขาหนองทะเลอย่างใกล้ชิด แต่หลังจากเวลาผ่านไปประมาณ 3 ชั่วโมงก็ยังไม่พบความผิดปกติว่าภูเขาจะถล่มลงมา โดยทางทีมงานบอกว่าจะติดตามเฝ้าสังเกตการณ์ต่อไปอีกระยะ และเชื่อว่าหากฝนตกลงมาในช่วงนี้โอกาสที่ภูเขาที่เกิดการแตกร้าวอยู่แล้วมีโอกาสพังถล่มลงมาทั้งลูกได้ และอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายกับทรัพย์สินของชาวบ้านได้ ซึ่งจะต่างกับในครั้งแรกที่พังลงมาเพียงบางส่วนเท่านั้น
**ชาวสุราษฎร์ผวาจระเข้โผล่
ด้านสถานการณ์น้ำท่วมที่ จ.สุราษฎร์ธานี แม้ว่าหลายพื้นที่ระดับน้ำลดลงบ้างแล้ว โดยเฉพาะในตัวตลาดพุนพินระดับน้ำได้ลดลงประมาณ 50 ซม.ทำให้บริเวณเขตเมืองเทศบาลเมืองท่าข้าม สถานการณ์คลี่คลายลงไปมาก ประชาชนเดินทางสัญจรสะดวกขึ้น และได้ทยอยกลับเข้าบ้านได้บางส่วนแล้ว
ส่วนพื้นที่ลุ่มและพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำตาปี ยังมีน้ำท่วมสูง ประชาชนยังมีความเดือดร้อนยังต้องให้การช่วยเหลือ โดยเฉพาะพื้น ม.1 ต.เขาหัวควาย ม.3 ต.ท่าข้าม ถนนเส้นปากบาง-บางอ้อ ผ่านหน้าโรงไฟฟ้าสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นจุดรับน้ำและที่ลุ่ม ระยะทางประมาณ 20 กม.บ้านเรือนราษฎรประมาณ 1,000 หลังคาเรือน น้ำยังท่วมสูงมิดหลังคาบ้าน ซึ่งชาวบ้านพื้นที่ ม.1 ต.เขาหัวควาย ประมาณ 362 ครัวเรือน ชาวบ้านยังอาศัยอยู่ที่ศูนย์อพยพบนถนนตามจุดต่างๆ โดยบริเวณหน้าโรงไฟฟ้ามีจุดบริการของเจ้าหน้าที่ซึ่งมีกองพันทหารช่างที่ 15 จ.ปัตตานี พร้อมกำลัง 30 นายและอุปกรณ์การช่วยเหลือประชาชนคอยอำนวยความสะดวกบริการประชาชนในเรื่องการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยและชาวบ้านที่ต้องการจะนั่งเรือไปตรวจสอบสภาพตัวเองว่าน้ำลดน้อยแค่ไหน
สำหรับจระเข้ที่มีข่าวหลุดออกมาจากฟาร์มเลี้ยงในพื้นที่นั้น ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม อำเภอพุนพิน ยืนยันว่า มีจระเข้หลุดออกมาจากฟาร์มเลี้ยง แต่ไม่สามารถยืนยันได้ว่า มีจำนวนมากน้อยอย่างไร กำลังตรวจสอบ เพราะผู้เลี้ยงบางราย ไม่ได้แจ้งขึ้นทะเบียนไว้กับทางราชการ โดยจะเร่งติดตามอย่างเร็วที่สุด เพราะชาวบ้านมีความกังวลกันมาก
**ระดมทหารช่างเร่งซ่อมถนน-สะพาน
พล.ต.เดชา กิ่งวงษา รองแม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวว่า ได้เร่งนำกำลังพล โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่จากทหารช่างกว่า 800 นายเข้าพื้นที่เพื่อซ่อมแซมถนนที่เสียหายหลายสาย รวมถึงสะพานที่พังชำรุดในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะที่ อ.นบพิตำ จ.นครศรีธรรมราชที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก โดยเฉพาะสะพานมากกว่า 10 แห่ง ถูกตัดขาดอย่างสิ้นเชิง เบื้องต้นจึงได้เร่งซ่อมแซมพื้นที่ในบางจุดเพื่อให้สามารถเข้าถึงประชาชนในพื้นที่เสี่ยงให้มากที่สุด โดยเฉพาะการเข้าไปให้ความช่วยเหลือผู้ที่ยังอยู่ในพื้นที่เสี่ยง
**ปภ.สรุปท่วมใต้คลี่คลายแล้ว3จังหวัด
นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.)กล่าวถึงสถานการณ์อุทกภัยในภาคใต้ว่า เกิดสถานการณ์ 10 จังหวัด 100 อำเภอ 650 ตำบล 5,318 หมู่บ้าน ได้แก่ จ.นครศรีธรรมราช พัทลุง สุราษฎร์ธานี ตรัง ชุมพร สงขลา กระบี่ พังงา สตูล และ จ.นราธิวาส ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 601,085 ครัวเรือน 2,009,134 คน อพยพประชาชนแล้ว 41,271 คน บ้านเรือนเสียหายทั้งหลัง 34 หลัง บางส่วน 2,721 หลัง ถนนเสียหาย 3,789 สาย ท่อระบายน้ำ 368 แห่ง ฝาย 68 แห่ง สะพาน คอสะพาน 307 แห่ง วัด โรงเรียน 385 แห่ง สถานที่ราชการ 89 แห่ง พื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหาย 1,049,634 ไร่ สัตว์เลี้ยงได้รับผลกระทบ 4,360,518 ตัวทางหลวงแผ่นดินน้ำท่วม 20 สายทาง รวม 22 แห่ง สัญจรผ่านไม่ได้ 20 แห่ง สนามบินนครศรีธรรมราชปิดให้บริการ รถไฟสายใต้ให้บริการถึงสถานีไชยาได้ 2 ขบวน (ขบวนที่ 39,43) และนครศรีธรรมราชถึงสุไหงโกลก บริษัทขนส่งสามารถเปิดให้บริการได้ตามปกติ
