xs
xsm
sm
md
lg

“ประพันธ์” แฉ “แนวหน้า” ซี้ “เวชชาชีวะ” เหตุไม่วิจารณ์ “มาร์ค” เตือนระวังจะสูญพันธุ์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ประพันธ์” แฉเจ้าของหนังสือพิมพ์แนวหน้า สนิทสนมกันดีกับคนตระกูลเวชชาชีวะ แถม “เจิมศักดิ์” ที่ยิ่งใหญ่ในแนวหน้าทุกวันนี้ก็ซี้ปึ้ก “มาร์ค” ทำให้หนังสือพิมพ์เสียจุดยืนไม่กล้าวิจารณ์รัฐบาล เตือนถ้าเป็นแบบนี้อีกไม่นานระวังจะสูญพันธุ์ พร้อมโต้ “ประพันธ์พงศ์ เวชชาชีวะ” เขียนบทความด่าเสื้อแดง-เหลืองว่าเป็นแก๊งข้างถนนทำประชาชนเดือดร้อน ถามไม่อายปากหรือแก้ตัวให้หลานตัวเอง ชี้ทีสมัยไล่ “ทักษิณ-ชวลิต” กลับสรรเสริญผู้ชุมนุมยกใหญ่

 คลิกที่นี่ เพื่อฟัง “รวมพลัง ปกป้องแผ่นดิน” ปราศรัยโดย นายประพันธ์ คูณมี 

วันนี้ (17 มี.ค.) เวลาประมาณ 21.00 น. นายประพันธ์ คูณมี โฆษกคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย ขึ้นปราศรัยบนเวที “รวมพลังปกป้องแผ่นดิน” ว่า มีคนฝากให้ตน  คุยกับหนังสือพิมพ์แนวหน้า และอาจารย์ประพันธ์พงศ์ เวชชาชีวะ ที่จุดยืนเปลี่ยนไป ไม่กล้าวิจารณ์รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ และยังกล่าวหาโจมตีพันธมิตรฯ อีกด้วย

นายประพันธ์กล่าวว่า อยากเตือนไปยังหนังสือพิมพ์แนวหน้า ตนเคยทำงานช่วยเหลือรับใช้แนวหน้ามาไม่น้อยกว่า 4-5 ปี ด้วยความรักเคารพที่มีต่อหนังสือพิมพ์แนวหน้า และเจ้าของ วารินทร์ พูนศิริวงศ์ คุณผานิต พูนศิริวงศ์ และคุณสินธุ พูนศิริวงศ์ ซึ่งคนหลังสุดนี้คือเพื่อนสนิทคุณหมออรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ บิดานายกฯ  

ด้วยความรักและเคารพ อยากฝากเตือนว่า ในอดีตแม้แนวหน้าจะเป็นหนังสือพิมพ์ฉบับเล็กๆ แต่ก็ทรงคุณค่า และไม่ได้เป็นกระดาษเปื้อนหมึกอย่างทุกวันนี้ เพราะในอดีตได้ยืนหยัดต่อสู้กับความไม่ถูกต้องมาตลอดในยุคที่ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ เป็นผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์แนวหน้า ก่อนที่นายเจิมศักดิ์จะมาเป็นใหญ่ในนั้น  สู้มาตั้งแต่สมัย พล.อ.ชวลิต นายบรรหาร มาจนถึงนายทักษิณ แนวหน้าก็ทำหน้าที่ตรงไปตรงมาซื่อสัตย์ที่สุดอันนี้ต้องใครเครดิต

แต่มาวันนี้หลังจาก น.ต.ประสงค์ ลาออกจากผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์แนวหน้า เพื่อไม่ให้แนวหน้าถูกคุกคามจากนายทักษิณ คนที่เข้ามาเขียนคอลัมน์ประจำ ยึดพื้นที่หน้าหนังสือพิมพ์ และมีบทความมากสุด คือ นายเจิมศักดิ์  ปิ่นทอง สารส้มก็ทีมงานของนายเจิมศักดิ์  ไม่ต้องมาตอแหลว่าไม่ใช่ตัวเองเขียน ทีมงานนายเจิมศักดิ์ทั้งนั้น

นายประพันธ์กล่าวอีกว่า หลังจากนั้นแนวหน้าก็เปลี่ยนไป เพราะนายเจิมศักดิ์สนิทสนมรักใคร่กันดีกับนายอภิสิทธิ์ ขณะเดียวกันก็เข้าใจและเห็นใจ นายวารินทร์ และนางผานิต ซึ่งก็สนิทกับ รศ.ประพันธ์พงศ์ และตระกูลเวชชาชีวะ เลยไม่กล้าวิจารณ์ รัฐบาลอภิสิทธิ์ จนเสียจุดยืนไป

“ถ้าคิดว่าตัวเองยังมั่นคงตรงไปตรงมา ก็ต้องกล้าวิจารณ์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หนังสือพิมพ์มีเหตุผลอะไรที่จะละเว้น ในเมื่อรัฐบาลนี้ก็บริหารงานผิดพลาดและโกงมากกว่าสมัยนายทักษิณเสียอีก” นายประพันธ์กล่าว

นายประพันธ์กล่าวอีกว่า ตนเคยโทร.ไปคุยกับนายวารินทร์ ว่าเดี๋ยวนี้แนวหน้าไม่มั่นคงตรงไปตรงมาแล้ว นายวารินทร์ก็อ้างว่าเดี๋ยวนี้แก่แล้วไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว ไม่จริง สมัยตนทำงานก็มายุ่งเกี่ยวตลอด ถ้าทำแบบนี้ไม่นานต้องสูญพันธุ์  คนที่เขียนบทนำที่แนวหน้า ควรไปทำการบ้านให้มีภูมิปัญญาให้มากก่อนที่จะมาเขียนบทนำ

บทความพยายามเอาการชุมนุมของเสื้อเหลือง ไปคละเคล้าปนเปกับการชุมนุมเสื้อแดง พยายามบอกว่าเป็นการละเมิดกฎหมาย สร้างความเดือดร้อนต่อสาธารณะ ความคิดแบบนี้มันเก่าคร่ำเครอะ ถ้าจะบอกว่าสร้างความเดือดร้อน แล้วปี 2540 คนที่นำประชาชนมาเดินร่วมประชุมกับตน ร่วมจัดชุมนุมม็อบสีลมไล่ พล.อ.ชวลิต ก็คือคุณวารินทร์ และนางผานิต นี่แหละ ถ้ามันจะสร้างความเดือดร้อนให้สาธารณะ เจ้าของแนวหน้าก็ทำมาแล้วทั้งนั้น

นายประพันธ์กล่าวอีกว่า รู้จักอาจารย์ประพันธ์พงศ์เมื่อตอนประชุมเพื่อขับไล่ พล.อ.ชวลิต สอนอยู่ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ แล้วพอมาถึงตอนที่ตนขับไล่ทักษิณ อาจารย์ประพันธ์พงศ์รักตนมาก เพราะตนได้ขับทักษิณ แต่ทำไมตอนนั้นไม่บอกว่าเป็นแก๊งข้างถนน แต่มาวันนี้พออกมาไล่หลานตัวเอง กลับหาว่าทั้งเสื้อเหลืองเสื้อแดงเป็นแก๊งข้างถนน เขียนบทความแก้ต่างให้ศอ.รส. ว่าที่ต้องปิดถนนรอบบ้านนายกฯเพราะมีความจำเป็น เหตุเพราะผู้ชุมนุมก้าวร้าวอาจทำลายเคหะสถานของนายกฯ ขอถามอาจารย์ว่าไม่อายหรือที่เขียนแก้ตัวให้คนของตัวเอง

“ด่าเสื้อแดงและโยงมาเหลืองว่าเป็นแก๊งข้างถนน แต่ทีเวลาชุมนุมไล่พลอ.ชวลิต นายทักษิณ ผู้ชุมนุมกลับเป็นมวลชนที่น่าแซ่ซ้องสรรเสริญ แต่พอวิจารณ์หลานตัวเอง กล่าวหาว่าเป็นแก๊งข้างถนน ไม่อายปากตัวเองหรือ หลานตัวเองบริหารประเทศห่วยกว่าเขาเสียอีก ทำอะไร คิดอะไรก็ไม่เป็น เดี๋ยวจะถูกหาว่าเป็นตระกูลด้านชาชีวะ นึกว่าเป็นเฉพาะหลาน ที่จริงมันเป็นกันทั้งหมด ถ้าไม่อยากได้นามสกุลด้านชาชีวะ ก็บอกให้หลานลาออกไปซะ” นายประพันธ์กล่าว

นายประพันธ์กล่าวต่ออีกว่า อีกเรื่องที่ระอาสำหรับคนไทยคือขณะที่เราพูดเรื่องไทยเสียดินแดน นักการเมืองคิดแต่จะเลือกตั้ง ในเมื่อโพลก็ออกมาแล้วว่าประชาชนส่วนใหญ่จะไม่เลือกพรรคใดเลย แสดงว่าเขาปฎิเสธระบอบเลือกตั้งแล้ว

ทางออกของเราวันนี้อยู่ที่ประชาชนว่าจะอยู่กับการเมืองแบบนี้ต่อไปหรือไม่ หรืออีกทางคือต้องล้างอัปปรีย์ จัญไร ปฎิรูปบ้านเมืองขนานใหญ่เสียก่อน เปิดโอกาสให้คนดีๆ มาปกครองบ้านเมือง จึงฝากถึงผู้มีอำนาจวาสนาในบ้านเมือง ถ้าอยากให้บ้านเมืองเปลี่ยนแปลง ต้องออกมาร่วมมือกับพวกเรา แม้มีการเลือกตั้งเราก็จะมีวิธีเพื่อตบหน้านักการเมือง นั่นคือให้กาโนโหวตกันทั้งประเทศเลย เพื่อให้นักการเมืองเห็นว่าเราต้องการการเปลี่ยนแปลง ต้องการสิ่งใหม่ที่ดีกว่า

