ASTVผู้จัดการรายวัน-ม.หอการค้าไทย คาดส่งออกปีนี้โต 15% สูงกว่าเป้าเดิมที่ตั้งไว้ 10-13% และสูงกว่าเป้าพาณิชย์ที่ 12% เหตุเศรษฐกิจตลาดสำคัญขยายตัวดีขึ้น ทำให้มีความต้องการสินค้าเพิ่มมากขึ้น
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า การส่งออกในปีนี้มีโอกาสขยายตัวได้มากถึง 15% จากเดิมที่คาดการณ์ว่าจะขยายตัวอยู่ในกรอบ 10-13% ซึ่งดูได้จากยอดการส่งออกในช่วง 2 เดือนแรกที่การส่งออกยังขยายตัวได้ดี ประกอบกับตลาดสำคัญๆ ของไทย เช่น สหรัฐฯ สหภาพยุโรป (อียู) ญี่ปุ่น จีน และอาเซียน มีเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้นตามลำดับ ทำให้มีความต้องการสินค้าเพิ่มขึ้น และคาดว่าปีนี้การส่งออกจะทำสถิติสูงสุดอีกครั้ง ขณะที่เศรษฐกิจไทยปีนี้คาดว่าจะขยายตัวได้ในระดับ 4-5%
ทั้งนี้ เมื่อประเมินเป็นรายตลาด พบว่า สหรัฐฯ เศรษฐกิจเริ่มกลับมาขยายตัวได้ดีอีกครั้ง โดยรัฐบาลสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะยกเลิกการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (คิวอี 2) ก่อนกำหนด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวได้ด้วยตัวเอง รวมทั้งธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังส่งสัญญาณจะขึ้นดอกเบี้ยในไม่ช้า เนื่องจากอัตราการว่างงานของประชากรในประเทศมีน้อยลง จึงคาดว่ากำลังซื้อของสหรัฐฯ จะกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโลกในไม่ช้า
ตลาดอียู ปัญหาหนี้สาธารณะเริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดี โดยมีประเทศที่มีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจคอยพยุงอยู่ เช่น เยอรมนี ฝรั่งเศส ส่งผลให้ค่าเงินยูโรอยู่ในระดับที่แข็งค่าขึ้น เพราะโดยพื้นฐานแล้วเศรษฐกิจอียูมีพื้นฐานที่ดี กำลังซื้อก็จะกลับมาเช่นเดียวกัน
ตลาดจีน ปีนี้เศรษฐกิจจีนคาดว่าจะขยายตัวอยู่ที่ระดับ 9-9.5% แม้ว่ารัฐบาลจีนจะมีมาตรการออกมาหลายอย่าง เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ หรือการเกิดฟองสบู่ แต่เศรษฐกิจจีนก็ยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ตามที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งกำลังซื้อของตลาดจีนก็มีมากอยู่แล้ว
ตลาดญี่ปุ่น เศรษฐกิจญี่ปุ่นน่าจะมีสัญญาณการชะลอตัวลง 0.5-0.6% ซึ่งเป็นผลจากเหตุการณ์สึนามิ และแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นทั้งปีน่าจะขยายตัวได้อยู่ที่ระดับ 1-1.3% โดยเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งปีหลัง จากการเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจและฟื้นฟูประเทศ รวมถึงความต้องการสินค้าบางประเภทของญี่ปุ่นจะส่งผลดีต่อการส่งออกของไทย
ตลาดอาเซียน คาดว่าจะยังขยายตัวได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นผลมาจากการเปิดเสรีการค้าสินค้า ซึ่งเป็นช่องทางให้ผู้ส่งออกไทยเข้าไปเพิ่มสัดส่วนตลาดในตลาดอาเซียนได้เพิ่มมากขึ้น
สำหรับปัญหาอัตราแลกเปลี่ยน เชื่อว่าในครึ่งปีหลัง ค่าเงินบาทน่าจะปรับตัวแข็งค่าอยู่ที่ระดับ 29.50 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการ และเชื่อว่าผู้ประกอบการจะเริ่มปรับตัวได้ ส่วนปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบทั้งด้านการเกษตร และสินค้าประมง ที่เกิดจากภัยธรรมชาติจะไม่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อการส่งออก
ก่อนหน้านี้ นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้มีการปรับเป้าหมายการส่งออกใหม่ เพิ่มจาก 10% เป็น 12% โดยมีมูลค่าการส่งออก 2.19 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากประเมินว่าแนวโน้มตลาดหลักๆ ของไทยจะมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น และมีความต้องการนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้น