นอกจากนี้ มีผู้เสียชีวิต 47 ศพใน 7 จังหวัด ได้แก่ จ.นครศรีธรรมราช 20 ศพ สุราษฎร์ธานี 10 ศพ พัทลุง 2 ศพ กระบี่ 10 ศพ ชุมพร 2 ศพ ตรัง 2 ศพ และพังงา 1 ศพ
ส่วนสถานการณ์อุทกภัยล่าสุด ได้คลี่คลายแล้วอยู่ระหว่างการฟื้นฟู 3 จังหวัด ได้แก่ พังงา นราธิวาส และ สตูล ทั้งนี้ สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดที่ประสบอุทกภัยได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสำรวจความเสียหายพร้อมนำสิ่งของอุปโภค บริโภคไปแจกจ่ายบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ประสบภัยในเบื้องต้นต่อไป
**สธ.เผยยอดผู้เสียชีวิตน้ำท่วมใต้53ศพ
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจเยี่ยมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ที่โรงเรียนวัดน้ำหัก และเยี่ยมให้กำลังใจแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลคีรีรัฐ อ.คีรีรัฐ จ.สุราษฎร์ธานีว่า ขณะนี้สถานการณ์น้ำท่วมและน้ำป่าไหลหลากใน 8 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ จ.ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง ตรัง สงขลา พังงา และกระบี่ เริ่มคลี่คลาย หลายจังหวัดน้ำลดลงเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ ยกเว้น อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี ที่ยังมีน้ำท่วมขังสูง ได้ให้กรมควบคุมโรคและกรมอนามัย สนับสนุนสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดในพื้นที่น้ำท่วม เตรียมแผนฟื้นฟูสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม และการควบคุมพาหะนำโรคเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคต่างๆ จนถึงขณะนี้ยังไม่พบโรคระบาด
สำหรับผู้เสียชีวิตล่าสุดมี 53 ศพ ส่วนใหญ่จมน้ำได้แก่ จ.นครศรีธรรมราช 22 ราย สุราษฎร์ธานี 10 ราย กระบี่ 10 ราย พัทลุง 6 ราย ตรัง 2 ราย ชุมพร 2 ราย และพังงา 1 ราย และสูญหาย 1 คน ชื่อนายสิทธิพร ทองเนียม จ.กระบี่ ในจำนวนนี้เป็นอาสาสมัครสาธารณสุข 1 คน ชื่อนางสมใจ วโรรส อายุ 33 ปี อยู่ที่หมู่ 2 ต.นบพิตำ อ.นบพิตำ จ.นครศรีธรรมราช เบื้องต้นกระทรวงสาธารณสุขจะช่วยเหลือครอบครัว 10,000 บาท
**ยอดบริจาค110 ล้านได้จริง 27 ล้าน
นายวิทเยนทร์ มุตามระ รองผอ.ศูนย์ประสานการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย (ศชอ.) แถลงหลังการประชุมว่า แม้ว่าระดับน้ำลดลงในทุกพื้นที่ แล้วแต่ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดดินโคลนถล่ม เนื่องจากดินบนภูเขายังอุ้มน้ำในปริมาณที่สูง จึงขอเตือนประชาชนที่อยู่บริเวณที่ลาดเชิงเขาในจ.นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ชุมพร ตรัง ที่อพยพออกมาอย่าเพิ่งกลับเข้าพื้นที่ ขณะที่บางอำเภอยังอยู่ในภาวะน้ำล้นตลิ่ง อาทิ จ.สุราษฎร์ธานี อ.พระแสง อ.เคียนซา อ.พุนพิน จ.นครศรีธรรมราช อ.ชะอวด และ จ.ตรัง อ.ปากหมาก แต่คาดว่าใน 1-2 วัน ระดับน้ำจะต่ำกว่าตลิ่ง
สำหรับยอดเงินกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยของรัฐบาล ที่บริจาคผ่านสถานีโทรทัศน์ ช่อง 9 จำนวน 56 ล้านบาท ช่อง 11 จำนวน 18-19 ล้านบาท และช่อง 5 จำนวน 20 ล้านบาท รวมกับเงินบริจาคจากเหตุการณ์ครั้งที่แล้ว เป็นเงิน 110 ล้านบาท แต่ที่มียอดเงินเข้ามาจริงเพียง 27 ล้านบาท ที่เหลือมีการแจ้งความประสงค์ แต่ยังไม่มีการโอนตัวเงินเข้ามา ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อบุคคลต่างๆ ที่แจ้งความจำนงเอาไว้ อย่างไรก็ตาม ถือเป็นเรื่องปกติ ที่จะต้องรอการโอนเงินเข้ามาภายหลังประมาณ 3-4 วัน ไม่ใช่เรื่องของการแจ้งว่าจะบริจาคแล้วเบี้ยวแต่อย่างใด
