xs
xsm
sm
md
lg

“สมยศ” อ้างทำคดีพันธมิตรฯก่อการร้ายศัตรูเพิ่มขึ้นเรือนแสน

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง
“สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” ขนแฟ้มคดีฟ้องพันธมิตรฯในข้อหาก่อการร้าย ให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พิจารณาสั่งฟ้อง หรือไม่ฟ้องเป็นครั้งสุดท้าย พร้อมระบายความอัดอั้นตันใจ ทำคดีนี้ศัตรูเพิ่มเป็นเรือนหมื่นเรือนแสน ระบุ “พัชรวาท” ยัดเยียดให้ทำ ทั้งที่ไม่เต็มใจ


วันนี้ (21 ก.พ.) เมื่อเวลา 16.00 น.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร.เป็นประธานการประชุมเพื่อพิจารณาสำนวนในคดีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ชุมนุมหน้าสนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง และสถานที่ราชการ ซึ่งเป็นการพิจารณาความเห็นในระดับ ตร.ครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะมีความเห็นว่า จะสั่งฟ้องคดีต่ออัยการ เพื่อให้ส่งให้ศาลพิจาณาหรือไม่ โดยมี พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้ช่วย ผบ.ตร.(กม1) ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน และพนักงานสอบสวนคดีดังกล่าวเข้าร่วมประชุม ซึ่งก่อนการประชุม ทางเจ้าหน้าที่ได้มีการขนกล่องและแฟ้มเอกสารสำนวนคดีจำนวนมากเข้าไปในห้องประชุมด้วย

พล.ต.ท.สมยศ กล่าวก่อนการประชุมว่า ในวันนี้ จะเป็นการประชุมเพื่อให้พนักงานสอบสวนในคดีนี้มาชี้แจงรายละเอียดและเหตุผลในการพิจาณาคดี ซึ่งไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ยังขอยืนยันที่จะสั่งฟ้องคดีต่ออัยการเหมือนเดิมทุกข้อกล่าวหา โดยจะไม่มีการเปลี่ยนมติของพนักงานสอบสวน เพราะการทำคดีนี้ได้ดำเนินการในรูปของคณะกรรมการ ไม่ได้ใช้ความคิดเห็นของตนเองเป็นหลัก ส่วนกรณีที่ยื่นหนังสือขอให้ พล.ต.อ.วิเชียร พิจารณาเปลี่ยนตัวหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีดังกล่าวนั้น ถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับคำตอบว่าจะอนุญาตให้มีการปรับเปลี่ยนหรือไม่ ส่วนเหตุผลที่ขอเปลี่ยนตัวหัวหน้าพนักงานสอบสวน เนื่องจากเป็นความตั้งใจตั้งแต่ที่เข้ามารับหน้าที่นี้ ว่า หากทำสำนวนเสร็จ ก็จะขอให้มีการเปลี่ยนตัวหัวหน้าพนักงานสอบสวน และถ้าไม่มีคำสั่งให้มีการเปลี่ยนตัว ก็ไม่รู้สึกน้อยใจ เพราะถือเป็นคำสั่งของผู้บังคับบัญชา

“ส่วนตัวผมก็ไม่ได้ต้องการที่จะมาทำคดีนี้ตั้งแต่ต้น แต่ในขณะนั้นไม่มีใครอยากมาทำคดีนี้ และ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร.ก็มายัดเยียดให้ช่วยทำ เมื่อมีคำสั่งเช่นนั้นออกมา ผมจะไปปฏิเสธก็คงทำไม่ได้ เพราะอาจมีความผิดทางวินัย แต่เมื่อมีคำสั่งให้ทำแล้ว เราก็ต้องทำอย่างเต็มที่ และเมื่อทำคดีเสร็จสิ้น เหลือเพียงให้ พล.ต.อ.วิเชียร พิจารณาว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่ ผมจึงแสดงความจำนงขอให้เปลี่ยนตัวพนักงานสอบสวนอย่างที่ตั้งใจไว้ ซึ่งถ้า พล.ต.อ.วิเชียร มีคำสั่งให้ทำหน้าที่ดังกล่าวต่อ ผมก็พร้อมที่จะปฏิบัติตาม” พล.ต.ท.สมยศกล่าว

