พระเจ้าอู่ทอง (รามาธิบดีที่ 1) ได้สถาปนาพระนครกรุงศรีอยุธยาขึ้นเมื่อ พ.ศ.1893 ในขณะที่ไม่มีใครทราบที่มาของพระองค์ว่าจะมาจากที่ใด นักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อว่าพระเจ้าอู่ทองน่าจะมีอาชีพเป็นพ่อค้า เชื้อสายชาวจีนที่ร่ำรวย และคุมอำนาจเศรษฐกิจในบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา
โดยที่บิดาต้องการให้ลูกมีอำนาจทางการเมืองด้วย จึงพยายามสร้างความสัมพันธ์ โดยการแต่งงานกับพระธิดาเจ้าเมืองของรัฐลาวไทในบริเวณนั้น อย่างเช่น เมืองสุพรรณบุรี สุโขทัย ลวะปุระ เป็นต้น
บริเวณที่ตั้งของกรุงศรีอยุธยา
อำนาจทางตะวันตก คือ ลวะปุรี (ละโว้) อันมีเมืองยโสธรปุระซึ่งมีชาวเขมรหนุนหลัง
อำนาจทางตอนใต้ คือ เพชรบุรี นครศรีธรรมราช
อำนาจทางตอนเหนือ คือ สุโขทัยและสุพรรณบุรี
แม้สุพรรณบุรี สุโขทัย และนครศรีธรรมราชจะเป็นรัฐลาวไทที่มีอำนาจ แต่อำนาจทางการเมืองที่เข้มแข็งและมีอำนาจมากที่สุดในขณะนั้น ได้แก่ ลวะปุระ อันเป็นเมืองที่ผู้ครองนครมาจากกลุ่มลาวจก เหนือลาวไทจากล้านนาลงมาสร้างเมืองลวะปุระ แต่ต่อมาถูกอำนาจทางการเมืองเขมรจากยโสธรปุระ หรือนครหลวงเข้ามาควบคุม และเปลี่ยนแปลงชาวลาวโดยการแต่งงานกับเขมรและกลายเป็นชาวขอมที่มีชาวเขมรเป็นเจ้านาย อีกทั้งเปลี่ยนชื่อเมืองจากลวะปุระเป็นละโว้
ดังนั้น จึงเป็นสาเหตุประการสำคัญที่ทำให้พระเจ้าอู่ทอง จำเป็นต้องรับพระธิดาจากเมืองละโว้เป็นพระเอกอัครมเหสี และพระราชโอรสจึงมีสิทธิในการสืบสันตติวงศ์ ในขณะที่พระราชโอรสของรัฐลาวไทจากเมืองอื่นๆ ไม่มีสิทธิในการขึ้นครองราชย์ จึงได้แต่รวมตัวกันเพื่อหมายยึดอำนาจในพระนครกรุงศรีอยุธยา
โดยที่เมืองสุพรรณบุรีเป็นเมืองรอง และกำลังพยายามสร้างความสัมพันธ์ทางเชื้อสายกับสุโขทัย และรัฐลาวไทอื่นๆ โดยเฉพาะการสร้างความสัมพันธไมตรีกับจักรพรรดิจีน จนได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีกับจีนโดยมีสุโขทัยอันมีพระมหากษัตริย์เคยเป็นที่ยอมรับของจีนมาก่อน แม้ว่าละโว้จะเคยมีความสัมพันธ์อย่างดีกับจีนเช่นกัน แต่จีนก็ยังไม่ไว้วางใจกัมพูชาเท่ากับรัฐไทย และมองว่ากัมพูชาหรือเขมรกำลังแทรกแซงรัฐลาวไท
อย่างไรก็ตาม อำนาจของขอมจากเมืองละโว้เข้ามามีบทบาทในราชสำนักลาวไทอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยที่ชนชาติขอมซึ่งอยู่ในอำนาจของเขมรหรือกัมพูชาได้นำภาษา ระบบการปกครอง ศิลปวัฒนธรรมเข้าครอบงำราชสำนักอยุธยา ดังนั้น หลังจากพระเจ้าอู่ทองเสด็จสวรรคต เมื่อ พ.ศ. 1912 พระราเมศวรพระโอรสของพระเจ้าอู่กับพระธิดาแห่งเมืองละโว้ เสด็จมาจากเมืองลพบุรีเข้ามายึดกรุงศรีอยุธยาได้สำเร็จ
แม้ว่าพระราเมศวรจะได้ขึ้นครองกรุงศรีอยุธยาตามสิทธิ แต่พระองค์ค่อนข้างจะอ่อนแอ โดยเฉพาะเคยล้มเหลวและพ่ายแพ้ในการทำสงครามกับทัพเขมรเมื่อ พ.ศ. 1895 อีกทั้งเมื่อขึ้นครองราชย์ก็มีลับลมคมในกับเขมรอีก เพราะเคยมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งกันมาก่อน ดังนั้นเมื่อพระองค์ขึ้นครองราชย์เพียงหนึ่งปีเท่านั้น ต้องเวนคืนราชสมบัติให้แก่ขุนหลวงพะงั่วจากเมืองสุพรรณ ซึ่งพระองค์เป็นโอรสของพระสัสสุระ (แม่ยาย) ของพระเจ้าอู่ทองอันมีศักดิ์เป็นพระญาติชั้นผู้ใหญ่ หลังจากนั้นพระราเมศวรเสด็จกลับไปประทับที่เมืองละโว้เช่นเดิม