***"โสภณ"จ่อของบ5พันล้านฟื้นฟูเส้นทางใต้
นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมได้ประเมินความเสียหายจากอุทกภัยภาคใต้ตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค.2554 เป็นต้นมา พบว่า ถนนของกรมทางหลวง (ทล.) กรมทางหลวงชนบท (ทช.) สนามบินนครศรีธรรมราช ของกรมการบินพลเรือน (บพ.) และสภาพชายฝั่ง ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกรมเจ้าท่า คาดว่าต้องใช้งบในการซ่อมแซมและฟื้นฟูประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท ไม่รวมความเสียหายของรางรถไฟอีกประมาณ 500 ล้านบาท โดยจะรวบรวมตัวเลขสรุปเสนอสำนักงบประมาณในวันที่ 7 เม.ย.นี้ เพื่อขอจัดสรรงบประมาณต่อไป โดยเบื้องต้น ทล.และทช.จะปรับงบประมาณที่มีรวม 100 ล้านบาทมาดำเนินการเร่งด่วนฟื้นฟูถนนเพื่อให้สัญจรผ่านได้ก่อน
***เปิดใช้สนามบินนครศรีธรรมราชวันนี้
นายนิสิต สมบัติ ผู้อำนวยการการท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช กล่าวว่า จากการทดสอบระบบการบินและการลงจอด ระบบไฟบนรันเวย์ ระบบไฟฟ้าทุกอย่าง และความแข็งแรงของรันเวย์ โดยเที่ยวบินทดสอบกรมการขนส่งทางอากาศ พบว่า ผ่านเกณฑ์มาตรการความปลอดภัย โดยตั้งแต่ช่วงบ่ายวานนี้ (5 เม.ย.) จะให้เครื่องบินขนาดเล็กน้ำหนักไม่เกิน 10 ตันขึ้นลงได้
และจะเปิดให้เครื่องบินพาณิชย์ลงจอดได้อย่างเป็นทางการได้ตั้งแต่วันนี้ (6 เม.ย.) โดยได้แจ้งไปยังสายการบินนกแอร์, ไทยแอร์เอเชีย และโอเรียนท์ไทย ให้เปิดทำการขายตั๋วได้แล้ว ทั้งนี้ จากการประเมินเบื้องต้นพบว่า อุทกภัยครั้งนี้ ทำให้สนามบินได้รับความเสียหายประมาณ 50 ล้านบาท
***ร.ฟ.ท.เร่งซ่อมทางหลังน้ำลด
ขณะที่การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) แจ้งว่า วานนี้ (5 เม.ย.) สามารถเปิดเดินรถได้เพียง 2 ขบวน เส้นทางกรุงเทพ-สุราษฏร์ธานี คือ ขบวนรถด่วนดีเซลรางที่ 43 และ 39 โดยมีปลายทางที่สถานีไชยา โดยล่าสุดเจ้าหน้าที่ฝ่ายการช่างโยธานำรถหินเข้าพื้นที่ทำการซ่อมทางและลงหินใหญ่และหินเล็ก ช่วงไชยา-ท่าฉางแล้ว นอกจากนี้ พนักงานร.ฟ.ท.ได้ช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ โดยจัดบ้านพักพนักงาน (Running Room) รวมทั้งจัดโบกี้รถชั้น 3 จำนวน 11 คัน ให้ผู้ประสบภัยพักอาศัยบรรเทาความเดือดร้อน
วานนี้ (5 เม.ย.) สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายา ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงมีพระราชประสงค์และพระประสงค์ที่จะทรงร่วมบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ในนามโครงการสายใยรักแห่งครอบครัว ในพระบรมราชูปถัมภ์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เพื่อสบทบทุนในการช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ราษฎรที่ประสบอุทกภัย
ในการนี้ประชาชนที่มีความประสงค์ร่วมบริจาคเป็นเงินสด เช็กเงินสดและสิ่งของ เครื่องอุปโภคบริโภค รวมทั้งสิ่งของจำเป็นในการช่วยเหลือและฟื้นฟูให้ราษฎร บริจาคเข้ากองทุนพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ เพื่อผู้ประสบภัยพิบัติ เลขที่บัญชี 132-454997-9 บัญชีสะสมทรัพย์ ธนาคารกรุงเทพ สาขาบางซื่อ และนำสำเนาหลักฐานการบริจาคชื่อ พร้อมที่อยู่ของผู้บริจาค ส่งที่กองงานพระวรชายา เพื่อการจัดส่งใบรับรองการรับเงินต่อไป
**ฟ้าหญิงฯเสด็จเยี่ยมราษฎรนบพิตำ
เวลา 09.00 น.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินด้วยเฮลิคอปเตอร์ลงยังสนามเฮลิคอปเตอร์ชั่วคราวโรงเรียนนบพิตำ อ.นบพิดำ จ.นครศรีธรรมราช โดยเสด็จฯ เข้าเยี่ยมเยียนประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากเหตุการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในพื้นที่ อ.นบพิตำท่ามกลางข้าราชการทุกระดับชั้น และประชาชนจำนวนมากที่รอเฝ้ารับเสด็จฯ
พร้อมกันนั้น ยังพระราชทานหน่วยแพทย์ พอ.ศว.เข้ารักษาอาการเจ็บป่วยของประชาชน และพระราชทานถุงยังชีพแก่ประชาชน 500 ชุด และพระราชทานของเด็กเล่นแก่เด็กที่ศูนย์อพยพโรงเรียนนบพิตำ ก่อนที่จะทรงมีพระปฏิสัณฐานถึงความเป็นอยู่ความเดือดร้อนแก่ประชาชนในศูนย์อพยพอย่างไม่ถือพระองค์ พร้อมทั้งพระราชทานกำลังใจแก่ประชาชนท่ามกลางความปลื้มปิติและน้ำตาของพสกนิกรอย่างหาที่สุดมิได้