เมื่อถามอีกว่า มีความกดดันอะไรถึงขอเปลี่ยนตัวหัวหน้าพนักงานสอบสวน ทั้งที่สอบสวนคดีเสร็จสิ้นแล้ว พล.ต.ท.สมยศ กล่าวว่า หากจะตอบว่า ไม่มีความกดดันเลย ก็คงไม่จริง แต่ไม่ใช่ความกดดันที่เกิดจากผู้บังคับบัญชา นักการเมือง หรือรัฐบาล เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีใครมาขอให้ทำคดีไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง แต่ยอมรับว่า ได้รับแรงกดดันจากสังคม โดยขอยกตัวอย่างว่า ตนเป็นตำรวจที่ไม่เคยฝักใฝ่ฝ่ายใด ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มพันธมิตรฯ หรือกลุ่ม นปช.แต่เมื่อมาทำคดีนี้ก็มีคนนำสีมาป้าย ว่า ตนเป็นพวกเสื้อแดง หรือเสื้อน้ำเงิน ซึ่งความจริงไม่ใช่เช่นนั้น รวมทั้งผลที่ตามมาหลังจากทำคดีนี้ ยังทำให้ตนมีศัตรูเพิ่มเป็นหมื่นและแสนคน ซึ่งอาจมีทั้งคนที่เคยรู้จัก หรือไม่เคยรู้จักกัน ซึ่งไม่มีเหตุอันควรเลย แต่ถึงอย่างไรการทำคดีก็เป็นหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมา ดังนั้น ทำให้ต้องทำ และหวังว่า คนที่เฝ้าดูอยู่ก็คงเข้าใจว่า ตนได้ทำตามหน้าที่

“ขอยอมรับว่า การทำคดีของกลุ่มพันธมิตรฯที่ยึดสนามบินและสถานที่ราชการนั้น ถือเป็นคดีที่เกี่ยวกับความเชื่อ และความศรัทธาของบุคคล ที่ไม่สนว่าใครทำถูกหรือทำผิด และถ้าถามว่ากลัวเปลืองตัวในการทำคดีนี้หรือไม่ ขอยอมรับว่า กลัวเปลืองตัว แต่ถ้าผมกลัวเปลืองตัวชนิดไม่มีเหตุผล คงไม่ทำคดีนี้มาเป็นเวลากว่า 1 ปีเศษ แต่ที่ผมออกมาระบุเช่นนี้ เพราะได้ทำคดีเสร็จแล้ว และเมื่อได้ทำคดีเสร็จแล้วก็ไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้องอีก นอกจากนี้ ขอท้าและประกาศตรงนี้เลยว่า ตำรวจในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีใครอยากทำคดีนี้บ้าง เพราะตอนนี้ทุกคนก็กลัวเปลืองตัวกันหมด ตำรวจบางคนเก่งกว่าผมยังไม่กล้าทำเลย ดังนั้น เมื่อคนอื่นกลัวเปลืองตัวได้และเหตุใดผมจะกลัวเปลืองตัวบ้างไม่ได้ ซึ่งทุกคนต้องให้ความเป็นธรรมกับผมด้วย” พล.ต.ท.สมยศ กล่าว

เมื่อถามว่า เมื่อตำรวจกลัวเปลืองตัว และต่อไปใครจะมากล้าทำคดีในลักษณะเช่นนี้ พล.ต.ท.สมยศ กล่าวว่า ตนเปลืองตัวมาเป็นเวลาประมาณ 1 ปีเศษแล้ว ดังนั้น ขอเวลาให้ได้พักผ่อนบ้าง