เมื่อขุนหลวงพะงั่วขึ้นครองราชย์ทรงพระนาม พระบรมราชาธิราชที่ 1 พระองค์ได้ใช้ความเป็นเชื้อสายสามารถดึงรัฐสุโขทัยเข้ามาเป็นดินแดนเดียวกับรัฐอยุธยา ทำให้อยุธยาเข้มแข็งขึ้น และทำสงครามกับอาณาจักรกัมพูชา แต่พระองค์อยู่ในราชสมบัติเพียงช่วงสั้นๆ ก็เสด็จสวรรคต พระราชโอรสนามเจ้าทองลัน พระชนม์มายุเพียง 15 พรรษาขึ้นครองราชย์ต่อมา แต่อยู่ในราชสมบัติได้เพียง 7 วันเท่านั้น สมเด็จพระราเมศวรก็ยกทัพมาละโว้เข้ายึดกรุงศรีอยุธยาและจับเจ้าทองลันสำเร็จโทษ อย่างไรก็ตามเชื้อสายจากราชวงศ์อู่ทองที่มีเชื้อสายขอมก็เสด็จสวรรคต หลังครองราชย์ได้เพียง 7 ปี เท่านั้น โดยมีพระรามราชาพระราชโอรสขึ้นครองราชสมบัติต่อมา
ขณะที่พระรามราชานิยมในเขมร จึงได้เกิดการขัดแย้งกับเจ้าพระยามหาเสนาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งนิยมชมชอบในเชื้อสายสุพรรณบุรี-สุโขทัย โดยเฉพาะเจ้านครอินทร์ ซึ่งครองเมืองสุพรรณบุรี และเป็นอริกันอย่างเปิดเผยในการบริหารราชการ หลังพระรามราชาครองราชย์ได้ 14 ปี จากนั้นเจ้าพระยามหาเสนาได้ไปอัญเชิญ เจ้านครอินทร์มาควบคุมกรุงศรีอยุธยา ทำให้พระรามราชาต้องยอมถวายราชสมบัติให้กับเจ้านครอินทร์ และพระองค์ยอมเสด็จไปครองเมืองปทาคูจาม อันเป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มพวกขอม และพวกเขมรที่ถูกกวาดต้อนมาไว้ ณ ชานพระนคร ทำให้ราชวงศ์อู่ทองไม่สามารถเข้ามามีอำนาจได้อีกเลย
เจ้านครอินทร์ขึ้นเสวยราชสมบัติในกรุงศรีอยุธยาขณะพระชนมพรรษาได้ 50 ปี ทรงมีพระโอรสที่เติบโตแล้วสามพระองค์ คือ เจ้าอ้าย เจ้ายี่ และเจ้าสาม พระองค์ทรงครองราชย์ได้เพียง 15 ปี ก็เสด็จสวรรคต โดยที่มิได้มอบราชสมบัติให้ผู้ใด เป็นสาเหตุให้พระราชโอรสทั้งสองพระองค์ คือ เจ้าอ้ายพระยาและเจ้ายี่พระยาทำสงครามแย่งอำนาจกันและสิ้นพระชนม์ทั้งคู่ ราชสมบัติจึงตกเป็นของเจ้าสามพระยาผู้น้อง เมื่อขึ้นครองราชย์แล้วทรงพระนามสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่สอง และจากนั้นพระองค์ทรงยกทัพไปตีกรุงยโสธรปุระ (นครหลวง) ของอาณาจักรกัมพูชา เพื่อล้มล้างอำนาจทางการเมืองของเขมรให้หมดสิ้นไป หลังจากล้อมนครหลวงได้เจ็ดเดือน ก็สามารถยึดกรุงยโสธรปุระสำเร็จเมื่อ พ.ศ. 1974 นับเป็นการสิ้นอำนาจอย่างสิ้นเชิงของอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ที่เคยรุ่งโรจน์มานานนับพันปี
การหมดสิ้นอำนาจทางการเมืองของเขมร ทำให้ผู้หนุนหลังราชวงศ์อู่ทองหมดสิ้นไปด้วย ผลที่ตามมาคือ เมืองลวะปุระซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็นละโว้ หลังจากเขมรมีอำนาจเหนือขอม และเมื่ออยุธยายึดได้จึงเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองลพบุรีตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา พลอยให้ราชวงศ์อู่ทองซึ่งมีขอมและเขมรหนุนหลังต้องหมดอำนาจลงอย่างสิ้นเชิง เพราะไม่มีกษัตริย์ในเชื้อสายราชวงศ์อู่ทองเข้ามามีอำนาจในพระนครศรีอยุธยาอีกต่อไป และการล้มล้างราชวงศ์ผู้สร้างพระนครศรีอยุธยา คือ กลุ่มราชวงศ์ที่มาจากเมืองสุพรรณบุรีร่วมมือกับราชวงศ์สุโขทัย ซึ่งนักประวัติศาสตร์ เรียกว่า ราชวงศ์สุพรรณภูมิ อันเป็นราชวงศ์ที่มีพื้นฐานมาจากกลุ่มลาวไทอย่างแท้จริง และมีอำนาจอยู่ในกรุงศรีอยุธยาอีกไม่นาน