xs
xsm
sm
md
lg

เจาะใจรุ่น 2 เซฟ-ที-คัท จำใจผลัดใบ เพื่อตัดก่อนตาย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บริษัท ซี.เอส.อินเตอร์เนชั่นแนล อีเล็คทรอนิคส์ จำกัด เจ้าของแบรนด์ “เซฟ-ที-คัท” ซึ่งครองตลาดเครื่องตัดกระแสไฟฟ้ามายาวนานกว่า 38 ปี ได้ถึงเวลาขั้นเปลี่ยนโครงสร้าง ถ่ายการบริหารจากรุ่นพ่อมาสู่รุ่นลูก ด้วยวิธีการที่เกือบจะเรียกได้ว่า passer take over

เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สุด และรุนแรงสุดในรอบ 38 ปี เท่ากับระยะเวลาที่บริษัท ซี.เอส.อินเตอร์เนชั่นแนล อีเล็คทรอนิคส์ จำกัด ก่อตั้งขึ้น

เซฟ-ที-คัท รุ่น 2 บริหารงานโดย “ณัฐพจน์ โสตถิวันวงศ์” ที่ก้าวขึ้นมาเป็นกรรมการผู้จัดการ ดูแลในส่วนของการตลาดและนวัตกรรมของสินค้า

ในขณะที่พี่ชาย “กรวิณ โสตถิวันวงศ์” ดูแลในเรื่องของโรงงานการผลิต และการออกแบบผลิตภัณฑ์

ณัฐพจน์บอกว่า เมื่อยุคสมัยเปลี่ยน การบริหารงานก็ต้องเปลี่ยนด้วย ก่อนจะเล่าถึงที่มาของแบรนด์เซฟ-ที-คัท ที่ก่อตั้งขึ้นด้วยความสามารถของคุณพ่อ (ชวาล โสตถิวันวงศ์)
ณัฐพจน์ โสตถิวันวงศ์  ผู้บริหารธุรกิจในปัจจุบัน
*** จุดกำเนิดเซฟ-ที-คัท ติดตลาดด้วยคุณภาพและบริการ ****

“พูดได้เลยว่าเราเป็น 5 อันดับแรกในโลกที่ผลิตเครื่องตัดกระแสไฟฟ้าขึ้นมา ตอนที่เริ่มต้นธุรกิจคุณพ่อไปซื้อเครื่องตัดกระแสไฟฟ้าของประเทศอังกฤษ กับของอินเดีย ซึ่งมีขายอยู่ในประเทศไทยมาศึกษา เมื่อนำมาวิเคราะห์ถึงข้อดี-ข้อเสีย ของสินค้าที่มีอยู่ร่วมกับทีมวิศวกรแล้ว ก็นำมาพัฒนาเป็นแบรนด์เซฟ-ที-คัท ของตนเอง เมื่อประมาณเกือบ 40 ปีที่แล้ว

ในการทำตลาดยุคแรกๆ การยอมรับของตลาดต่ำมาก ในยุคนั้นแม้แต่เบรกเกอร์ไฟฟ้าก็ยังไม่มี คุณพ่อจึงเริ่มทำโฆษณาทางโทรทัศน์ ซึ่งในสมัยนั้นยังเป็นขาว-ดำอยู่ และเป็นของใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในประเทศได้ไม่นาน คนจึงติดโทรทัศน์มาก ดูกันทั้งวันทั้งคืน”

เซฟ-ที-คัท เปิดตัวด้วยโฆษณา โดยจำลองจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวัน ชี้ให้เห็นถึงอันตรายจากกระแสไฟฟ้า ถ่ายทอดผ่านเด็กเล็กกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเอานิ้วแหย่ปลั๊กไฟ หรือแม้แต่การปัสสาวะใส่พัดลม

“เนื่องจากในสมัยนั้น ไม่ได้มีข้อห้ามในการนำเด็กมาออกโฆษณา เราจึงทำตรงนั้นได้ และได้ตอกย้ำโดยให้เด็กเป็นคนพูดว่า ‘แพงไหมคะสำหรับชีวิตน้อยๆ ของหนู’ แล้วก็บอกราคาไป พอเราสร้างอิมเมจตรงนั้นออกไป มันไปกินใจคนเป็นพ่อ-แม่”

หลังจากโฆษณาชิ้นนั้นออกอากาศ คนก็แห่มาซื้อเป็นจำนวนมาก จนถึงกับเคยมีคำพูดที่ว่า เซฟ-ที-คัท ขายง่ายยิ่งกว่าขายแฟ้บ