**"ในหลวง-ราชินี"ทรงเป็นห่วงมาก
นายธีระ มินทราศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เปิดเผยภายหลังว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ฯ ทรงห่วงในพสกนิกรอย่างมาก และทรงมีพระปฏิสัณฐานเล่าว่า เมื่อปี 2531 นครศรีธรรมราช เกิดภัยแบบนี้มาแล้ว ครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเสด็จพระราชดำเนินมาเยี่มประชาชน มาวันนี้เป็นความห่วงใยอย่างมาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระราชินี ทรงให้มาดูแลเยี่ยมให้กำลังใจขอให้มีกำลังกายที่เข้มแข็ง กำลังใจที่แกร่งให้มาก ท่ามกลางความปิติของบรรดาข้าราชบริพาร และประชาชนที่เฝ้าฯ
นอกจากนั้น พระเจ้าลูกเธอฯ ยังทรงพระราชทานหน่วยแพทย์ พอ.ศว.เข้าดูแลรักษาอาการเจ็บป่วยของประชาชน ซึ่งได้คัดกรองตามอาการเจ็บป่วย พิการมอบให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) นครศรีธรรมราช รับไปดูแลตามขั้นตอน
**เสด็จฯเยี่ยมผู้ประสบภัยที่สุราษฎร์ฯ
ต่อมาเวลา 13.00 น.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินโดยเฮลิคอปเตอร์มายังสนามโรงพยาบาลสวนสราญรมย์ เยี่ยมผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่ศูนย์อพยพโรงพยาบาลสวนสราญรมย์ อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี มีนายธีระยุทธ เอี่ยมตระกูล ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี นายมนตรี เพชรขุ้ม นายก อบจ.สุราษฎร์ธานี นายทศพล งานไพโรจน์ นายกเทศมนตรีเมืองท่าข้ามและข้าราชการระดับผู้ใหญ่ในจังหวัดสุราษฎร์ธานีเฝ้ารับเสด็จ โดยมีประชาชนเฝ้ารับเสด็จกว่า 1,000 คน
โอกาสนี้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงมอบถุงยังชีพพระราชทาน 500 ชุด มอบของเล่นให้แก่ลูกหลานผู้ประสบภัย และตรัสถามความเป็นอยู่ เยี่ยมอาการเจ็บป่วยของผู้ป่วย ท่ามกลางน้ำตาและความปลาบปลื้มของพสกนิกร
จากนั้นทรงตรัสกับพสกนิกรที่มาเฝ้ารับเสด็จว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงห่วงใยพสกนิกรที่ประสบภัยใน จ.สุราษฎร์ธานี และภาคใต้ ทรงรับสั่งให้ข้าพเจ้ามาดูแล ข้าพเจ้ามาครั้งนี้มาด้วยความรัก ความห่วงใยประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม แม้สุขภาพจะไม่แข็งแรง แต่มาด้วยความเป็นห่วง มาดูแลทุกข์สุขของราษฎร
**"พระเทพฯ"พระราชทานสิ่งของช่วย
วันเดียวกันเวลา 09.00 น.ที่วัดสุวรรณธาราราม หมู่ที่ 2 ต.สวนแตง อ.ละแม จ.ชุมพร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พล.อ.เจษฏา ศรีสุภาพ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ กรมราชองครักษ์ เดินทางไปสำรวจข้อมูลเพื่อให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น และมอบสิ่งของพระราชทานแก่ราษฏรผู้ประสบอุทกภัย ในพื้นที่ ต.สวนแตง อ.แม จ.ชุมพร โดยมีนายธวัชชัย วิสมล นายอำเภอละแม ข้าชการ ตำรวจ และชาวบ้านจำนวน 240 คน จาก ต.สวนแตง เดินทางมารับมอบสิ่งของพระราชทาน หลังจากนั้นคณะของ พล.อ.เจษฏา ได้เดินทางลงเยี่ยมชาวบ้านในพื้นที่ที่ประสบอุกภัย และรับทราบปัญหาของชาวบ้านเพื่อนำไปกราบบังคมทูลฯแด่สมเด็จพระเทพฯเพื่อหาทางช่วยเหลือในลำดับต่อไป
ทั้งนี้ สถานการณ์อุทกภัยจังหวัดชุมพร มีพื้นที่เสียหายรวม 8 อำเภอ 63 ตำบล 567 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 65,671 คน 22,481 ครัวเรือน มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์น้ำท่วมแล้ว 2 คน มูลค่าความเสียหายคาดว่ามากกว่า 50 ล้านบาท