นายประพันธ์กล่าวว่า อยากให้พวกเรายืนหยัดสู้ต่อไป ตนเชื่อว่าการต่อสู้ของเราต้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแน่นอน พลังของพวกเราจะกดดันให้สังคมต้องเปลี่ยนแปลง ไม่เปลี่ยนแปลงไม่ได้

คำต่อคำ “ประพันธ์ คูณมี”ปราศรัย

สวัสดีครับพ่อแม่พี่น้องที่เคารพรักทุกท่าน และกราบสวัสดีพี่น้องทางบ้านและที่อยู่ต่างประเทศทุกท่าน เมื่อวานนี้ก็หยุดพักไป 1 วัน แต่ก็เป็นการพักที่น่าจะคุ้มค่านะครับ เพราะว่าทำให้พี่น้องได้ฟังการปราศรัยที่ได้อรรถรส และได้เนื้อหาสาระที่เป็นการสรุปรวบยอดของการต่อสู้ของพวกเราครั้งนี้ โดยคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ได้สรุปภาพอันชัดเจนให้พี่น้องประชาชนได้รู้แล้วว่า ประเทศไทย การเมืองไทย และการเสียรู้ ตามก้นเขมรที่เป็นอยู่ในขณะนี้นั้น มันเป็นเกมการเมืองที่ผมเชื่อว่าพี่น้องที่ได้ฟังคุณสนธิปราศรัยแล้ว คงจะเห็นภาพความอัปยศของการเมืองประเทศไทย ณ พ.ศ.นี้ ว่าการเมืองนั้นมันไม่ได้กิน ไม่ได้โกงกันอยู่เพียงในประเทศของเรา แต่มันกินข้ามรัฐ ข้ามชาติ และมีการฮั้วข้ามอาณาเขต ข้ามประเทศกันแล้ว ระหว่างนักการเมืองไทยกับนักการเมืองเขมร สมคบกันเพื่อจะรับใช้ทุนพลังงานของกลุ่มทุนข้ามชาติ มันจึงทำให้กลายเป็นปัญหาข้อพิพาทที่ประเทศไทย และกระทรวงต่างประเทศไทย เดินเกมการเมืองแบบโง่ๆ ด้วยความตั้งใจที่จะโง่ เพื่อเอาอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติ ไปแลกเปลี่ยนกับกัมพูชา ไปรับใช้กลุ่มทุนข้ามชาติ ซึ่งพี่น้องก็คงจะได้เห็นแล้ว

ผมคิดว่าคำปราศรัยของคุณสนธิ ซึ่งผมก็ได้กลับมาอ่านดูอีกครั้งหนึ่ง คงจะทำให้พี่น้องประชาชนทั่วประเทศ และที่ติดตามการชุมนุมของพวกเรานั้น เข้าใจเหตุผล เจตนารมณ์และความตั้งใจ ความมุ่งมั่นของเรา ที่มาร่วมกันต่อสู้ครั้งนี้ และทำให้การชุมนุมและการต่อสู้ของพวกเราครั้งนี้ เป็นการต่อสู้เพื่อชาติ เพื่อประเทศจริงๆ

แม้จะมีหนังสือพิมพ์บางฉบับ หรือจะมีบางคน บางกลุ่ม อาจจะไม่เข้าใจ หรือพยายามจะบิดเบือนใส่ร้ายอย่างไรก็ตามแต่ แต่การชุมนุมของพวกเรานั้น ความเป็นจริงก็คือความจริง ภารกิจของเราศักดิ์สิทธิ์ เพื่อชาติ เพื่อบ้านเมือง เพื่อแผ่นดินอย่างไร มันก็คือความจริงที่ยากปากสกปรก หรือวิธีการโสโครกของนักการเมือง จะมาบิดเบือนใส่ร้ายพวกเราได้

พี่น้องครับ เมื่อสักครู่ผมก็ได้ฟังบทกวีซึ่งเป็นมหากาพย์แห่งทุรยุค เพลงยาวยอเกียรติแผ่นดินไทย ซึ่งคุณสนธิก็ได้บอกให้ทราบแล้วว่า ผู้เขียนก็คือคุณยอดธง ทับทิวไม้ นามปากกาของท่านก็คือศรีมหานามะ ผมก็บังเอิญ หลังจากเมื่อวันก่อนผมได้นำบทกวีของท่าน ซึ่งลูกสาวของท่านที๋โพสต์เข้ามาในเฟสบุ๊คของผม ได้ส่งเข้ามาให้ ชื่อ "ตัวกูคือรัฐ" ท่านคงจำได้ที่ผมอ่านไปแล้ววันก่อน แล้วก็ลงในแมเนเจอร์ออนไลน์ วันนี้ผมก็ได้มีโอกาสไปเจอลูกสาวท่าน ซึ่งเดินทางที่สำนักงานบ้านพระอาทิตย์ ได้พบที่ห้องของคุณสนธิ โดยบังเอิญ และทำให้ผมได้มหากาพย์แห่งทุรยุค เพลงยาวยอเกียรติแผ่นดินไทย ซึ่งเขียนโดยท่านยอดธง ทับทิวไม้ หรือ ศรีมหานามะ จากลูกสาวของท่าน ผมคิดว่าเป็นบทกวีที่สอดคล้องกับยุคสมัยปัจจุบันอย่างยิ่ง แม้จะเขียนมาแล้ว 54 ปี

ศรีมหานามะ ได้กล่าวไว้ในการจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ของท่าน เพื่อเป็นการแจกในงานศพ ที่เป็นคุณพ่อภุชงค์ เจริญสุข ในงานฌาปนกิจคุณพ่อภุชงค์ เจริญสุข เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2535 คุณพ่อภุชงค์ เจริญสุข ก็คือพ่อตาของผู้เขียนนะครับ ซึ่งก็ถือว่าเป็นงานพิมพ์ที่มีความหมายและมีคุณค่ามาก ผมติดใจในบทเขียนตอนนี้ ท่านเขียนว่า ในบทที่พิมพ์หน้าหนังสือฉบับนี้ว่า "ในการสร้างบ้านเมืองแต่ละสมัยของไทยแต่โบราณ จำเป็นจะต้องมีรัตนกวีเกิดมา เพื่อเขียนบทกวียอเกียรติยุคสมัย และผู้มีบุญของบ้านเมืองในแต่ละยุคไว้เป็นธรรมเนียมสืบมา มาถึงรัตนโกสินทร์ยุคนี้ ยังไม่มีกวีผู้ใดทำหน้าที่อย่างเป็นจริงเป็นจัง ให้ถูกต้องตามขนบประเพณีดั้งเดิม กวีผู้เป็นเจ้าของเพลงยาวบทนี้จึงดัดจริต ดำริเขียนขึ้น เพื่อสืบทอดธรรมเนียมกวีประจำบ้านประจำเมืองไว้ ดังต่อไปนี้"

ก็จะบรรจุบทกวีทั้งหมดอยู่ในนี้ บทหนึ่งก็คือบทที่คุณสนธิได้อ่านไปแล้วเมื่อสักครู่นี้ ท่านถ่อมตัวว่าท่านดัดจริตเขียนขึ้นเพื่อสืบทอดธรรมเนียมกวีประจำบ้านประจำเมือง แต่อยากจะกราบเรียนพ่อแม่พี่น้องว่า บทกวีที่คุณศรีมหานามะ หรือยอดธง ทับทิวไม้ เขียนไว้นี้ มันถูกต้อง เป็นสัจจธรรม และสอดคล้องกับยุคสมัยที่สุดครับ เป็นอมตะครับ ขอเสียงปรบมือให้กำลังใจ และส่งจิตพลังของพวกเราทั้งหลาย ให้กำลังใจกับคุณยอดธง ทับทิวไม้ ที่ยังนอนป่วยอยู่ ให้ท่านได้รับทราบว่าบทกวีของท่านนั้น จะเป็นบทเพลงแห่งการต่อสู้อันทรงพลังที่สุดของพี่น้องประชาชน ตามเจตนารมณ์ของท่าน

พี่น้องครับ บทกวีเมื่อสักครู่ที่คุณสนธิอ่านไปนั้น เป็นบทกวีที่มันช่างถูกต้อง และสอดคล้องกับยุคสมัยจริงๆ ชื่อว่า "กูจะหยิบแผ่นฟ้ามาขยี้" ในที่นี้ ก็คือว่า เป็นบทที่วิพากษ์การโกงบ้านกินเมืองของนักการเมือง และการขายชาติขายแผ่นดิน ได้อย่างถึงแก่น ตรงไปตรงมาที่สุด แต่บทที่ท่านเขียนนั้น เขียนเมื่อปี 2500 แต่มาถึงวันนี้ 2554 แล้ว แสดงว่านักการเมืองชั่ว นักการเมืองโกง นักการเมืองทุจริต นักการเมืองขายชาติ ยังไม่หมดไปจากแผ่นดินไทยใช่มั้ยครับ มันมีมาตั้งแต่ปี 2500 จนกระทั่งมาถึงยุคนี้ยิ่งหนักกว่าเดิม นี่มันไม่ได้กินเพียงในประเทศ ไม่ได้กินทั้งแผ่นดินแผ่นฟ้า มันกินข้ามฟ้าข้ามมหาสมุทร ปล้นบ้านกินเมือง ขายชาติขายแผ่นดินจริงๆ เลยครับ