เมื่อถามว่า หาก พล.ต.อ.วิเชียร มีคำสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติมอีกจะดำเนินการอย่างไร พล.ต.ท.สมยศ กล่าวว่า ในเรื่องนี้ถือเป็นดุลพินิจของผู้บังคับบัญชา แต่ส่วนตัวคิดว่า หากให้สอบสวนเพิ่มเติม เราก็ได้ดำเนินการไปก่อนหน้านี้แล้ว ถ้าจะให้มาสอบสวนเพิ่ม ก็ไม่รู้จะมาสอบอะไรเพิ่มเติมอีก ประกอบกับคดีนี้มีพนักงานสอบสวนร่วมทำสำนวนประมาณ 80-90 นาย ซึ่งทุกคนเป็นบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ เจ้าหน้าที่ตำรวจบางคนจบปริญญาโท ด้านกฎหมาย หรือจบเนติบัณฑิต ดังนั้น การสอบสวนที่ผ่านมาจึงค่อนข้างที่จะสมบูรณ์และรัดกุม ประกอบกับก่อนหน้านี้ ทางกองคดีได้มีความเห็นให้มีการสอบสวนเพิ่มเติม โดยเราก็ได้ไปดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติมในส่วนของอาจารย์ นักวิชาการ วิศวกร และผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายว่า พฤติกรรมของกลุ่มพันธมิตรฯเข้าข่ายก่อการร้ายหรือไม่ หลังจากที่ได้ดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติมเสร็จสิ้น จึงถือว่า สำนวนคดีดังกล่าวในตอนนี้มีความสมบูรณ์แล้ว นอกจากนี้ ยังขอยืนยันว่า ขณะทำสำนวนในคดีดังกล่าวตนไม่เคยไปสั่งหรือแทรกแซงการทำงานของพนักงานสอบสวน แต่ได้กำชับว่า การทำสำนวนต้องไม่เอียงซ้ายหรือขวา เพราะถ้าทำเช่นนั้นอาจจะต้องติดคุกภายหลังเสียเอง

เมื่อถามว่า มีความมั่นใจว่า สำนวนในคดีนี้จะไม่อ่อนและหลุดในชั้นศาลใช่หรือไม่ พล.ต.ท.สมยศ กล่าวว่า เราคงทำเช่นนั้นไม่ได้ และมีความมั่นใจว่า ได้ทำสำนวนสมบูรณ์ครบถ้วนตามหลักฐานที่ได้รับมา ซึ่งถ้าพยานหลักฐานไม่ครบถ้วนและเราได้สั่งฟ้องไป ก็อาจจะถูกฟ้องกลับมาได้ในภายหลัง ประกอบกับถ้าตั้งใจทำสำนวนให้อ่อน เพื่อที่คดีจะได้หลุดในชั้นศาล หากจะทำเช่นนั้นจริง ก็ไม่รู้จะเข้ามาสอบสวนและมาทำสำนวนให้เสียเวลาทำไม

ต่อมาเวลา 17.50 น.พล.ต.อ.วิเชียร กล่าวภายหลังการประชุมว่าจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า ภาพรวมของสำนวนคดีมีความเรียบร้อยดี โดยจะขอเวลาไปดูในรายละเอียดอีกครั้ง ซึ่งคาดว่า ภายในสัปดาห์นี้น่าจะสามารถมีความเห็นทางคดีได้ โดยตอนนี้ยังไม่สามารถบอกได้ว่า จะสั่งฟ้องหรือไม่สั่งฟ้อง ส่วนกรณีที่ พล.ต.ท.สมยศ ขอให้เปลี่ยนตัวหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีนั้น หลังจากได้พูดคุยแล้ว พล.ต.ท.สมยศ ก็สมัครใจที่จะทำคดีนี้ต่อให้แล้วเสร็จ เนื่องจากมีรายละเอียดปลีกย่อยบางอย่างที่ต้องดำเนินการต่ออีก