***กรมเจ้าท่านำเรือพระราชทานช่วย
นายถวัลย์รัฐ อ่อนศิระ อธิบดีกรมเจ้าท่า กล่าวว่า กรมเจ้าท่าได้นำเรือท้องแบนพระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จำนวน 10 ลำ ออกไปให้การช่วยเหลือและนำสิ่งของแจกจ่ายประชาชนผู้ประสบภัยในพื้นที่ภาคใต้ ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และตรัง ตั้งแต่วันที่ 29 มี.ค. เป็นต้นมา โดยร่วมกับสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น และมีผู้แทนพระองค์ นำสิ่งของพระราชทานแจกจ่ายประชาชนผู้ประสบภัย นอกจากนี้ ยังออกประกาศให้เจ้าหน้าที่ระมัดระวังการเดินเรือ พร้อมสั่งการให้เฝ้าติดตามรายงานสถานการณ์ระดับน้ำ และให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย ทั้งด้านกำลังคน เรือ และอุปกรณ์ต่างๆ อย่างเร่งด่วน
**"ในหลวง”พระราชทานเงินซื้อน้ำดื่มให้กระบี่
ส่วนที่ศาลากลางจังหวัดกระบี่ นายประสิทธิ์ โอสถานนท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ เป็นประธานในพิธีรับมอบเงินพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 1 แสนบาทที่พระราชทานให้ จ.กระบี่ นำไปจัดซื้อน้ำดื่ม 25,000 ขวด สำหรับนำไปแจกจ่ายแก่ราษฎรที่ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่ให้ได้ดื่มน้ำที่สะอาด จากนั้นนายประสิทธิ์ ได้มอบต่อให้แก่นายเถลิงศักดิ์ ภูวญาณพงศ์ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดกระบี่ เพื่อนำไปมอบต่อให้ชาวบ้านในพื้นที่ประสบภัย
นายประสิทธิ์กล่าวว่า สำหรับบ้านเรือนของประชาชนที่ได้รับความเสียหายทั้งหลังมีประมาณ 100 กว่าหลัง ซึ่งถือว่าเป็นอุบัติภัยที่รุนแรงอย่างมาก และยังมีบ้านเรือนเสียหายบางส่วนอีกกว่า 1,000 หลัง ส่วนแนวทางทางการช่วยเหลือ เบื้องต้นจะจัดหาที่พักพิงซึ่งมีศูนย์อพยพตามจุดต่างๆ หลังจากนั้นจะหาบ้านให้กับผู้ประสบภัยอาศัย ซึ่งทางสำนักโยธาธิการและผังเมืองกำลังออกแบบอยู่ อย่างไรก็ตาม ในจุดเสี่ยงที่ไม่สามารถให้เข้าอยู่อาศัยได้ก็ต้องจัดหาสถานที่ใหม่ ซึ่งขณะนี้กำลังหารือกันอยู่
**รัฐมนตรีลงใต้เจ้าหน้าที่ไม่เป็นอันทำงาน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่มีรัฐมนตรีเดินทางมาตรวจเยี่ยมน้ำท่วม เช่น นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตร ลงพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง และอ.สิชล และมีรายงานว่า นายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฐ์ รมว.สาธารณสุข ลงพื้นที่ อ.นบพิตำ และคณะสุดท้าย คือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ลงพื้นที่ อ.สิชล และ อ.นบพิตำ ได้ทำให้ข้าราชการระดับสูงต้องมารอคอยต้อนรับ และไม่มีเวลาไปให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนที่ประสบภัย
**"สุเทพ"สั่งเร่งสำรวจความเสียหายกระบี่
เวลา 11.10 น.นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง พร้อมนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์ ลงที่โรงเรียนเขาพนมเบญจา เทศบาลเขาพนม จ.กระบี่ พร้อมรับฟังปัญหาในพื้นที่ในภาพรวม โดยมีนายประสิทธิ์ โอสถานนท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ รายงานความเสียหายในพื้นที่
จากนั้นนายสุเทพ พร้อมด้วยคณะ ลงพื้นที่ประสบภัยดินถล่ม ที่บ้านต้นหาร ม.7 ต.หน้าเขา อ.เขาพนม เพื่อสำรวจความเสียหายหลังประสบภัยดินโคลนถล่ม เมื่อวันที่ 29 ม.ค.ที่ผ่านมา ระหว่างที่เดินสำรวจได้มีนายอาคเนย์ ทองเนียม อายุ 33 ปีได้เข้ามาดักรอนายสุเทพ เพื่อขอให้ช่วยค้นหาญาติที่สุญหายอีก 2 คน คือ นายสิทธิพร พี่ชาย และนางปิยนาถ พี่สะใภ้ ขณะที่นายสุเทพ ยืนยันว่าจะไม่มีการยกเลิกภารกิจ จนกว่าจะพบ หรือจนกว่าทางญาติจะพอใจ พร้อมมอบเงินเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตทั้ง 10 ศพ
นอกจากนี้ นายสุเทพ ยังกำชับหน่วยงานในพื้นที่เร่งสำรวจข้อมูลความเสียหาย ผู้ประสบภัย ทรัพย์สินประชาชนให้ทั่วทุกพื้นที่ ตลอดจนส่งข้อมูลความเสียหาย ให้รัดกุม ความช่วยเหลือในเบื้องต้นให้ครอบคลุม โดยเฉพาะในเรื่องของบ้านพักของผู้ประสบภัย ให้แต่ละหน่วยงานเร่ง สำรวจจำนวนความเสียหายให้ชัดเจน หากพื้นที่ใดยังขาดอยู่ ทางรัฐบาลจะได้สนับสนุน เนื่องจาก มีหลายหน่วยงานเข้ามาช่วยเหลือ อาจเกิดความซ้ำซ้อน แม้ขณะนี้สถานการณ์น้ำท่วมเริ่มคลี่คลาย แต่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมตลอดเวลา และให้ประชาชนเชื่อฟังคำเตือนของหน่วยงานของรัฐ เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