เพราะฉะนั้นวันนี้ผมจึงมีเรื่องที่อยากจะพูดคุยกับคนที่ยังไม่เข้าใจ เรื่องแรก มีคนช่วยฝากบอกให้ผมว่า ช่วยคุยกับหนังสือพิมพ์แนวหน้า และช่วยคุยกับ อ.ประพันธ์พงศ์ เวชชาชีวะ เพราะน้องๆ บอกว่าไม่น่าจะมีใครรู้จักหนังสือพิมพ์แนวหน้า และรู้จัก อ.ประพันธ์พงศ์ เวชชาชีวะ ดีเท่ากับนายประพันธ์ คูณมี

ผมจึงอยากจะเตือนด้วยความปรารถนาดีไปยังหนังสือพิมพ์แนวหน้า ผมเคยทำงานรับใช้ หรือช่วยเหลือ หรือให้คำปรึกษากับหนังสือพิมพ์แนวหน้ามาไม่น้อยกว่า 5 ปี 4-5 ปี ปัจจุบันก็ยังมีให้คำปรึกษาแนะนำอยู่เสมอๆ ในยุคที่ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ เป็นผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์แนวหน้า และเขียนในคอลัมน์ น.ต.ประสงค์ พูด ในหนังสือพิมพ์แนวหน้า ด้วยความรัก ด้วยความเคารพต่อหนังสือพิมพ์แนวหน้า และเจ้าของ ผู้ถือหุ้นใหญ่ คุณวารินทร์ พูนศิริวงศ์ พี่แหน คุณผาณิต พูนศิริวงศ์ และก็ด้วยความเคารพต่อพี่สินธุ พูนศิริวงศ์ ซึ่งคุณสินธุ พูนศิริวงศ์ นี้คือเพื่อนสนิทกับคุณหมออรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ ครับ ทั้งหมดที่ผมเอ่ยนามมานั้น เป็นตระกูลพูนศิริวงศ์ ผู้ถือหุ้นและเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์แนวหน้า ตัวจริงเสียงจริง

ด้วยความรักและเคารพ ผมอยากจะฝากเตือนไปถึงหนังสือพิมพ์แนวหน้า ว่า ในอดีตนั้นหนังสือพิมพ์แนวหน้า แม้จะเป็นหนังสือพิมพ์ฉบับเล็กๆ ฉบับหนึ่ง แต่ก็เป็นหนังสือพิมพ์ที่ทรงคุณค่าและไม่ได้เป็นกระดาษเปื้อนหมึกเหมือนอย่างทุกวันนี้

ทำไมผมถึงกล่าวเช่นนั้นครับ เพราะหนังสือพิมพ์แนวหน้าในอดีตได้ยืนหยัดต่อสู้กับความไม่ถูกต้อง ความไม่เป็นธรรม มาอย่างมีเกียรติ ในยุคสมัยที่ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ เป็นผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์ ก่อนที่นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง จะมาแสยะ มาเป็นใหญ่อยู่ในหนังสือพิมพ์นี้ วันนี้ หนังสือพิมพ์แนวหน้าได้ต่อสู้มาตั้งแต่รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ทำให้ประเทศล่มจมเสียหาย เศรษฐกิจล่มสลาย ธนาคารล่มสลาย สถาบันการเงินต้องปิดลง ประเทศไทยต้องลดค่าเงินบาท และการบริหารบ้านเมืองในยุคสมัย พล.อ.ชวลิต นายบรรหาร ได้ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ร่ำรวยเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี จากการเก็งกำไรค่าเงินบาท โดยได้รับข้อมูลจากที่ประชุมของนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชวลิต เรื่องนี้นายสุเทพ ก็รู้ดี เพราะเป็นคนอภิปราย พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าเป็นคนรู้ข้อมูลความลับเรื่องการจะเปลี่ยนแปลงค่าเงินบาทและทำให้รวยเป็นนับหมื่นล้าน ในครั้งนั้น

หนังสือพิมพ์แนวหน้า ก็ยืนหยัดต่อสู้ เปิดโปง รวมทั้งแก๊ง 16 คน ก็เป็นหนึ่งในหนังสือพิมพ์ที่เปิดโปงยุคแรกๆ เลยครับ แก๊งกลุ่ม 16 ที่เข้าไปรุมทึ้งธนาคาร BBC โกงกิน และใช้หลักฐาน หลักประกันด้อยคุณภาพ ไปกู้เงิน ถลุงเงินมาจากธนาคาร BBC อย่างไร หนังสือพิมพ์แนวหน้าได้ทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมาที่สุด แล้วมาถึงยุคทักษิณปกครองบ้านเมือง บริหารชาติบ้านเมืองล้มเหลว โกง ทุจริต หนังสือพิมพ์แนวหน้าก็เป็นหนังสือพิมพฺ์ฉบับแรกๆ ที่เปิดโปงทักษิณ และระบอบทักษิณ ในขณะที่ฉบับอื่นไม่กล้าเขียน

อันนี้ต้องให้เครดิตแก่หนังสือพิมพ์แนวหน้า ด้วยบทบาทแบบนี้ จึงทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่พอใจหนังสือพิมพ์แนวหน้าเป็นอย่างยิ่ง บุกไปถึงสนามกอล์ฟคุณวารินทร์ ที่เชียงใหม่ ชื่อสนามกอล์ฟ เดอะ รอยัล เชียงใหม่ ที่ อ.สันทราย ไปข่มขู่ บีบบังคับให้นายวารินทร์ กับคุณผาณิต สั่งให้ถอนคอลัมน์ของ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ออกจากหนังสือพิมพ์แนวหน้า และอย่าให้ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ เขียนในหนังสือพิมพ์แนวหน้า หรือปลด น.ต.ประสงค์ ออกจากผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์แนวหน้า โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ไปกับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่สนามกอล์ฟเชียงใหม่ ครับ

แต่หนังสือพิมพ์แนวหน้าก็ไม่ได้ยอมก้มหัวและยอมตาม พ.ต.ท.ทักษิณ และนั่นล่ะครับทำให้หนังสือพิมพ์แนวหน้าจึงยืนหยัดอยู่มั่นคง ตรงไปตรงมา ตามคำขวัญของหนังสือพิมพ์ที่บอกว่า มั่นคง ตรงไปตรงมา มาได้จนทุกวันนี้ แล้วในที่สุด ทักษิณก็มีอันเป็นไป

แต่มาวันนี้ หลังจาก น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ได้ลาออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์แนวหน้า เพื่อไม่อยากจะให้เป็นที่เดือดร้อนกับคุณวารินทร์ คุณผาณิต ที่จะถูกคุกคามในทางการเมืองจาก พ.ต.ท.ทักษิณ หนังสือพิมพ์แนวหน้าก็ได้เปลี่ยนแปลงคนที่มาเขียนคอลัมอยู่ในนี้ประจำ จะบอกพี่น้องว่าคนที่เข้ามาในเขียนในนี้ประจำ และมายึดพื้นที่หน้าหนังสือพิมพ์แนวหน้า และมีบทความมากที่สุด คือกลุ่มของนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ครับ

คอลัมน์สารส้ม ก็เป็นทีมงานของนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง เขียน นายเจิมศักดิ์ไม่ต้องมาตอแหลว่าไม่ใช่ตัวเองเขียน ทีมงานคุณทั้งนั้นล่ะเขียน หลังจากนั้นมา หนังสือพิมพ์แนวหน้าก็มีท่าทีที่เปลี่ยนไป อาจจะเป็นเพราะนายปิ่นศักดิ์ ก็สนิทสอพลอกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นลูกกระแป๋งกันไปกันมาทั้งคู่

ขณะเดียวกัน ผมก็เข้าใจ ผมก็เห็นใจ เพราะคุณวารินทร์ กับพี่แหน คุณผาณิต ก็สนิทกับ อ.ประพันธ์พงศ์ เวชชาชีวะ และภรรยา รวมทั้งครอบครัวเวชชาชีวะ เป็นอย่างดี ก็อาจจะทำให้หนังสือพิมพ์แนวหน้าเกรงใจและไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จนเสียจุดยืนไป เพราะฉะนั้นวันนี้หนังสือพิมพ์แนวหน้า ถ้าคิดว่าตัวเองยังมั่นคงและตรงไปตรงมา ต้องกล้าวิพากษ์วิจารณ์นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เป็นนายกฯ บริหารชาติบ้านเมืองล้มเหลว เสียหาย ขายชาติขายแผ่นดิน รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ทุจริตโกงกินเหมือนรัฐบาลทักษิณไม่มีผิดครับ

หนังสือพิมพ์แนวหน้ามีเหตุผลอะไรที่จะละเว้นไปวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถ้าคุณมั่นคง ตรงไปตรงมาจริง

ผมเคยโทรไปคุยกับพี่วารินทร์ พูนศิริวงศ์ บอกว่าเดี๋ยวนี้แนวหน้ามันไม่ได้มั่นคง ตรงไปตรงมาเหมือนเดิมแล้ว แนวหน้ามันเป๋ไปเป๋มา ไม่ใช่มั่นคง ตรงไปตรงมา แล้ว ท่านก็อ้างว่าเดี๋ยวนี้ผมแก่แล้ว อายุมากแล้ว ผมไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว ไม่จริงอ่ะผมไม่เชื่อ เพราะพี่ยังต้องยุ่งเกี่ยว สมัยผมทำงาน พี่ก็มายุ่งเกี่ยวตลอดล่ะครับ พี่น้องเอ๊ย