ด้าน พล.ต.ท.สมยศ กล่าวอีกครั้งว่า ในวันนี้ทาง พล.ต.อ.วิเชียร ได้ให้พนักงานสอบสวนชี้แจงเหตุผล เพื่อประกอบการตั้งข้อกล่าวหา ซึ่ง พล.ต.อ.วิเชียร ยังได้ให้ทางกองคดีตั้งคำถามในข้อกฎหมาย เพื่อให้พนักงานสอบสวนชี้แจงในประเด็นต่างๆ และยังมีการให้ชี้แจงถึงการสอบปากคำพยานบุคคล เพื่อให้มีความละเอียดรอบคอบ ก่อนที่จะให้ใช้ความเห็นของกองคดีและพนักงานสอบสวนมาประกอบการพิจารณาในการสั่งคดี แต่ส่วนตัวยังยืนยันความเห็นเดิมของพนักงานสอบสวน ที่เห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องทั้ง 114 ราย ตามข้อกล่าวหาเดิม ซึ่งก็ได้ยืนยันไปในที่ประชุมแล้วในประเด็นนี้

พล.ต.ท.สมยศ กล่าวอีกว่า ส่วนการยื่นขอเปลี่ยนหัวหน้าพนักงานสอบสวนนั้น ทาง พล.ต.อ.วิเชียร ได้ขอให้ตนทำหน้าที่ต่อ เนื่องจากมีความเชี่ยวชาญในคดีนี้มากกว่าคนอื่น ดังนั้นเมื่อพล.ต.อ.วิเชียรไว้วางใจ ตนก็พร้อมที่ปฏิบัติตามคำสั่ง โดย พล.ต.อ.วิเชียร ยังได้ให้กำลังใจและระบุว่า จะช่วยเหลือสนับสนุนในทุกเรื่อง เมื่อพล.ต.อ.วิเชียรให้ความสำคัญกับตนว่ามีความเหมาะสม ก็พร้อมที่จะมาทำหน้าที่

เมื่อถามถึงกรอบระยะเวลาในการสรุปสำนวนส่งให้อัยการ พล.ต.ท.สมยศ กล่าวว่า สำนวนการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งขณะนี้สำนวนอยู่ที่ ตร.โดยหลังจากนี้ก็ต้องขึ้นอยู่ว่า จะพิจารณาอย่างไร

ทั้งนี้ พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผู้ช่วยช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ด้านกฎหมายและสอบสวน ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) บุกยึดท่าอากาศยานดอนเมือง และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้แจกจ่ายเอกสารลำดับเหตุการณ์และผลการดำเนินคดีกลุ่มพันธมิตร บุกยึดท่านอากาศยาน โดยแบ่งเนื้อหา เป็น 4 เรื่อง มีใจความดังนี้

1.ลำดับเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2551 กลุ่ม พธม.ได้บุกยึดทำเนียบรัฐบาล และปักหลักชุมนุมต่อเนื่องมา ตลอดจนกระทั่งในวันที่ 20 พฤศจิกายน แกนนำได้ประกาศสงครามครั้งสุดท้าย ยกระดับการชุมนุม และเรียกระดมมวลชน ตั้งแต่วันที่ 21-23 พฤศจิกายน 2551 และมีการเคลื่อนไหวตามลำดับดังนี้


เหตุการณ์ที่ 1 วันที่ 24 พฤศจิกายน 2551 แกนนำนำผุ้ชุมนุมเคลื่อนพลเข้าปิดล้อมรัฐสภา กระทรวงการคลัง กระทั่งเวลา 12.00 น.แกนนำได้ประกาศบนเวที ให้ผู้ชุมนุมเคลื่อนพลเข้าทำเนียบรัฐบาลชั่วคราวหรือท่าอากาศยานดอนเมือง