**ชาวบ้านกระบี่ยังผวาภูเขาถล่ม
ผู้สื่อข่าวเดินทางไปตรวจสอบภูเขาถล่ม ม.1 ต.หนองทะเล อ.เมือง จ.กระบี่ หลังจากได้รับการประสานจากชาวลบ้านในพื้นที่โดยเหตุการณ์ภูเขาถล่มครั้งนี้เกิดขึ้น เมื่อเวลา 20.00 น.วันที่ 4 เม.ย.ที่ผ่านมา เมื่อไปถึงพบว่าบนถนนสายหนองทะเล-กระบี่มีไทยมุงจำนวนมากกำลังยืนมองดูบนยอดภูเขาหนองทะเล หรือภูเขาขาไก่ ที่เกิดรอยแยกเป็นทางยาว จากยอดเขาลงมาส่วนล่าง เป็นทางยาวประมาณ 50 เมตร
นอกจากนี้ ภูเขาลูกดังกล่าวยังอยู่ใกล้กับชุมชนและอยู่ห่างจากโรงเรียนบ้านหนองทะเล ประมาณ 300 เมตร ส่วนชาวบ้านที่อยู่อาศัยในบริเวณดังกล่าวประมาณ 20 ครัวเรือนได้ปิดประตูบ้านเงียบขนย้ายข้าวของที่จำเป็นอพยพไปอยู่ที่ปลอดภัย โดยไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ
นายเลาะ สาระวารี ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าวเล่าว่า เมื่อช่วงกลางคืนได้มีเสียงคำรามออกมาจากภูเขา คล้ายกับเสียงรอยหินเคลื่อนตัวพร้อมๆ กับวันที่ภูเขาพนมเบญจาถล่มบ้านต้นหาร ม.7 ต.หน้าเขา อ.เขาพนม และได้มีเสียงดังเรื่อยมาจนเกิดเหตุภูเขาถล่มขึ้นในวันนี้ ซึ่งสร้างความหวาดกลัวให้กับชาวบ้านที่อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุเป็นอย่างมาก เนื่องจากภูเขาลูกนี้อยู่ใกล้ชุมชน หากภูเขาพังลงมาทั้งลูกเชื่อว่าจะทำให้เกิดความเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินชาวบ้านเป็นวงกว้างอย่างแน่นอน
ต่อมาทางสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารภัยจังหวัดกระบี่ ได้ส่งทีมเฝ้าระวัง เข้ามาในพื้นที่เพื่อติดตามเฝ้าสังเกตการณ์ความผิดปกติของภูเขาหนองทะเลอย่างใกล้ชิด แต่หลังจากเวลาผ่านไปประมาณ 3 ชั่วโมงก็ยังไม่พบความผิดปกติว่าภูเขาจะถล่มลงมา โดยทางทีมงานบอกว่าจะติดตามเฝ้าสังเกตการณ์ต่อไปอีกระยะ และเชื่อว่าหากฝนตกลงมาในช่วงนี้โอกาสที่ภูเขาที่เกิดการแตกร้าวอยู่แล้วมีโอกาสพังถล่มลงมาทั้งลูกได้ และอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายกับทรัพย์สินของชาวบ้านได้ ซึ่งจะต่างกับในครั้งแรกที่พังลงมาเพียงบางส่วนเท่านั้น
**ชาวสุราษฎร์ผวาจระเข้โผล่
ด้านสถานการณ์น้ำท่วมที่ จ.สุราษฎร์ธานี แม้ว่าหลายพื้นที่ระดับน้ำลดลงบ้างแล้ว โดยเฉพาะในตัวตลาดพุนพินระดับน้ำได้ลดลงประมาณ 50 ซม.ทำให้บริเวณเขตเมืองเทศบาลเมืองท่าข้าม สถานการณ์คลี่คลายลงไปมาก ประชาชนเดินทางสัญจรสะดวกขึ้น และได้ทยอยกลับเข้าบ้านได้บางส่วนแล้ว
ส่วนพื้นที่ลุ่มและพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำตาปี ยังมีน้ำท่วมสูง ประชาชนยังมีความเดือดร้อนยังต้องให้การช่วยเหลือ โดยเฉพาะพื้น ม.1 ต.เขาหัวควาย ม.3 ต.ท่าข้าม ถนนเส้นปากบาง-บางอ้อ ผ่านหน้าโรงไฟฟ้าสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นจุดรับน้ำและที่ลุ่ม ระยะทางประมาณ 20 กม.บ้านเรือนราษฎรประมาณ 1,000 หลังคาเรือน น้ำยังท่วมสูงมิดหลังคาบ้าน ซึ่งชาวบ้านพื้นที่ ม.1 ต.เขาหัวควาย ประมาณ 362 ครัวเรือน ชาวบ้านยังอาศัยอยู่ที่ศูนย์อพยพบนถนนตามจุดต่างๆ โดยบริเวณหน้าโรงไฟฟ้ามีจุดบริการของเจ้าหน้าที่ซึ่งมีกองพันทหารช่างที่ 15 จ.ปัตตานี พร้อมกำลัง 30 นายและอุปกรณ์การช่วยเหลือประชาชนคอยอำนวยความสะดวกบริการประชาชนในเรื่องการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยและชาวบ้านที่ต้องการจะนั่งเรือไปตรวจสอบสภาพตัวเองว่าน้ำลดน้อยแค่ไหน
สำหรับจระเข้ที่มีข่าวหลุดออกมาจากฟาร์มเลี้ยงในพื้นที่นั้น ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม อำเภอพุนพิน ยืนยันว่า มีจระเข้หลุดออกมาจากฟาร์มเลี้ยง แต่ไม่สามารถยืนยันได้ว่า มีจำนวนมากน้อยอย่างไร กำลังตรวจสอบ เพราะผู้เลี้ยงบางราย ไม่ได้แจ้งขึ้นทะเบียนไว้กับทางราชการ โดยจะเร่งติดตามอย่างเร็วที่สุด เพราะชาวบ้านมีความกังวลกันมาก