“สินค้าที่ผลิตในล็อตแรกนั้น เป็นสินค้าที่มีคุณภาพสูง เพราะคุณพ่อใช้วัตถุดิบที่ดีมาก ทุกอย่างนำเข้าจากอเมริกา เยอรมนี ญี่ปุ่น ลูกค้าใช้ไปไม่มีผิดหวัง ทุกคนซื้อไปแล้วก็ไปบอกต่อ ว่ามีประโยชน์ และใช้ทนกว่า 10 ปี มันก็เลยสร้างชื่อเสียงมาโดยตลอด

จุดแข็งของเซฟ-ที่-คัท ที่ผ่านมามีเยอะมาก แทบไม่มีจุดอ่อนเลย เป็นผู้นำทางด้านการตลาดมาโดยตลอด  ด้วย 2 นโยบายหลัก 1.รักษาคุณภาพสินค้า 2.บริการหลังการขาย โดยเราเป็นเจ้าแรกๆ ในประเทศไทย ที่ทำไดเร็กเซลล์ มีเซลล์นั่งรถกระบะ 8 คน ลงไปเดินตามหมู่บ้าน เป็นเจ้าแรกของโลกที่ทำเครื่องตัดกระแสไฟฟ้าแล้วมีบริการ 24 ชั่วโมง เมื่อมีปัญหา เซฟ-ที-คัท ไปหาคุณถึงบ้านทันที ซึ่งการทำตรงนี้ใช้เงินต่อปีหลายแสนบาท ซึ่งสูงมากสำหรับสมัยนั้น แต่ก็ต้องทำ เพราะเซฟ-ที-คัท ไม่ได้ขายแต่ตัวสินค้าเพียงอย่างเดียว แต่ขายบริการด้วย นี่คือปัจจัยที่ทำให้เซฟ-ที-คัท ติดตลาดมาโดยตลอด” ณัฐพจน์ ระบุ

*** จุดเปลี่ยนสำคัญ เซฟ-ที-คัท ตก คู่แข่ง เกิด ***

จนมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ที่ณัฐพจน์เลือกใช้คำว่า เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของเซฟ-ที-คัท ส่งผลให้ยอดขายตก และลูกค้าสูญเสียความเชื่อมั่นต่อแบรนด์

“ช่วง 5 ปีก่อนหน้านี้ เป็นช่วงที่ผมไม่ได้เข้ามาบริหารงาน คุณพ่อได้ตั้งคนใกล้ชิดคนอื่นขึ้นมาบริหารงานแทน ซึ่งคนใกล้ชิดคนนี้ไม่มีความรู้เลย ทั้งด้านการบริหารบุคคล ด้านสินค้า และความรู้ด้านการตลาด พูดง่ายๆ คือ เป็นนักการเงิน แต่ให้มาบริหารงานของบริษัททั้งหมด
เมื่อให้นักบัญชีมาบริหารงาน สิ่งแรกที่นักบัญชีคิด ก็คือ กำไรขั้นต้น ต้นทุนการผลิตต้องต่ำที่สุด มีการเปลี่ยนวัตถุดิบจากประเทศอเมริกา เยอรมัน ญี่ปุ่น เป็นของจีนทั้งหมด จีนมีของดี แต่ของดีมันก็ต้องแพง แต่เขาเอาถูกไว้ก่อน ผลก็คือเละ”

“สินค้าของเซฟ-ที-คัท ในอดีตเราเคยขายได้สูงสุดเดือนละ 8,000 ตัว รีเทิร์นของเสียที่เข้ามาใน 8,000 ตัวไม่เกิน 200 ตัว แต่ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ยอดขายลดลงเหลือประมาณ 5,000-6,000 ตัวเพราะตลาดมันดาวน์ แต่ที่น่าตกใจ คือ มีของเสียรีเทิร์นกลับเข้ามา 2-3 พันตัว และใน 2-3 พันตัวนี้ เมื่อเปลี่ยนไปแล้วก็ยังกลับเข้ามาอีกถึง 3 ครั้ง กลายเป็นไอ้ที่เขาบอกว่ากำไรเพิ่มขึ้น มันไม่ใช่เลย สมมติได้กำไรเพิ่มขึ้น 500 บาท ก็กลายเป็นขาดทุน 1,500 บาท เสียเงินยังไม่เท่าไร แต่เสียชื่อเสียงด้วย”

“ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ถ้าไปดูตามเว็บไซต์พันทิป จะเห็นว่าเราโดนโจมตีอย่างหนัก ลูกค้าเขียนเข้ามาต่อว่าอย่างรุนแรงในเว็บบอร์ดที่ให้แสดงความคิดเห็น นอกจากนี้ยังมีคู่แข่งเยอะมาก พอรู้ว่า เซฟ-ที-คัท ดาวน์ มันเป็นโอกาสทันที พอคุณภาพไม่ดีร้านค้าก็ไม่อยากขาย สมัยก่อนเราก็มีคู่แข่งมาตลอด กว่า 35 ยี่ห้อทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งไม่มีใครเข้าได้ แต่พอคุณภาพเราตก ร้านค้าไม่อยากขายของเราแล้ว ทีนี้คู่แข่งของเราเกิดหมดเลย”