เพราะฉะนั้นวันนี้ถ้าแนวหน้าอยากจะเป็นหนังสือพิมพ์ ซึ่งความจริง ถ้าทำตัวอย่างนี้ ไม่นานมันก็สูญพันธุ์เท่านั้นเอง หนังสือพิมพ์คนเขาไม่อ่านแล้ว เขาก็ไปอ่านเว็บไซต์หมดแล้ว เขาไปอ่านหนังสือพิมพ์ออนไลน์หมดแล้ว เขามาอ่านแมเนเจอร์ออนไลน์หมดแล้ว

เพราะฉะนั้นวันนี้บทนำที่หนังสือพิมพ์แนวหน้าเขียนนั้น ผมอยากจะเตือนว่า คุณไม่ต้องทำตัวเป็นเขียนด่าทั้งสองฝ่ายหรอก และคนที่เขียนก็ควรจะไปทำการบ้าน ไปศึกษาปัญหาบ้านเมืองให้มีความรู้ มีภูมิปัญญาที่มากกว่าประชาชนเสียก่อน ค่อยมาเขียนบทนำ ถ้าภูมิปัญญายังรู้ไม่เท่าทันประชาชน มันก็ละอายที่จะเป็นหนังสือพิมพ์ที่จะมาอ้างตัวเองว่าเป็นฐานันดรที่ 3 ที่ 4 ใช่มั้ยครับ

คุณพยายามจะเอาการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อเหลือง พี่น้องพันธมิตรฯ ไปคละเคล้า ปนเปกับกลุ่มคนเสื้อแดง พยายามจะเขียนบอกว่าการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ เป็นการละเมิดกฎหมาย สร้างความเดือดร้อนต่อสาธารณะ อยู่เหนือกฎหมาย เอากฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย ผมว่าความคิดแบบนี้มันเก่า คร่ำครึและโบราณ ไม่ทันยุคทันสมัยเลย ถ้าจะบอกว่าการชุมนุมของประชาชนมันเป็นการสร้างความเดือดร้อน ผมจะบอกคุณให้ หนังสือพิมพ์แนวหน้า ปี 40 พล.อ.ชวลิต ทำให้บ้านเมืองฉิบหาย คนที่มานำประชาชนเดินขบวนร่วมกับผมน่ะ คือคุณผาณิต พูนศิริวงศ์ คือ อ.ประพันธ์พงศ์ เววชาชีวะ และเมีย นั่นล่ะ ที่มาร่วมประชุมและมาร่วมวางแผน จัดการชุมนุมกลุ่มคนม็อบสีลม กลุ่มไฮโซ ออกมาเดินขบวนขับไล่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ แล้วก็มาเชิญชวน มาอ้อนวอนขอร้องให้ประพันธ์ไปช่วยเป็นแกนนำหน่อย

ถ้ามันเป็นกฎหมู่ ถ้ามันเดือดร้อน ขัดขวางการชุมนุมสาธารณะ มันก็เจ้าของหนังสือพิมพ์คุณก็เคยทำมาแล้วทั้งนั้น

การใช้สิทธิ์ทางการเมืองชุมนุมในที่สาธารณะ มันเป็นเรื่องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ยุคใด สมัยใด ก็มีการชุมนุมทั้งนั้น แต่คุณต้องแยกแยะระหว่างการชุมนุมที่ก่อความเดือดร้อน เผาบ้านเผาเมือง กับการชุมนุมโดยสงบและเปิดเผย ปราศจากอาวุธ โดยสันติ ของประชาชนกลุ่มพันธมิตรประชาชนฯ คุณต้องแยกแยะ ถ้าคุณเป็นสื่อมวลชน แยกดี แยกชั่ว แยกผิด แยกถูกไม่ได้ คุณก็ไม่ต่างอะไรกับ พวกมั่ว พวกฐานันดรมั่วๆ ซึ่งไม่อยู่ในฐานะที่จะเป็นหนังสือพิมพ์ที่จะเป็นปากเสียงและเป็นสื่อของประชาชนได้เลย

แล้วที่อ้างว่าแกนนำพันธมิตรฯ ใช้สื่อในเครือมุ่งยั่วยุ โจมตีนายกฯ และรัฐบาลอย่างสาดเสียเทเสียด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย และบางครั้งอย่างไม่มีเหตุผล หรือปราศจากข้อเท็จจริง มันยั่วยุ โจมตี ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หยาบคาย ปราศจากข้อเท็จจริงตรงไหน คุณช่วยสาธยายซิ เรื่องที่เราพูดบนเวทีนี้ มีเรื่องใดเป็นเท็จบ้าง หนังสือพิมพ์แนวหน้าถ้าแน่จริงก็แฉมาสิ ว่าเวทีนี้มันมั่ว มันปราศจากข้อเท็จจริงอย่างไร ในขณะที่รัฐบาลนายกฯ อภิสิทธิ์ มันโกหกตอแหล ปลิ้นปล้อน หลอกลวง ตระบัดสัตย์ เนรคุณประชาชน คุณหูหนวกตาบอด ไปนอนหลับไม่รู้ นอนคู้ไม่เห็น อยู่ที่ไหน มันพูดเท็จ มันโกหกประชาชนทั้งนั้น เวทีนี้มีแต่ข้อเท็จจริง

ถ้าหยาบคาย หยาบคายตรงไหน คำว่ากู คำว่ามึง ไม่หยาบคายเลย มันใช้สำหรับคนชั่ว คนเลว ใช้ได้หมด รวมทั้งหนังสือพิมพ์ด้วย ถ้าเลวก็ควรจะบอกว่า ไปลงนรกเถอะ หนังสือพิมพ์ เขาก็ด่าคุณได้ คำว่ากู คำว่ามึง ภาษาพ่อขุนรามคำแหง ใช้ได้เวลาด่าคนชั่ว คนโกง คนเลว คนขายชาติ สนับสนุนให้ประชาชนประณามมัน แม้กระทั่งเขาด่ามันว่าไอ้อัปรีย์ ยังด่าได้เลยครับ

แต่ห้ามใช้กับคนดีเท่านั้น คนมีศีล คนมีธรรมเท่านั้น กับคนชั่วประณามสาปแช่ง และด่าได้ครับ

เพราะฉะนั้นเรายั่วยุตรงไหน เราไม่เคยยั่วยุให้ประชาชนไปใช้ความรุนแรง แต่วิพากษ์วิจารณ์โจมตีนั้น ต้องโจมตีครับ เพราะรัฐบาลมันชั่ว ถ้ารัฐบาลดีไม่มีใครไปโจมตี ถ้าการโจมตีไม่มีเหตุไม่มีผล คนโจมตี คนวิพากษ์วิจารณ์ มันก็จะเสียคนเองใช่มั้ยครับ แต่ทำไมเรายิ่งด่า ยิ่งวิพากษ์วิจารณ์ โจมตีรัฐบาลเท่าไร ประชาชนยิ่งมาฟังเยอะขึ้นๆ รัฐบาลยิ่งคะแนนนิยมตกขึ้น แสดงว่ารัฐบาลมันชั่ว มันเลว มันระยำจริง ถ้ามันดี คนด่าก็จะเสียเอง ใช่มั้ยครับ

เหมือนเรา ใครจะกล้าไปด่าหลวงตามหาบัว หรือไปด่าพระเถรผู้ใหญ่ หรือคนที่อยู่ในศีลในธรรม ปฏิบัติตัวอยู่ในความซื่อสัตย์สุจริต คุณลองไปด่าเขาสิ ก็เหมือนกับพวกเสื้อแดงไปด่า พล.อ.เปรม น่ะ ยิ่งด่ามันก็ยิ่งตกต่ำ เพราะมันไปด่าคนดี ใช่มั้ย แต่ถ้าเราด่าคนเลว ไม่ผิด ไม่ผิดศีลด้วยครับ เพราะด่าคนชั่ว แต่ถ้าเราไปทำร้ายคนดี นั่นล่ะเป็นบาปกรรม

เพราะฉะนั้นหนังสือพิมพ์แนวหน้าวันนี้ ผมอยากจะเตือนเท่านั้นเอง ว่าคุณจะเขียนอะไรนั้น ทำการบ้านเสียหน่อย ศึกษาหน่อย และที่อยากจะบอกให้รู้ก็คือว่า ในวันที่ผมออกมาสู้กับระบอบทักษิณน่ะ หนังสือพิมพ์แนวหน้าก็กระโดดมาสู้ด้วย อ.ประพันธ์พงศ์ ภรรยาท่าน ก็ร่วมสู้ด้วย ไล่ พล.อ.ชวลิต อ.ประพันธ์พงศ์ กับภรรยา ก็ร่วมสู้ด้วย แล้วทำไมไม่ด่าว่าเป็นแก๊งข้างถนนล่ะ ถ้าเป็นแก๊งข้างถนน อ.ประพันธ์พงศ์ ก็เป็นหัวหน้าแก๊งข้างถนนมาก่อนครับ

มาพูดถึงบทความของ อ.ประพันธ์พงศ์ หน่อย ผมรู้จัก อ.ประพันธ์พงศ์ รู้จักเมื่อไร รู้จักครั้งแรกในการประชุมเพื่อขับไล่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อ.ประพันธ์พงศ์ นี่ล่ะมาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง เป็นผู้เจ้ากี้เจ้าการในการนัดหมาย ร่วมกับคุณแหน ผาณิต พูนศิริวงศ์