เหตุการณ์ที่ 2 เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน แกนนำได้ประกาศให้ผู้ชุมนุมแบ่งกำลังเดินทางไปปิดล้อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีการปะทะกับด่านตำรวจควบคุมฝูงชน หลายครั้ง และมีการบุกรุกหอบังคับการบิน

เหตุการณ์ที่ 3 เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2551 แกนนำได้ประกาศให้ผผู้ชุมนุมที่ดอนเมือง ย้ายที่ชุมนุมไปอาคารผู้โดยสารในประเทศ ตั้งเวทีและปักหลักชุมนุม

และเหตุการณ์ที่ 4 เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคพลังประชาชน แกนนำได้ออกแถลงการณ์ประกาศชัยชนะ และยุติการชุมนุมทั้ง 3 แห่ง การชุมนุมทั้ง 3 แห่งยุติในวันที่ 3 ธันวาคม 2551

2.การแต่งตั้งพนักงานสอบสวน

คำสั่ง ตร.ที่ 780/2551และ 781/2551 ลงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2551 แต่งตั้ง พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร.เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน และมีคำสั่ง ตร.ที่ 36/2552 ให้รวมสำนวน

คำสั่ง ตร.ที่ 172/2552 ลง 20 เมษายน 2552 แต่งตั้ง พล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ผู้ช่วยผบ.ตร. เป็นหน้าหน้าพนักงานสอบสวน และมีคำสั่งตรที่ 228/2552 แต่งตั้งพนักงานสอบสวนเพิ่มเติม

คำสั่ง ตร.ที่ 444/2552 ลงวันที่ 9 กันยายน 2552 แต่งตั้ง พล.ต.ท.สมยศ เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนจนถึงปัจจุบัน มีคำสั่ง 445/2552 แต่งตั้งพนักงานสอบสวนเพิ่มเติม คำสั่ง 373/2553 แต่งตั้งพนักงานสอบสวนชุดใหม่ และคำสั่ง 424/2553 แต่งตั้งพนักงานสอบสวนเพิ่มเติม

3.การดำเนินการกับผู้ต้องหา ทั้งหมด 114 ราย แบ่งเป็นบุคคลธรรมดา 113 ราย นิติบุคคล 1 ราย (เอเอสทีวี) แจ้งข้อกล่าวหาตามหมายเรียก 89 ราย ออกหมายจับ 25 ราย

ในกลุ่มที่ออกหมายจับ 25 ราย ทราบชื่อ-สกุลจริง จำนวน 11ราย ไม่ทราบอีก 14 ราย โดยดำเนินการตามหมายจับแล้ว 7 ราย เป็นการเข้ามอบตัวตามหายจับ 2 ราย จับกุม 5 ราย ขณะที่ยังจับกุมไม่ได้ 18 ราย ทราบชื่อสกุล 4 ราย หนึ่งในนี้คือ นายวีระ สมความคิด ที่ต้องขังในราชอาณาจักรกัมพูชา


4.การสรุปสำนวนเสนอ ตร.ตามบังคับกระทรวงมหาดไทย

เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2553 คณะพนักงานสอบสวนให้ ตร.พิจารณาเพื่อทำความเห็นทางคดี จากนั้นวันที่ 17 คณะพนักงานสอบสวน ส่งสำนวนการสอบสวนให้ ตร.พิจารณาอีกครั้ง โดยพนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหา กระทั่งวันที่ 20 มกราคม 2554 ตร.สั่งการให้สอบสวนเพิ่มเติม จากนั้นวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พนักงานสอบสวน ได้รวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม ขณะนี้อยู่ระหว่างรอการพิจารณา มีความเห็นทางคดีจาก ตร.จนวันนี้ 21 กุมภาพันธ์ พนักงานสอบสวนยืนยันความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหา ตามมติของคณะพนักงานสอบสวน ตามที่เคยมีมติสั่งฟ้องไปเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน
กำลังโหลดความคิดเห็น