**ระดมทหารช่างเร่งซ่อมถนน-สะพาน
พล.ต.เดชา กิ่งวงษา รองแม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวว่า ได้เร่งนำกำลังพล โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่จากทหารช่างกว่า 800 นายเข้าพื้นที่เพื่อซ่อมแซมถนนที่เสียหายหลายสาย รวมถึงสะพานที่พังชำรุดในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะที่ อ.นบพิตำ จ.นครศรีธรรมราชที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก โดยเฉพาะสะพานมากกว่า 10 แห่ง ถูกตัดขาดอย่างสิ้นเชิง เบื้องต้นจึงได้เร่งซ่อมแซมพื้นที่ในบางจุดเพื่อให้สามารถเข้าถึงประชาชนในพื้นที่เสี่ยงให้มากที่สุด โดยเฉพาะการเข้าไปให้ความช่วยเหลือผู้ที่ยังอยู่ในพื้นที่เสี่ยง
**ปภ.สรุปท่วมใต้คลี่คลายแล้ว3จังหวัด
นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.)กล่าวถึงสถานการณ์อุทกภัยในภาคใต้ว่า เกิดสถานการณ์ 10 จังหวัด 100 อำเภอ 650 ตำบล 5,318 หมู่บ้าน ได้แก่ จ.นครศรีธรรมราช พัทลุง สุราษฎร์ธานี ตรัง ชุมพร สงขลา กระบี่ พังงา สตูล และ จ.นราธิวาส ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 601,085 ครัวเรือน 2,009,134 คน อพยพประชาชนแล้ว 41,271 คน บ้านเรือนเสียหายทั้งหลัง 34 หลัง บางส่วน 2,721 หลัง ถนนเสียหาย 3,789 สาย ท่อระบายน้ำ 368 แห่ง ฝาย 68 แห่ง สะพาน คอสะพาน 307 แห่ง วัด โรงเรียน 385 แห่ง สถานที่ราชการ 89 แห่ง พื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหาย 1,049,634 ไร่ สัตว์เลี้ยงได้รับผลกระทบ 4,360,518 ตัวทางหลวงแผ่นดินน้ำท่วม 20 สายทาง รวม 22 แห่ง สัญจรผ่านไม่ได้ 20 แห่ง สนามบินนครศรีธรรมราชปิดให้บริการ รถไฟสายใต้ให้บริการถึงสถานีไชยาได้ 2 ขบวน (ขบวนที่ 39,43) และนครศรีธรรมราชถึงสุไหงโกลก บริษัทขนส่งสามารถเปิดให้บริการได้ตามปกติ
นอกจากนี้ มีผู้เสียชีวิต 47 ศพใน 7 จังหวัด ได้แก่ จ.นครศรีธรรมราช 20 ศพ สุราษฎร์ธานี 10 ศพ พัทลุง 2 ศพ กระบี่ 10 ศพ ชุมพร 2 ศพ ตรัง 2 ศพ และพังงา 1 ศพ
ส่วนสถานการณ์อุทกภัยล่าสุด ได้คลี่คลายแล้วอยู่ระหว่างการฟื้นฟู 3 จังหวัด ได้แก่ พังงา นราธิวาส และ สตูล ทั้งนี้ สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดที่ประสบอุทกภัยได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสำรวจความเสียหายพร้อมนำสิ่งของอุปโภค บริโภคไปแจกจ่ายบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ประสบภัยในเบื้องต้นต่อไป
**สธ.เผยยอดผู้เสียชีวิตน้ำท่วมใต้53ศพ
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจเยี่ยมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ที่โรงเรียนวัดน้ำหัก และเยี่ยมให้กำลังใจแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลคีรีรัฐ อ.คีรีรัฐ จ.สุราษฎร์ธานีว่า ขณะนี้สถานการณ์น้ำท่วมและน้ำป่าไหลหลากใน 8 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ จ.ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง ตรัง สงขลา พังงา และกระบี่ เริ่มคลี่คลาย หลายจังหวัดน้ำลดลงเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ ยกเว้น อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี ที่ยังมีน้ำท่วมขังสูง ได้ให้กรมควบคุมโรคและกรมอนามัย สนับสนุนสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดในพื้นที่น้ำท่วม เตรียมแผนฟื้นฟูสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม และการควบคุมพาหะนำโรคเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคต่างๆ จนถึงขณะนี้ยังไม่พบโรคระบาด
สำหรับผู้เสียชีวิตล่าสุดมี 53 ศพ ส่วนใหญ่จมน้ำได้แก่ จ.นครศรีธรรมราช 22 ราย สุราษฎร์ธานี 10 ราย กระบี่ 10 ราย พัทลุง 6 ราย ตรัง 2 ราย ชุมพร 2 ราย และพังงา 1 ราย และสูญหาย 1 คน ชื่อนายสิทธิพร ทองเนียม จ.กระบี่ ในจำนวนนี้เป็นอาสาสมัครสาธารณสุข 1 คน ชื่อนางสมใจ วโรรส อายุ 33 ปี อยู่ที่หมู่ 2 ต.นบพิตำ อ.นบพิตำ จ.นครศรีธรรมราช เบื้องต้นกระทรวงสาธารณสุขจะช่วยเหลือครอบครัว 10,000 บาท
