ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เวลานี้ นอกจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะแห่งพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นผู้ท้าชิงเก้าอี้ “นายกรัฐมนตรี” ภายหลังจากการยุบสภาแล้ว ดูเหมือนว่า การเลือกตั้งเที่ยวนี้นายอภิสิทธิ์ที่นับวันกระแส “ยี้” หรือกระแสไม่เอาอภิสิทธิ์เพิ่มขึ้นเป็นลำดับจะต้องเผชิญกับคู่แข่งขันเพื่อเสนอตัวเป็นทางเลือกให้กับสังคมอย่างน้อยจาก 2 พรรคการเมืองด้วยกัน
แถมเที่ยวนี้ ผู้ท้าชิงยังไม่ใช่บุคคลธรรมดา หากเป็นถึงบุคคลระดับ “เจ๊” อีกต่างหาก
เจ๊ 2 คนแรกเป็นผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย โดยเจ๊คนแรกในช่วงการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ที่เพิ่งผ่านมาสดๆ ร้อนๆ ก็ได้แสดงฝีไม้ลายมือและความกระสันอยากเป็นนายกรัฐมนตรีให้เห็นแล้ว นั่นคือ “เจ๊มิ่ง-นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์” อดีตผู้อำนวยการองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย(อสมท) ที่เลือกอยู่เคียงข้างกับนายใหญ่ “นช.ทักษิณ ชินวัตร” ตั้งแต่เรืองอำนาจจนกระทั่งต้องหนีคดีอาญาแผ่นดินกลายเป็นนักโทษชายที่มีถิ่นพำนักพักอาศัยเป็นสัมภเวสีในต่างประเทศ
และด้วยชื่อชั้นของเจ๊มิ่ง ทำให้มี ส.ส.พรรคเพื่อไทยให้การสนับสนุนคิดเป็นตัวเลขที่ไม่น้อยเลยทีเดียว ยกเว้น “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” ที่กระสันอยากเป็นนายกฯ เช่นกัน จึงสำแดงตัวเองเป็นปฏิปักษ์กับเจ๊มิ่งอย่างเปิดเผยทั้งต่อหน้าและลับหลัง
“นายมิ่งขวัญไม่มีความเป็นผู้นำ เศรษฐกิจก็มีความชำนาญแค่การตลาด จะเอาอะไรมาเทียบกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์” ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทยวิพากษ์นายมิ่งขวัญอย่างตรงไปตรงมา พร้อมทั้งประกาศชัดเจนว่า ถ้าหากนายมิ่งขวัญได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคปีศาจดังที่ว่าที่ร้อยตรีไพโรจน์ สุวรรณฉวีตั้งสมญานามให้ไว้ จะขอวางมือทางการเมืองในทันที
ขณะเดียวกันการปล่อยข่าวเพื่อทำลายเจ๊มิ่งก็มีออกมาให้เห็นเป็นระยะๆ ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนให้เจ้าของพรรคตัวจริงต้องคิดสะระตะให้รอบคอบถ้าหากดันเจ๊มิ่งขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจมีรายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทยเปิดเผยว่าการสรุปญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจของนายมิ่งขวัญเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา แกนนำพรรคบางส่วนประเมินว่า นายมิ่งขวัญสรุปญัตติในการอภิปรายไม่เข้าประเด็นมากเท่าที่ควร แต่กลับใช้เวทีนี้หาเสียงล่วงหน้าให้ตัวเองในการเสนอตัวเป็นนายกรัฐมนตรีมากเกินไป ทำให้พรรคเพื่อไทยเสียคะแนนส่วนนี้ไปบ้าง