แล้ว อ.ประพันธ์พงศ์ เวชชาชีวะ ก็เป็นอาจารย์ที่สอนอยู่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ หลังจากชุมนุม 193 วัน ผมไปงานเลี้ยง คุณแหน คุณผาณิต พูนศิริวงศ์ อ.ประพันธ์พงศ์ เวชชาชีวะ เข้ามาทักทายคุณประพันธ์ รัก จะหอมแก้ม จะกอด จะจูบ จะฟัดอะไรกัน รักมาก เพราะอะไร เพราะไปไล่ทักษิณไง ไปด่าทักษิณ ไปวิพากษ์วิจารณ์ทักษิณ แล้วมาชุมนุมขับไล่ทักษิณ แล้วทำไมตอนนั้น อ.ประพันธ์พงศ์ ไม่บอกว่าพวกผมเป็นแก๊งข้างถนนล่ะ

เพราะฉะนั้นวันนี้ที่ อ.ประพันธ์พงศ์ มาเขียนบทความว่า เหตุที่ ศอ.รส.ออกมาตรการปิดจราจรรอบบ้านนายกฯ มาแก้ต่างแทน ศอ.รส. มาแก้ต่างแทนนายกฯ มาแก้ต่างแทนตระกูลเวชชาชีวะนั้น ไม่ละอายหรือที่มาเขียนเพื่อแก้ตัวให้กับครอบครัวและคนของตัวเอง

แก้ตัวให้ตัวเองไม่ว่าหรอก แต่สำคัญก็คือเนื้อหาที่เขียนมันเลอะเทอะ ใช้ไม่ได้ ไร้เหตุผล ไม่สมกับเป็นรองศาสตราจารย์ที่ศึกษามาทางด้านรัฐศาสตร์เลย ประการที่ 1 ก็คือ ท่านบอกว่า ก่อนจะไปวิพากษ์วิจารณ์ใคร สื่อนะครับ ว่าทำให้ร้านค้า โรงแรมเดือดร้อน ต้องถามว่าใครเป็นผู้สร้างความเดือดร้อนที่แท้จริงกันแน่ นี่ อ.ประพันธ์พงศ์ โปรยหัวมาตอนแรกแบบนี้ ผมก็ต้องถาม อ.ประพันธ์พงศ์ ตอบกลับไปว่า ก็ไอ้ที่ปิดถนนอยู่ทุกวันนี้ ที่ซอย 31 นั่นล่ะ ที่ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน นี่ประการที่ 1

2. ก็คือผู้ชุมนุมที่เขาไปประท้วงที่บ้านนายกฯ เขาไปแค่ครั้งคราวแล้วเขาก็เลิกรากันไป ไม่ได้ไปชุมนุมปิดบ้าน ปิดซอย อยู่เป็นปีเป็นเดือน เหมือนที่ท่านปิดอยู่ในขณะนี้ แล้ว 3. ที่ท่านมาถามว่าใครเป็นผู้สร้างความเดือดร้อนที่แท้จริงกันแน่ มันก็ถามว่า แล้วใครที่มันเป็นนายกฯ ที่มันบริหารบ้านเมืองให้ฉิบหาย ประชาชนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรมไปทุกหย่อมหญ้า บริหารบ้านเมืองจนชาติย่อยยับ เสียชาติ เสียแผ่นดิน ถ้านายกฯ บริหารบ้านเมืองดี ใครเขาจะไปประท้วง เขาก็เอาดอกไม้ไปชื่นชมแสดงความยินดี ทำไมไม่บอก ไม่บอกหลานตัวเองไปตักน้ำใส่กระโหลกชะโงกดูเงาหัวตัวเองบ้าง

ประเด็นที่ 2 ท่านก็บอกว่าความจริงที่เดือดร้อน ปิดถนนอยู่นี่ มันเกิดจากการละเมิดเสรีภาพของประชาชน ที่แก๊งข้างถนนได้ละเมิดกฎหมายมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ท่านจะด่าคนเสื้อแดงว่าเป็นแก๊งข้างถนน มันก็อาจจะพอฟังได้ แต่ท่านจะมาเหมารวมมาถึงพวกเราว่าเป็นแก๊งข้างถนนนั้น ไม่น่าจะได้ และจริงๆ แล้วก็ด่าประชาชนสีไหนก็ไม่ได้ว่าเป็นแก๊งข้างถนน เพราะประชาชนเขาชุมนุมตามสิทธิทางการเมือง ถ้าเขาทำตัวละเมิดกฎหมาย ก็เป็นหน้าที่ของบ้านเมืองที่จะจัดการตามกฎหมาย ตัวท่านเองก็เคยเป็นแก๊งข้างถนนเช่นเดียวกันมาก่อน

เพราะฉะนั้นประเด็นนี้จึงไปกล่าวหาประชาชนผู้มาชุมนุมว่าเป็นแก๊งข้างถนนนั้น เวลาเขาชุมนุมไล่รัฐบาลทักษิณ ไล่ พล.อ.ชวลิต โอ้โห เป็นมวลชนผู้เจริญ เป็นมวลชนในระบอบประชาธิปไตย เป็นพลังของมวลมหาประชาชนที่ยิ่งใหญ่ สนับสนุน แซ่ซ้อง สรรเสริญ แต่พอเขามาวิพากษ์วิจารณ์นายกฯ ที่เป็นหลานตัวเอง กลับหาว่าเขาเป็นแก๊งข้างถนน ท่านไม่ละอายปากตัวเองบ้างหรือครับ ว่าลูกหลานท่านที่เป็นนายกฯ มันบริหารบ้านเมืองดีนักเหรอ บริหารบ้านเมืองห่วยแตกกว่าเขาอีก คิดอะไรก็ไม่เป็น ทำอะไรก็ไม่เป็น โกงพอๆ กับทุกรัฐบาล มากกว่ารัฐบาลอื่นๆ ด้วยซ้ำไป

ประเด็นต่อมาก็คือ ท่านบอกว่า ท่านเขียนว่าพฤติกรรมที่แก๊งข้างถนน ไม่ว่าสีอะไร ก่อขึ้นต่อสังคมไทย ซึ่งไม่เคยปรากฏมาในอดีต โดยเฉพาะพฤติกรรมก้าวร้าวต่อเคหสถานส่วนตัวของนายกรัฐมนตรี เช่นในปัจจุบัน ท่านบอกว่าเคยเกิดขึ้นครั้งเดียวในสมัย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ รัฐบาลอื่นๆ น่ะไม่มี ถ้าไม่อยากให้ประชาชนไปชุมนุมประท้วงที่บ้านนายกฯ ก็บอกหลานของท่าน ให้มันรีบไสหัวและลาออกไปสิ

ไอ้ที่นายกฯ คนอื่นๆ ไม่ว่าพระยามโนกรณ์ นิติธาดา พระยาพหล พลพยุหเสนา จอมพล ป. นายควง หลวงธำรงค์ จอมพลสฤษดิ์ จอมพลถนอม นายสัญญา พล.อ.ชาติชาย นายบรรหาร ทักษิณ ที่ท่านเอ่ยนามมว่าทำไมเขาไม่ไปประท้วงที่บ้าน ก็เพราะเขาไม่เลวเหมือนหลานท่านไงครับ เขาไม่อำมหิตเหมือนหลานท่านไง เขาไม่ปล่อยให้รัฐบาลมันโกง ทุจริต และหน้าด้านเหมือนหลานท่านไง

มันหน้าด้าน มันอำมหิต ปล่อยให้รัฐบาลชั่ว รัฐบาลโกงกิน ขายชาติ ขายแผ่นดิน แล้วทำเป็นดื้อตาใสไงครับ เขาถึงไปประท้วง นายกฯ คนอื่นมันไม่หน้าด้าน ไม่ดื้อตาใสเหมือนหลานท่านไง เพราะฉะนั้นท่านทำไมจะต้องมาถาม แล้ว 2 ถ้านายกรัฐมนตรี ถ้าบ้านนั้นนายกรัฐมนตรีไม่เอาหัวไปซุกอยู่บ้านหลังนั้น ก็ไม่มีใครเขาไปหรอกครับ แต่เมื่อคุณเป็นคนสาธารณะ เป็นนายกรัฐมนตรี บริหารบ้านเมืองฉิบหาย เสียหาย เขาก็ต้องไปประท้วง และก็ต้องไปที่บ้านคุณ แต่เขาก็ไม่ได้ไปปิดถนนเฝ้าบ้านคุณอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง ใช่มั้ยครับ ไปแล้วเขาก็กลับ แต่ที่ท่านปิดถนน มันปิดมาเป็นปีแล้ว ไม่สำนึกหรือไง

เพราะฉะนั้นคุณต้องไปอบรมหลานของท่านสิว่า บริหารบ้านเมืองอย่างไรต่างหาก

ส่วนประเด็นต่อมา ท่านเขียนบอกว่า ตั้งแต่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ บ้านที่อาศัยอยู่ก็เป็นบ้านของ ศ.นพ.อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้เป็นบิดา ก็รู้แล้วว่าหลานท่านไม่มีปัญญาหาเงินซื้อบ้านเอง ยังต้องเกาะครอบครัว พ่อแม่อยู่ เพราะไม่เคยทำมาหารับประทาน ประกอบสัมมาอาชีพอะไรเป็นเรื่องเป็นราวเลย ทีนี้ท่านมาบอกว่า แต่พฤติกรรมของกลุ่มพลัง ทั้งสีแดง สีเหลือง ได้นำพฤติการณ์เผด็จการมาใช้ โดยอ้างว่าเป็นประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่เป็นการใช้เสรีภาพเกินขอบเขตแห่งวิถีทางระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อกลุ่มเสื้อแดงบุกสาดเลือด มีเหตุปิดล้อมบ้าน กลุ่มพลังเสื้อเหลืองก็มีพฤติกรรมทำนองเดียวกัน ซึ่งสร้างความหวั่นไหวเดือดร้อนแก่ชาวบ้านที่อยู่ในละแวกนั้น