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า การส่งออกในปีนี้มีโอกาสขยายตัวได้มากถึง 15% จากเดิมที่คาดการณ์ว่าจะขยายตัวอยู่ในกรอบ 10-13% ซึ่งดูได้จากยอดการส่งออกในช่วง 2 เดือนแรกที่การส่งออกยังขยายตัวได้ดี ประกอบกับตลาดสำคัญๆ ของไทย เช่น สหรัฐฯ สหภาพยุโรป (อียู) ญี่ปุ่น จีน และอาเซียน มีเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้นตามลำดับ ทำให้มีความต้องการสินค้าเพิ่มขึ้น และคาดว่าปีนี้การส่งออกจะทำสถิติสูงสุดอีกครั้ง ขณะที่เศรษฐกิจไทยปีนี้คาดว่าจะขยายตัวได้ในระดับ 4-5%
ทั้งนี้ เมื่อประเมินเป็นรายตลาด พบว่า สหรัฐฯ เศรษฐกิจเริ่มกลับมาขยายตัวได้ดีอีกครั้ง โดยรัฐบาลสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะยกเลิกการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (คิวอี 2) ก่อนกำหนด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวได้ด้วยตัวเอง รวมทั้งธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังส่งสัญญาณจะขึ้นดอกเบี้ยในไม่ช้า เนื่องจากอัตราการว่างงานของประชากรในประเทศมีน้อยลง จึงคาดว่ากำลังซื้อของสหรัฐฯ จะกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโลกในไม่ช้า
ตลาดอียู ปัญหาหนี้สาธารณะเริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดี โดยมีประเทศที่มีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจคอยพยุงอยู่ เช่น เยอรมนี ฝรั่งเศส ส่งผลให้ค่าเงินยูโรอยู่ในระดับที่แข็งค่าขึ้น เพราะโดยพื้นฐานแล้วเศรษฐกิจอียูมีพื้นฐานที่ดี กำลังซื้อก็จะกลับมาเช่นเดียวกัน
ตลาดจีน ปีนี้เศรษฐกิจจีนคาดว่าจะขยายตัวอยู่ที่ระดับ 9-9.5% แม้ว่ารัฐบาลจีนจะมีมาตรการออกมาหลายอย่าง เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ หรือการเกิดฟองสบู่ แต่เศรษฐกิจจีนก็ยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ตามที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งกำลังซื้อของตลาดจีนก็มีมากอยู่แล้ว
ตลาดญี่ปุ่น เศรษฐกิจญี่ปุ่นน่าจะมีสัญญาณการชะลอตัวลง 0.5-0.6% ซึ่งเป็นผลจากเหตุการณ์สึนามิ และแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นทั้งปีน่าจะขยายตัวได้อยู่ที่ระดับ 1-1.3% โดยเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งปีหลัง จากการเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจและฟื้นฟูประเทศ รวมถึงความต้องการสินค้าบางประเภทของญี่ปุ่นจะส่งผลดีต่อการส่งออกของไทย
ตลาดอาเซียน คาดว่าจะยังขยายตัวได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นผลมาจากการเปิดเสรีการค้าสินค้า ซึ่งเป็นช่องทางให้ผู้ส่งออกไทยเข้าไปเพิ่มสัดส่วนตลาดในตลาดอาเซียนได้เพิ่มมากขึ้น
สำหรับปัญหาอัตราแลกเปลี่ยน เชื่อว่าในครึ่งปีหลัง ค่าเงินบาทน่าจะปรับตัวแข็งค่าอยู่ที่ระดับ 29.50 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการ และเชื่อว่าผู้ประกอบการจะเริ่มปรับตัวได้ ส่วนปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบทั้งด้านการเกษตร และสินค้าประมง ที่เกิดจากภัยธรรมชาติจะไม่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อการส่งออก
ก่อนหน้านี้ นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้มีการปรับเป้าหมายการส่งออกใหม่ เพิ่มจาก 10% เป็น 12% โดยมีมูลค่าการส่งออก 2.19 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากประเมินว่าแนวโน้มตลาดหลักๆ ของไทยจะมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น และมีความต้องการนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้น