ทั้งนี้ ด้วยผลพวงจากอิทธิฤทธิ์ของเป็ดเหลิม ทำให้มีการหยิบชื่อเจ๊อีกคนหนึ่งขึ้นมาเป็นคู่แข่งขันในทันที นั่นคือ “เจ๊ปู-น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” หวานใจของ “อนุสรณ์ อมรฉัตร” น้องนุชคนสุดท้องของ นช.ทักษิณที่ดูเหมือนว่าจะเป็นคู่แข่งขันที่สมน้ำสมเนื้อและมีภาษีดีกว่าเจ๊มิ่งเสียด้วยซ้ำไป
เพราะคุณสมบัติพิเศษของเจ๊ปูคือการเป็นสายตรงของนช.ทักษิณ ซึ่งนั่นหมายถึงอำนาจในการสั่งจ่ายกระสุนดินดำที่ไม่เป็นสองรองใคร
และล่าสุดด้วยผลงานในการอภิปรายที่ไม่เข้าตาของเจ๊มิ่ง ทำให้ดูเหมือนว่าเจ๊ปูจะเป็นอีกทางเลือกที่กำลังมาแรงไม่น้อย
และไม่เพียงแค่ ร.ต.อ.เฉลิมเท่านั้นที่สนับสนุน แต่บรรดา ส.ส.ของเพื่อไทยจำนวนไม่น้อยก็เห็นควรที่จะให้เจ๊ปูเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยเช่นกัน เช่น นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทยกล่าวถึงกรณีเจ๊ปู อาจจะขึ้นมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทยว่า เรื่องนี้ก็มีความสอดคล้องกับการที่มีหมอดูการเมืองออกมาคาดเดาว่านายกรัฐมนตรีคนต่อไปจะเป็นผู้หญิง อีกทั้งตนเองยังมองตามหลักของโหวงเฮ้งแล้วพบว่าเส้นบารมีตรงส่วนของช่วงแก้มนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถือว่าตรงตามโหงวเฮ้ง
รวมกระทั่งถึงขาใหญ่อย่าง “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์”
ยิ่งเมื่อวิเคราะห์จากถ้อยคำของ นช.ทักษิณที่โพสต์ข้อความผ่านเว็บไซต์ทวิตเตอร์ @thaksinlive เกี่ยวกับคุณสมบัติ 9 ข้อของผู้ที่จะมาเป็นนายใหญ่คนใหม่ของพรรคเพื่อไทยคือ 1.ต้องเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนพูดจาประสานงานกับทุกฝ่ายได้ไม่ขยันสร้างศัตรู 2.ต้องมีคนที่มีเมตตาธรรม 3.ต้องมีจิตใจรักความเป็นธรรม 4.ต้องเป็นกล้าเปลี่ยนแปลงแก้ไขในสิ่งที่ผิด 5.ต้องเป็นคนเข้าใจเศรษฐกิจของประชาชนและของภาคธุรกิจ 6.ต้องเป็นผู้มีประสบการณ์ในการบริหารองค์กรขนาดใหญ่ เข้าใจอย่างเดียวแต่ทำไม่เป็นไม่ได้ 7.ต้องเป็นคนที่มีใจรักประชาชน 8.ต้องเป็นผู้รักความเป็นประชาธิปไตยโดยเคารพความสามารถและสติปัญญาของประชาชน 9.ต้องเป็นผู้ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ก็ยิ่งเห็นความโดดเด่นในตัวเจ๊ปูฉายแสงออกมาในทันที
ต่อมาเมื่อผู้ใช้นามแฝง @Unlimitedheart ถามถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์โดยอ้างว่าหลายคนยอมรับ นช.ทักษิณได้กล่าวแต่เพียงว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เมื่อจบปริญญาโทจากอเมริกาก็มาทำงานธุรกิจกับตน โดยเริ่มเป็นเซลขายโฆษณาเยลโล่เพจเจส จนโตเป็นประธานบริหารเอไอเอส
นอกจากนี้ ถ้าหากพิจารณาพิธีสำคัญของพรรคเพื่อไทยเมื่อวันที่ 19 มีนาคมคือการทำพิธีย้ายศาลจากเดิมที่ตั้งอยู่บริเวณประตูทางออกของพรรคไปไว้ในที่เหมาะสมและทำพิธีบวงสรวงศาลพระภูมิชัยมงคลที่ตั้งอยู่บริเวณลานโล่งบนชั้น 7 ก่อนที่จะมีการเชิญซินแสมาปรับฮวงจุ้ยพรรคเมื่อวันที่ 21 มีนาคมโดยปรับสวนหย่อมด้นหน้าพรรคด้วยการถมทรายและปลูกหญ้าตกแต่งเป็นสนามหญ้าขนาดเล็ก ก็จะเห็นรายชื่อบุคคลสำคัญของพรรคเข้าร่วมด้วย และหนึ่งในนั้นก็คือ น.ส.ยิ่งลักษณ์