พี่น้องครับ อ.ประพันธ์พงศ์ พยายามจะบอกว่า ทั้งเสื้อเหลือง เสื้อแดง ใช้พฤติกรรมแบบเผด็จการ ไม่เป็นไปตามวิถีทางประชาธิปไตย การที่เขาไปประท้วง ไปชุมนุมนั้น มันเป็นวิถีทางประชาธิปไตย แต่การไปสาดเลือด เทเลือดนั้น ก็เป็นพฤติกรรมส่วนตัวของกลุ่มผู้ประท้วง ถ้าละเมิดและผิดกฎหมาย ท่านก็ดำเนินคดีต่อได้ แต่รับรองว่ากลุ่มคนเสื้อเหลืองไม่เคยใช้พฤติกรรมอันเป็นการก้าวร้าว รุนแรง ใช่มั้ยครับ

ถ้าท่านจะบอกว่ากลุ่มคนเหล่านี้ใช้พฤติกรรมเผด็จการ อ.ประพันธ์พงศ์ ครับ จบมาทางรัฐศาสตร์ไม่ใช่หรือ ท่านไปถามดูซิ แล้วที่หลานของท่านที่มันเป็นนายกฯ น่ะ มันจะมารื้อส้วม รื้อไล่ประชาชนที่มาชุมนุมโดยสงบ สันติ แล้วใช้กฎหมายความมั่นคงนั้น มันเป็นการใช้อำนาจประชาธิปไตย หรือเผด็จการ

และที่หลานท่านประกาศ พ.ร.ก.ความมั่นคง อยู่เป็นปี เอาตำรวจ ทหาร ห้อมล้อม ปิดซอย ปิดบ้าน คุ้มครองตัวเอง ใช้เงินงบประมาณแผ่นดิน ไปไหนมาไหน นั่งรถกันกระสุน กลัวตาย มันเป็นพฤติกรรมของผู้ลุแก่อำนาจและเผด็จการหรือเปล่าล่ะ ที่ใช้อำนาจลิดรอนเสรีภาพประชาชน ห้ามการชุมนุม ห้ามออกนอกบ้าน ประกาศ พ.ร.ก.ความมั่นคง อยู่เป็นปี ทั้งๆ ที่เหตุการณ์ชุมนุมสงบไปแล้ว และที่ใช้อำนาจให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาตั้งข้อกล่าวหาผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ เป็นกฏบฏ ชุมนุมก่อการร้าย บุกรุก สารพัดข้อกล่าวหานั้น มันเป็นอำนาจเผด็จการ ใส่ร้ายป้ายสีประชาชน ยัดเยียดข้อหาอันเป็นเท็จ เป็นพฤติกรรมของผู้เผด็จการหรือไม่ และเป็นพฤติกรรมของพวกเนรคุณประชาชนหรือเปล่า

เพราะฉะนั้นคนที่เป็นเผด็จการ และมีพฤติกรรมอันก้าวร้าว รุนแรง และคุกคามเสรีภาพประชาชน ผมว่าหลานคุณจะมีพฤติกรรมก้าวร้าว รุนแรง และคุกคามเสรีภาพประชาชน ทุกกลุ่ม ทุกสี มากกว่าใครอื่นด้วยซ้ำไป

เพราะฉะนั้น เมื่ออ่านบทความของ อ.ประพันธ์พงศ์ มาแล้วทั้งหมด ผมอยากจะบอกว่า ที่ท่านมาบอกว่าประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทำให้อุ่นใจว่าบ้านเมืองยังมีขื่อมีแป ก็ใช่สิ เพราะมันมีขื่อมีแปเฉพาะคุ้มครองครอบครัวและตระกูลเวชชาชีวะ ส่วนประชาชนจะโดนกฎหมายความมั่นคงกดขี่ข่มเหง และเอารัดเอาเปรียบ ตั้งข้อกล่าวหา กวาดล้างปราบปรามประชาชนอย่างไรก็ช่างแม่มัน ใช่มั้ยครับ แต่ถ้าความเดือดร้อนของครอบครัวเวชชาชีวะแล้ว ก็เลยเป็นเรื่องใหญ่ ส่วนประชาชนจะตาย ช่างแม่งมัน ใช่มั้ยครับ

มันจะมีขื่อมีแปก็เฉพาะครอบครัวคุณ แต่ประชาชนที่เขาชุมนุม และเขาเดือดร้อน รวมทั้งคุณวีระ ราตรี ที่โดนคุณปล่อยให้เขาไปโดนรับโทษอย่างอำมหิตน่ะ มันมีขื่อมีแปมั้ย ที่ปล่อยให้คนไทยไปโดนข้อหาอันไม่เป็นธรรม แล้วโดนศาลเขมรตัดสิน โดยการยัดเยียด กล่าวหา สร้างหลักฐาน ให้กับกัมพูชา โดยหลานของคุณเอง ที่ออกมาปรักปรำคนไทยด้วยกัน นี่หรือขื่อแปที่คุณต้องการ

เพราะฉะนั้นถ้าคุณอยากจะได้บ้านเมืองสงบ ก็ไปบอกรัฐบาล ไปอบรมนายกฯ สิ ว่าให้เลิกโกง เลิกทุจริต เลิกคุกคามสิทธิเสรีภาพของประชาชน และถ้ารู้ตัวว่าไม่มีน้ำยาบริหารบ้านเมืองแล้ว ก็ควรจะไสหัวออกไปซะ

แต่ก่อนผมก็เคารพ และเห็นด้วย และพยายามสนับสนุน อยากให้คนของตระกูลเวชชาชีวะได้เป็นนายกฯ สักครั้ง คงจะเป็นความชื่นชมยินดีของท่าน แต่เมื่อเป็นแล้วบริหารบ้านเมืองไม่ได้เรื่อง ประชาชนก็ต้องหมดศรัทธา ผมก็ต้องหมดศรัทธา โดยเป็นไปตามเหตุและผลและข้อเท็จจริงทั้งนั้น ไม่มีใครจงเกลียดจงชังตระกูลเวชชาชีวะมาแต่เก่าก่อน และไม่เคยมีอคติเลย ใช่มั้ยครับ

มันมาจากสาเหตุของการบริหารชาติบ้านเมืองที่ล้มเหลว ไม่ได้เรื่องได้ราว ของนายอภิสิทธิ์ แต่ยังหน้าด้านอยากจะเป็นนายกฯ อีก อยากจะเลือกตั้งกลับมาเป็นนายกฯ อีก โดยไม่ดูเงาหัวตัวเองเลยบริหารบ้านเมืองอย่างไร แถมคนในตระกูลนี้ก็ยังหลงระเริง นึกว่าคนของตัวเอง ชาวบ้านคงจะรักมาก ไม่ดูเลยว่าขณะนี้คนทั้งบ้านทั้งเมืองเกลียดขี้หน้าหลานท่านแทบจะถีบทีวีพังทุกวันอยู่แล้ว

เห็นหน้าออกมาทีวีทีไร พอเห็นออกทีวีปั๊บ ผมอยากจะถีบทีวีพังทันที เพราะอะไรครับ ขณะที่เรามาพูดอยู่ในขณะนี้ เรียกร้องให้ทำหน้าที่อยู่ขณะนี้ ไม่ทำ ออกสปอตโฆษณา ผมจะอาสามาแก้ไขปัญหา ฟื้นฟูให้ชีวิตประชาชนมีความสุข จะกลับไปสู่การเลือกตั้ง โฆษณาหาเสียงเลือกตั้งแล้ว โอ้โห ผมนึกละอาย ไอ้คนนี้ทำไมมันหน้าด้านขนาดนี้

บริหารบ้านเมืองล้มเหลว ประชาชนเข้าคิวซื้อน้ำมันปาล์ม โกง ทุจริตเกลื่อนบ้านเกลื่อนเมือง แผ่นดินก็เสีย ยกอธิปไตยให้เขมร ยังหน้าด้านมาโฆษณาหาเสียงเลือกตั้ง ผมจะคืนความสุขให้ประชาชน จะแก้ปัญหาให้คนยากคนจนอย่างนั้นอย่างนี้ พูดจาเป็นตุเป็นตะ ไม่ละอายปากเลยว่าตัวเองทำงานอย่างไร พี่น้องกลับไปบ้าน ใครเห็นสปอตโฆษณานายอภิสิทธิ์ก็ต้องรีบปิดทันที เพราะมันเบื่อ เหม็นขี้หน้า

ถ้าทำงานดี บริหารประเทศชาติเจริญรุ่งเรือง ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่มีใครมาประท้วง

นี่ก็ตอบเตือนหนังสือพิมพ์แนวหน้าไป แล้วก็ตอบโต้ อ.ประพันธ์พงศ์ เวชชาชีวะ ว่า ทีหลังจะเขียนนะ ผมว่ามันละอายนะ เพราะตัวเองมาเขียนเชียร์ เขียนปกป้องหลานตัวเอง ว่าหลานด้านแล้วนะ ญาติพี่น้องเดี๋ยวเขาจะหาว่าเป็นตระกูลด้าน ด้านเวชชาชีวะ ไม่ใช่เวชชาชีวะแล้วนะ อย่างนี้เขาเรียกว่าตระกูลด้านชาชีวะ นึกว่าเป็นเฉพาะหลาน มันเป็นกันทั้งหมดเลยเหรอ