**ยอดบริจาค110 ล้านได้จริง 27 ล้าน
นายวิทเยนทร์ มุตามระ รองผอ.ศูนย์ประสานการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย (ศชอ.) แถลงหลังการประชุมว่า แม้ว่าระดับน้ำลดลงในทุกพื้นที่ แล้วแต่ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดดินโคลนถล่ม เนื่องจากดินบนภูเขายังอุ้มน้ำในปริมาณที่สูง จึงขอเตือนประชาชนที่อยู่บริเวณที่ลาดเชิงเขาในจ.นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ชุมพร ตรัง ที่อพยพออกมาอย่าเพิ่งกลับเข้าพื้นที่ ขณะที่บางอำเภอยังอยู่ในภาวะน้ำล้นตลิ่ง อาทิ จ.สุราษฎร์ธานี อ.พระแสง อ.เคียนซา อ.พุนพิน จ.นครศรีธรรมราช อ.ชะอวด และ จ.ตรัง อ.ปากหมาก แต่คาดว่าใน 1-2 วัน ระดับน้ำจะต่ำกว่าตลิ่ง
สำหรับยอดเงินกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยของรัฐบาล ที่บริจาคผ่านสถานีโทรทัศน์ ช่อง 9 จำนวน 56 ล้านบาท ช่อง 11 จำนวน 18-19 ล้านบาท และช่อง 5 จำนวน 20 ล้านบาท รวมกับเงินบริจาคจากเหตุการณ์ครั้งที่แล้ว เป็นเงิน 110 ล้านบาท แต่ที่มียอดเงินเข้ามาจริงเพียง 27 ล้านบาท ที่เหลือมีการแจ้งความประสงค์ แต่ยังไม่มีการโอนตัวเงินเข้ามา ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อบุคคลต่างๆ ที่แจ้งความจำนงเอาไว้ อย่างไรก็ตาม ถือเป็นเรื่องปกติ ที่จะต้องรอการโอนเงินเข้ามาภายหลังประมาณ 3-4 วัน ไม่ใช่เรื่องของการแจ้งว่าจะบริจาคแล้วเบี้ยวแต่อย่างใด
***"โสภณ"จ่อของบ5พันล้านฟื้นฟูเส้นทางใต้
นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมได้ประเมินความเสียหายจากอุทกภัยภาคใต้ตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค.2554 เป็นต้นมา พบว่า ถนนของกรมทางหลวง (ทล.) กรมทางหลวงชนบท (ทช.) สนามบินนครศรีธรรมราช ของกรมการบินพลเรือน (บพ.) และสภาพชายฝั่ง ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกรมเจ้าท่า คาดว่าต้องใช้งบในการซ่อมแซมและฟื้นฟูประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท ไม่รวมความเสียหายของรางรถไฟอีกประมาณ 500 ล้านบาท โดยจะรวบรวมตัวเลขสรุปเสนอสำนักงบประมาณในวันที่ 7 เม.ย.นี้ เพื่อขอจัดสรรงบประมาณต่อไป โดยเบื้องต้น ทล.และทช.จะปรับงบประมาณที่มีรวม 100 ล้านบาทมาดำเนินการเร่งด่วนฟื้นฟูถนนเพื่อให้สัญจรผ่านได้ก่อน
***เปิดใช้สนามบินนครศรีธรรมราชวันนี้
นายนิสิต สมบัติ ผู้อำนวยการการท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช กล่าวว่า จากการทดสอบระบบการบินและการลงจอด ระบบไฟบนรันเวย์ ระบบไฟฟ้าทุกอย่าง และความแข็งแรงของรันเวย์ โดยเที่ยวบินทดสอบกรมการขนส่งทางอากาศ พบว่า ผ่านเกณฑ์มาตรการความปลอดภัย โดยตั้งแต่ช่วงบ่ายวานนี้ (5 เม.ย.) จะให้เครื่องบินขนาดเล็กน้ำหนักไม่เกิน 10 ตันขึ้นลงได้
และจะเปิดให้เครื่องบินพาณิชย์ลงจอดได้อย่างเป็นทางการได้ตั้งแต่วันนี้ (6 เม.ย.) โดยได้แจ้งไปยังสายการบินนกแอร์, ไทยแอร์เอเชีย และโอเรียนท์ไทย ให้เปิดทำการขายตั๋วได้แล้ว ทั้งนี้ จากการประเมินเบื้องต้นพบว่า อุทกภัยครั้งนี้ ทำให้สนามบินได้รับความเสียหายประมาณ 50 ล้านบาท
***ร.ฟ.ท.เร่งซ่อมทางหลังน้ำลด
ขณะที่การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) แจ้งว่า วานนี้ (5 เม.ย.) สามารถเปิดเดินรถได้เพียง 2 ขบวน เส้นทางกรุงเทพ-สุราษฏร์ธานี คือ ขบวนรถด่วนดีเซลรางที่ 43 และ 39 โดยมีปลายทางที่สถานีไชยา โดยล่าสุดเจ้าหน้าที่ฝ่ายการช่างโยธานำรถหินเข้าพื้นที่ทำการซ่อมทางและลงหินใหญ่และหินเล็ก ช่วงไชยา-ท่าฉางแล้ว นอกจากนี้ พนักงานร.ฟ.ท.ได้ช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ โดยจัดบ้านพักพนักงาน (Running Room) รวมทั้งจัดโบกี้รถชั้น 3 จำนวน 11 คัน ให้ผู้ประสบภัยพักอาศัยบรรเทาความเดือดร้อน