อย่างไรก็ตาม ความชัดเจนอีกชั้นหนึ่งของว่าที่หัวหน้าพรรคเพื่อไทยก็คือคำให้สัมภาษณ์ของ “นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์” อดีตนายกรัฐมนตรีผู้เป็นสามีของนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์
นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ จะลงเล่นการเมืองว่า ถ้ามีใจรักในการเล่นการเมืองก็ไม่ต้องห่วง แต่ไม่เคยได้ยินว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์พูดถึง
ขณะเดียวกันดูเหมือนว่าท่าทีของน้องเขยนายใหญ่ผู้นี้จะออกอาการ “แทงกั๊ก” อยู่ไม่น้อย เพราะพูดชัดเจนว่า หากพรรคเพื่อไทยสนับสนุนนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีว่า ร.ต.อ.เฉลิมเป็นในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเหมือนกัน เพราะคุณสมบัติได้
พร้อมทั้งกล่าวตอบสื่อมวลชนที่แซวนายมิ่งขวัญขณะกอดกับนายสมชายเมื่อพบกันโดยบังเอิญว่า “อดีตนายกฯกับว่าที่นายกฯกอดกัน” โดยนายสมชายได้กล่าวขึ้นกับนายมิ่งขวัญว่า “ได้อยู่แล้ว อภิปรายนัดเดียวมีแต่คนชม คนรู้จักกันทั้งบ้านทั้งเมือง”
นั่นคือปัญหาพรรคการเมือง “ไร้หัว” อย่างพรรคเพื่อไทยที่เป็นปรากฏการณ์ที่แปลกและพิสดารอย่างยิ่ง ซึ่งคงต้องบอกว่า เป็นความตั้งใจที่ นช.ทักษิณปรารถนาจะให้เป็นเช่นนั้น เพราะตราบใดที่การเลือกตั้งยังไม่มาถึง เขาก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำพินัยกรรมยกสมบัติทางการเมืองชิ้นนี้ให้กับใคร ที่สำคัญคือการวางทายาททางการเมืองเร็วเกินไปอาจทำให้พรรคเพื่อไทยที่ยึดโยงกันอยู่ที่ความหวัง ผลประโยชน์และอำนาจอาจถึงกัลปาวสาน อันจะทำให้ความฝันที่จะทำให้นายใหญ่ใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการกลับคืนสู่อำนาจพังพินาศลงไปก่อนเวลาอันสมควร
ส่วนเจ๊คนสุดท้ายที่เปิดตัวหลังสุด แต่ทำท่าว่าจะมาแรงไม่น้อยอยู่เหมือนกันก็คือ “ดร.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยยุคนช.ทักษิณ ที่เสนอตัวเข้ามาเป็นทางเลือกในสถานการณ์ที่ประชาชนไม่ต้องการทั้งพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทย
แต่เอาเข้าจริงแล้ว เมื่อดูตามโครงสร้างพรรคที่ประกอบด้วย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผบ.ตร. น้องชาย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีกลาโหม ที่เป็นขั้วเดียวกับ เนวิน ชิดชอบ แล้ว น่าจะเป็นคำตอบสุดท้ายว่า เป้าหมายทางเลือกใหม่ของพรรคนี้ก็ต้องการอุดจุดอ่อนของพรรคภูมิใจไทย ในพื้นที่กรุงเทพฯ โดยหวังจะอาศัยบุญเก่าที่ประชาชนในเมืองยังคุ้นหู ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ เป็นจุดขายให้คนกรุงเทพฯ เสียมากกว่า