พี่น้องครับ นี่ก็คือเรื่องหนึ่งที่อยากจะคุยกับพี่น้อง ก็เอาพอหอมปากหอมคอ ผมก็หวังว่า ถ้าไม่อยากได้นามสกุลด้านชาชีวะ ก็ควรจะลาออกไปซะ

ทีนี้ อีกเรื่องหนึ่งครับ เรื่องที่มันเป็นเรื่องที่ระอาใจกับพี่น้องประชาชนชาวไทยและประเทศไทยขณะนี้ก็คือ ในขณะที่เรามาชุมนุมอยู่ในขณะนี้ เอาทุกเรื่องมาพูด ไม่ว่าเรื่องประเทศไทยต้องเสียดินแดนอย่างไร เราพูดมาเยอะ ทีมวิชาการเราก็พูด คุณสนธิขึ้นมาสรุปรวบยอดให้ฟัง ข้อเท็จจริงเรื่องนี้มันเห็นชัดว่ารัฐบาลโต้แย้งเราไม่ได้เลย เรื่องที่ 2 รัฐบาลนี้โกง ทุจริต เรื่องอะไรบ้าง ไอ้ฝ่ายค้านที่อภิปรายรัฐบาลอยู่ขณะนี้มันหน่อมแน้ม มันมวยล้มต้มคนดู มันอยากยุบสภา อยากไปเลือกตั้ง กอดคอกันไปเลือกตั้ง แล้วก็จูงมันกันไว้ไปด้วยกัน แล้วก็กลับมาโกงกินด้วยกัน

มันอภิปรายสัปปะรังเค ไม่มีอะไร อภิสิทธิ์มันก็เก่งแต่เฉพาะกับไอ้พวกโจร 500 ด้วยกัน แน่จริงมาตอบโต้กับเวทีนี้สิ ทำไมไม่กล้ามาชี้แจงล่ะ เรื่องโกง เรื่องทุจริต เรื่องบริหารชาติบ้านเมืองล้มเหลว ไม่กล้าโต้แย้งกับเวทีพันธมิตรฯ เลย แรกๆ ขยันโต้แย้ง พอโดนกลับคืนไปทีละดอก สองดอก หายหัว มุดหัวหนีเลย

เมื่อไม่โต้แย้ง ก็ถือว่ายอมรับ กฎหมายปิดปากก็คือว่าคุณทำความล้มเหลวและความระยำกับประเทศจริงๆ ใช่มั้ยครับ

เวลานี้ไม่ทำอะไร คิดจะหาทางไปเลือกตั้ง พี่น้อง ในขณะที่โพลทุกสำนักก็ออกมาแล้ว ว่าประชาชน 58-60 เปอร์เซ็นต์กว่าๆ ไม่สนใจการเลือกตั้ง และไม่ต้องการที่จะเลือกพรรคการเมืองใดเลย แสดงว่าเขาปฏิเสธระบอบเลือกตั้งแล้ว ใช่มั้ยครับ

เพราะอะไรครับพี่น้อง ผมจะพูดให้พี่น้องฟังว่าประเทศไทยเราตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 มาถึงปัจจุบันนี้ เรามีรัฐธรรมนูญมาแล้ว เปลี่ยนแปลงการปกครองมาแล้ว เรามีรัฐธรรมนูญมาถึงฉบับปัจจุบันนี้ 18 ฉบับ มีการเลือกตั้งมาแล้ว 25 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2476 ครั้งสุดท้าย 23 ธันวาคม 2550 เราเลือกผู้แทนกันมาแล้ว 25 ครั้ง พี่น้องรู้มั้ยแต่ละครั้งใช้เงินเป็นร้อยๆ ล้าน แล้วก็ไล่มาจนถึงพันล้าน ครั้งหลังสุดเมื่อปี พ.ศ.2549 ใช้ไป 2 พันล้าน 22 เมษาฯ 2,000 ล้าน นี่ปรากฏว่าเลือกตั้งเป็นโมฆะ จะมาเลือกตั้งใหม่เดือนตุลาคม ก็เลยโดนปฏิวัติเสียก่อน

กลับมาเลือกตั้งเมื่อ 23 ธันวาคม 50 ครั้งสุดท้าย ก็ใช้งบไป 1,900 ล้าน ในการจัดการเลือกตั้ง ปี 54 ปีนี้ ที่เตรียมจะเลือกตั้งปีหน้า กกต.ของบประมาณจัดการเลือกตั้ง 4,000 ล้านครับ

ทำไมมันเพิ่มขึ้นจาก 1,900 ล้าน ขอเพิ่มขึ้น 4,000 ล้าน อ้างว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะดุเดือด เข้มข้น กกต.จะต้องทำงานในเชิงรุก งบสืบสวนสอบสวนที่มีแต่เดิม 100 ล้าน เพิ่มเป็น 500 ล้าน เพิ่มงบทุกๆ ด้านขึ้นไปหมดเลย ของบเพิ่มขึ้นเป็น 100 เท่า จาก 1,900 ล้าน เป็นของบ 4,000 ล้าน

ปีหนึ่งเราใช้เงินไปเพื่อการเลือกตั้งไม่น้อย นี่ยังไม่นับรวมการเลือกตั้งท้องถิ่น และอาจจะต้อง แล้วเวลาเลือกตั้งมีเงินสะพัดอยู่ในการเลือกตั้งเป็นหลายหมื่นล้าน และคราวนี้ผมเชื่อว่าอาจจะเป็นแสนล้าน เพื่อการเลือกตั้ง แต่ละพรรคต้องทุ่มเต็มที่ เพื่อให้ได้เงิน ให้ได้อำนาจ ได้เงินไปซื้ออำนาจ เพื่อให้ได้จำนวน ส.ส.มากพอที่จะเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล หรือเข้าร่วมรัฐบาล เพราะทุกพรรคแข่งกันเพื่ออยากจะมาเป็นรัฐบาลทั้งนั้น ไม่มีพรรคไหนอยากเป็นฝ่ายค้าน เพราะมันอดอยากปากแห้ง

ปัญหาก็คือว่า บ้านเมืองยามนี้ พี่น้องถามจริงๆ ใครอยากเลือกตั้ง ให้ปรบมือครับ (เงียบ) ใครไม่อยากให้เลือกตั้งให้ปรบมือดังๆ (ปรบมือ) เห็นมั้ยพี่น้องที่นี่ ผมเชื่อว่าเป็นตัวแทนความคิดของพี่น้องทางบ้านได้ เพราะก็คงมีเจตนารมณ์ มีใจตรงกัน คนเหล่านี้รู้ทันนักการเมือง เพราะอะไรครับ ก็เมื่อกี้เราอ่านกลอนมาแล้วตั้งแต่ปี 2500 นักการเมืองมันชั่ว มันโกง มันขายชาติขายแผ่นดินอย่างไร มาถึงยุคนี้ สมัยนี้ มันยิ่งหนักกว่าเก่า เลือกตั้งมาแล้ว 25 ครั้ง ก็ได้นักการเมืองมาผลัดเปลี่ยนกันโกงบ้านกินเมืองเหมือนเดิม

ใช้เงินภาษีของประเทศไทยไปโดยไร้ประโยชน์ เลือกตั้งไปก็ได้นักการเมืองกลับมาโกงกินอย่างเดียว มาตั้งรัฐบาล ก็ได้รัฐบาลที่โกงกิน ทุจริต แถมวันนี้พัฒนาไปไกลถึงขายชาติขายแผ่นดินกินอีก ไม่ใช่ธรรมดาแล้ว

ส่วนสภาผู้แทนฯ เลือกตั้งไปเลือกตั้งมาจนถึง 25 ครั้ง มันเป็นสภาอะไร เป็นสภาเถื่อน ถ่อย ถีบ และสภาขี้ข้าทาสนายทุนเจ้าของพรรค เลยได้ชื่อว่าสภาเถื่อน ถ่อย ถีบ ทาส ครับ ด่ากันเหมือนหมูเหมือนหมา ไม่มีราคา เขาเรียกจากผู้ทรงเกียรติ ก็กลายเป็นผู้ทรงเกือกไปแล้ว

การเมืองมันถอยหลัง ส่วนประชาชนได้อะไร เลือกตั้งไปเลือกตั้งมาก็คือ เรามานั่งมาบอกให้มันทำหน้าที่ มันบอก 1 คน แสนคน มันก็ฟัง 1 คนมันก็ฟัง เอาไปเอามามันเคยฟังประชาชนมั้ยครับ ไม่ฟังเลย ประชาชนได้อะไร ได้เข้าคิวซื้อน้ำตาล น้ำมันปาล์ม ได้ชั่งกิโลไข่ขาย

บ้านเมืองจลาจล แผ่นดินลุกเป็นไฟ ได้เขมรมายึดแผ่นดิน คนไทยหนีระเบิด หนีปืนใหญ่ เขมรหนีภัยเขมร เลือกตั้ง นักการเมืองรวยเอาๆ เศรษฐีใหม่เกิดขึ้นทุกวัน แต่ประชาชนจนลง เดือดร้อนทุกวัน จากระบอบเลือกตั้งอันสัปปะรังเคนี้

นักการเมืองมันไม่ได้กินเพียงในประเทศแล้วตอนนี้ กินประเทศจนจะหมดแล้ว ประชาชนเหลือแต่กระดูกแล้ว มันกินข้ามชาติเลย เอาแผ่นดินไปผนวกกับเขมร ขายสัมปทาน หากินกับทุนข้ามชาติ ปล้นประเทศ ปล้นประชาชน ขายชาติขายแผ่นดิน หนักกว่าเดิมอีก