ขณะเดียวกันด้วยสายสัมพันธ์ของนายทุนพรรคอย่าง “พันธุ์เลิศ ใบหยก” ที่แนบแน่นกับ นช.ทักษิณ ชินวัตร ทำให้พรรคนี้ถูกมองว่า เป็นการหยั่งขาของ “ป๋าป้อม” ในการเชื่อมต่อกับนายใหญ่แห่งพรรคเพื่อไทยในการเล่นเกมสองหน้า โดยมีเป้าหมายอยู่ที่การเข้าร่วมรัฐบาลเพียงประการเดียวเท่านั้น
เมื่อเห็นตัวละครทางการเมืองที่ปรากฏชื่อท้าชิงเก้าอี้นายกฯ คงต้องบอกว่า “หดหู่ ท้อแท้ สิ้นหวัง” เป็นอย่างยิ่ง
เพราะในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ ตัวละครทางการเมืองที่อาสาเข้ามาทำงานการเมืองก็ยังเป็นตัวละครหน้าเดิมๆ ที่ทุกคนรู้เช่นเห็นชาติกันหมดแล้วว่า เป็นอย่างไร
ถ้าประชาธิปัตย์ชนะการเลือกตั้ง ก็ย่อมหนีไม่พ้นที่จะได้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะกลับเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งพร้อมกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ
ถ้าเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง ก็ย่อมหนีไม่พ้นที่จะได้นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ หรือน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี “นอมินี” หรือถ้าจับพลัดจับผลู หาใครมาเป็นไม่ได้ ส้มก็อาจจะหล่นไปที่ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ที่แอบหวังลึกๆ ว่าจะขอนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีสำรองสักครั้งในชีวิต
โชคดีที่ “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” เกิดน้อยใจที่ไม่มีใครรัก ตัดสินใจลาออกจาก ส.ส.สัดส่วนของพรรคเพื่อไทยไปเสียก่อน คนไทยจึงพอจะฝันดีกันบ้างที่ไม่ต้องลุ้นที่จะเห็นเป็ดเหลิมเถลิงอำนาจในเก้าอี้นายกรัฐมนตรี
ส่วนคนที่อยากลองของใหม่ ตัวละครที่โผล่มาให้เห็นก็ดูเหมือนว่า จะไม่ได้มีคุณสมบัติอะไรแตกต่างไปจากกลุ่มคนข้างต้น ไม่ว่าจะเป็น “ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์” ที่มีชื่อโผล่เป็นว่าที่หัวหน้าพรรคประชาสันติ โดยหวังจะมาตีกินในช่วงที่กระแสคนส่วนใหญ่เบื่อมาร์ค หรือ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ที่กำลังหาตำแหน่งและหาที่ทางทางการเมืองเพื่อฝันจะเป็นนายกรัฐมนตรีกับเขาเหมือนกัน
เฉกเช่นเดียวกับ “พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน” แห่งพรรคมาตุภูมิที่เตรียมขยับแข้งขยับขาเข้ามาสู่เส้นทางแห่งอำนาจอีกครั้งเช่นกัน
คงไม่ต้องถามว่า คนเหล่านี้ ทำให้ประเทศไทยดีขึ้นหรือไม่
เพราะคำตอบมีความชัดเจนในตัวเองอยู่แล้วว่า ยิ่งนับวัน นักการเมืองก็ยิ่งทำให้ความหวังในการเห็นบ้านเมืองพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นน้อยลงทุกที
“หดหู่ สิ้นหวังและท้อแท้จริงๆ”
ดังนั้น หนทางเดียวที่จะช่วยทำให้นักการเมืองเหล่านี้มีจิตสำนึกก็คือ ประชาชนชาวไทยผู้มีสิทธิ์ในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งต้องพร้อมใจกันไป Vote NO เพื่อสำแดงความยี้ให้พวกเขาได้เป็นที่ประจักษ์ ซึ่งนั่นจะเป็นอีกหนึ่งหนทางที่อาจช่วยในการปฏิรูปการเมืองไทยให้ดีขึ้นได้