เวลานี้เขาเริ่มเห็นแล้วว่านายอภิสิทธิ์มันเริ่มจะไปไม่ได้ กลุ่มทุนก็กำลังอาจจะไปควานหาตัวสำรองมา กำลังจะไปคว้าเอานายปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ มา ความจริงพยายามจะอ้างว่านายปุระชัยเป็นคนตรง ไม้บรรทัด ไม้บรรทัดประสาอะไร ผมน่ะอยู่ สนช.รู้จักนายปุระชัยดี ไม้บรรทัดจอมปลอมครับ มันก็เหมือนกับนายอภิสิทธิ์ล่ะ นายนี่ยิ่งหนักกว่าอีก สร้างภาพยิ่งกว่าอีก จอมปลอมหนักยิ่งกว่าวิญญูชนจอมปลอมอีก

มันก็จะมาเป็นหุ่นเชิดให้กับพวกนักการเมืองอีกเหมือนเดิม ไม่มีน้ำยา ขณะนี้ก็สุมหัวอยู่กับในวงการตำรวจประเภทกังฉินทั้งนั้น ทำตัวเป็นพ่อพระ แต่อยู่แวดล้อมด้วยตำรวจกังฉินทั้งนั้น

เพราะฉะนั้นการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นต่อไปข้างหน้า มันไม่ได้ชี้ทางสว่าง ไม่ได้ให้อนาคตกับบ้านเมืองเลย เราเลือกตั้ง เสียเงินเสียทองไป ก็เลือกตั้งเพื่อจะเอานักการเมืองพวกนี้กลับมา แล้วต่อไปนี้นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งมันก็ต้องตกอยู่ใต้อำนาจของใครล่ะ สุวัจน์ บรรหาร เนวิน สุเทพ ชวรัตน์ ชาญวีรกูล สนั่น ขจรประศาสน์ คนพวกนี้ล่ะ สมศักดิ์ เทพสุทิน ที่จะมาเป็นตัวบงการ รวมทั้งเนวิน ชิดชอบด้วย มาเป็นผู้บงการอนาคตของชาติของประเทศไทย แล้วเราจะไปสร้างความชอบธรรมให้เขาทำไม

เพราะฉะนั้นผมคิดว่าถ้าแม้นว่า ถ้าหากการเลือกตั้ง ถ้ามี ผมยังไม่แน่ใจว่ามันจะมีหรือเปล่านะ ถ้าเป็นไปได้ผมไม่อยากให้มันมีเลย อยากให้กวาดล้างนักการเมืองอัปรีย์ลงนรกให้หมดก่อนค่อยเลือกตั้ง เหมือนบทกลอนที่คุณสนธิเอามาอ่านน่ะ ขุดนรกให้มันกว้างๆ แล้วเอานักการเมืองอัปรีย์ไปนรกให้หมดเสียก่อน ล้างบ้านล้างเมืองให้สะอาดก่อนค่อยเลือกตั้ง ไม่งั้นบ้านเมืองเดินหน้าไปไหนไม่ได้หรอกครับพี่น้อง

เพราะฉะนั้นทางออกของเราวันนี้ ประชาชนก็อยู่ที่ว่า เราจะอยู่กับการเมืองการเลือกตั้งแบบนี้ต่อไป เราก็จะได้การเมืองแบบที่เห็นและเป็นอยู่ขณะนี้ แต่ถ้าเราไม่เอาการเมืองแบบนี้ มันก็มีทางเลือกอีกทางหนึ่ง คือ ล้างอัปรีย์จัญไรให้สิ้นแผ่นดินเสียก่อน ปฏิรูปชาติ ปฏิรูปบ้านเมืองขนานใหญ่เสียก่อน วางกฎกติกาบ้านเมืองให้มันเป็นธรรม เปิดโอกาสให้คนดีๆ เข้ามาบริหารชาติบ้านเมือง หาชายชาตรีชาติอาชาไนย ที่ทั้งตัวและใจเป็นไทยและรักชาติจริงๆ มาปกครองบ้านเมือง มีความซื่อสัตย์ ไม่ใช่ชายชาติชาตรีจอมปลอมที่นั่งหน้าตาเจี๋ยมเจี้ยมเป็นนายกฯ อยู่ในขณะนี้ มันชายชาตรีจอมปลอมครับ

หรือภาษากวีเขาบอกว่า มันเป็นคนปนสัตว์ หน้าพระแต่ใจคด หน้าตาดูดี แต่จิตใจต่ำทราม ความรับผิดชอบไม่มีเลย สำนึกแห่งความรักชาติรักแผ่นดินก็ไม่มีเลย คิดแต่จะหาทางโกงบ้านโกงเมือง เพราะฉะนั้นถ้าเราเลือกตั้งต่อไปมันก็จะได้อย่างนี้ ทำไมเราจะต้องยอมจมอยู่กับระบอบนี้

จึงฝากไปถึงผู้มีอำนาจวาสนาในบ้านเมือง ใครที่คิดอยากจะเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้กับเรา ก็ต้องออกมายืนอยู่กับพวกเราใช่มั้ยครับพี่น้อง

ถ้าหากแม้มีการเลือกตั้ง เราก็จะมีมาตรการที่จะบอยคอตหรือตอบโต้ แซงก์ชั่นการเลือกตั้ง ด้วยการรณรงค์ เราอาจจะเรียกร้องด้วยการไปใช้สิทธิ์แต่โนโหวตกันทั้งประเทศเลยครับ เพื่อตบหน้านักการเมืองว่าประชาชนไม่เห็นด้วย และไม่ยอมรับระบอบการเลือกตั้งที่จอมปลอมและขี้โกง เพื่อปล้นอำนาจ มาปกครองประชาชน และเงิน 4,000 ล้านบาท ที่ กกต.จะขอไปเพื่อจัดการเลือกตั้ง จัดยังไงก็ไม่มีทางที่จะได้นักการเมืองดี และจะไม่มีทางทำให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตโปร่งใสอย่างแน่นอน ยังไงมันก็โกง ซื้อเสียงอย่างหนักเหมือนเดิม กกต.ไม่มีปัญญาหรอกครับที่จะไปจับโกงได้

แม้ว่าคุณจะเพิ่มเงินสืบสวนสอบสวนเป็น 500 ล้าน มันก็ไม่มีทางที่จะไปจับโกง เพราะ กกต.ชุดนี้ก็จัดการเลือกตั้งมาแล้ว ก็ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรอย่างที่เห็นอยู่ในขณะนี้ นักการเมืองโกงก็หลุดรอดตาข่ายเข้ามาหมด พรึ่บเป็นแถว

เพราะฉะนั้นพี่น้อง วันนี้เราจึงมีทางเลือกอยู่แค่นี้ล่ะ จะเลือกตั้งต่อไป หรือไม่เลือกตั้ง ถ้าไม่เลือกตั้งก็ต้องหาทางเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงบ้านเมืองก็อยู่เฉยๆ ปล่อยไปตามยถากรรมมีอยู่ 3 ทางนี้ พี่น้องจะเลือกเอาทางไหนเท่านั้นเอง

แต่ผมเชื่อแน่ว่า ถ้าพี่น้องต้องการให้บ้านเมืองเปลี่ยนแปลง สังคมเปลี่ยนแปลง และอยากให้นักการเมืองสกปรกโสโครกนี้ลงนรกให้หมด ปรบมือดังๆ หน่อยครับ ส่งไปถึงผู้มีอำนาจในบ้านเมือง และส่งไปถึงคนที่รักบ้านรักเมืองให้ได้เข้าใจว่าประชาชนทนไม่ไหวกับการเมืองระบอบสัปปะรังเคนี้แล้ว

เราต้องการการเปลี่ยนแปลง ต้องการสิ่งใหม่ที่ดีกว่า พี่น้องครับเรายืนหยัดต่อสู้ต่อไปเถอะครับ ผมเชื่ออย่างหนึ่ง การต่อสู้ของเราทุกคนเกิดการเปลี่ยนแปลงทุกครั้ง ไล่ทักษิณครั้งแรก เกิด 19 กันยาฯ 49 ไล่ทักษิณครั้งที่ 2 สมชาย สมัคร ไปใช่มั้ยครับ ไล่อภิสิทธิ์ครั้งนี้ มันก็ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงในบ้านเมืองอย่างแน่นอน ผมมีความเชื่อมั่นอย่างนั้น ด้วยพลังของพวกเราจะกดดันให้สังคมต้องเปลี่ยนแปลง ไม่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ผมเชื่อมั่น

มีคนมาถามอยู่เรื่อยว่า ต่อสู้ไปแล้วมันจะจบยังไง มันจะมีทางออกอย่างไร ผมก็ตอบผู้สื่อข่าวไปด้วยซ้ำไป ผมบอกว่าตอนชุมนุมไม่เคยนึกเลยว่ามันจะจบยังไง รู้อย่างเดียวว่า ถ้าอะไรถูกต้องแล้วเดินหน้าสู้จนถึงที่สุดครับ แล้วสุดท้ายมันก็จะมีทางออกของมันเองทุกครั้งล่ะครับ

ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ในที่สุดมันก็ต้องมีทางออกของมันอย่างแน่นอน และต้องดีขึ้นสำหรับประชาชน และจะเป็นนรกสำหรับนักการเมืองอย่างแน่นอนครับ ขอบคุณมากครับ แล้วพบกันใหม่พรุ่งนี้ สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น