“การที่รุ่น 2 เข้าบริหารงานมาตรงนี้ จึงไม่ใช่แค่การเปลี่ยนถ่าย แต่มันเป็นการ passer take over เลย ซึ่งบุคคลที่คุณพ่อให้เข้ามาบริหาร ไม่เป็นที่ยอมรับของพนักงานทั้งบริษัท ต้องบอกว่า 95% ของจำนวนพนักงาน ขอให้ผมกลับเข้ามาบริหารงานเหมือนเดิม เพราะดูแล้วว่าถ้าปล่อยต่อไปบริษัทคงเจ๊งแน่นอน
ในประเทศไทยเราก็รู้อยู่แล้ว สินค้าตัวไหนที่เสียชื่อเสียงไปแล้ว ไม่มีทางเอากลับมาได้ อย่างแรกคือเป็นห่วงเรื่องนี้ เพราะเป็นชื่อเสียงที่คุณพ่อสั่งสมมาเกือบ 40 ปี
อย่างที่ 2 ที่ห่วง ก็คือ กลัวว่าเซฟ-ที-คัท จะกลายไปเป็นของคนอื่นที่ไม่ใช่ตระกูลโสตถิวันวงศ์ นี่คือสิ่งที่พนักงานทุกคนกลัว มันก็คล้ายๆการ passer take over ที่เราดึงบริษัทกลับมาบริหารเอง” ณัฐพจน์ เล่าสาเหตุที่ต้องกลับมารับหน้าที่บริหารธุรกิจครอบครัว

**** ยกเครื่องผลิตภัณฑ์ใหม่ เพิ่มนวัตกรรมให้เซฟ-ที-คัท ****

สิ่งแรกที่ผมทำก็คือ เรื่องคุณภาพสินค้า เปลี่ยนกลับไปใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพดีจากเยอรมัน และอเมริกาทั้งหมด อย่างที่ 2 เปลี่ยนเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามา เช่น สมัยก่อนเซฟ-ที-คัท จะมีตัวที่เรียกว่าโซลินนอยด์ ทำหน้าที่ไปดึงตัวเบรกเกอร์เวลาที่มีไฟรั่ว มันก็จะไปขยายในเซอร์กิต
โซลินอยด์ เป็นตัวที่มีปัญหามาก เพราะต้องพันขดลวดด้วยมือ ตัวขาเตะก็ต้องใช้คีมดัด เราเปลี่ยนตัวนี้ออกแล้วใส่ตัวใหม่เข้าไป คือ shunt trip เป็นสินค้าสำเร็จรูปจากโรงงานที่เมืองนอก ออกแบบขาเตะมาเพื่อให้ประกบคู่กับเบรกเกอร์ที่เราใช้ แทนที่จะต้องมาพันขดลวด มาดัดขา อันนี้เอามาประกบได้เลย
อย่างตัวเซอร์กิต สมัยก่อนเราใช้ระบบที่เรียกว่า อนาล็อก ก็เปลี่ยนมาเป็นระบบดิจิตอล อยากให้ทำอะไรก็เขียนโปรแกรมเข้าไป ฟีเจอร์ต่างๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่เซฟ-ที-คัท ไม่เคยมี เครื่องตัดไฟทำได้ 4 อย่าง คือ ป้องกันไฟดูด ไฟรั่ว ไฟเกิน ไฟช็อต ฟีเจอร์อย่างอื่นที่ไม่เคยมี ตอนนี้ทำได้แล้ว เพราะทุกอย่างเขียนเป็นโปรแกรมหมด
ยกตัวอย่างกรณีที่เกิดขึ้นบ่อย ไฟ 3 สาย 380 โวลท์ พอเข้าบ้านมันก็แปลงเป็น 220 โวลท์ พอสายนิวทรัลหลุด ไฟที่เข้าบ้านจาก 220 ก็เปลี่ยนกลับไปเป็น 380 เครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมดในบ้านพังหมดเลย ในประเทศไทยเกิดบ่อยมากเนื่องจากสายหลุด เพราะตอนติดตั้งไฟช่างไฟขันสายไม่แน่น
หรือแม้แต่สายไลน์ของไฟเอง บางทีขันสายไฟไม่แน่น ขันเทอร์มินอลไม่แน่น พอเกิดความร้อนไฟก็ลุกไหม้ แต่สำหรับเซอร์กิตตัวใหม่ หากสายนิวทรัลหลุด เซฟ-ที-คัท ตัดไฟทันที สายไลน์ขันไม่แน่นเกิดไฟไหม้ ก็มีตัวเช็คความร้อน พอเกินมาตรฐานก็ตัดไฟทันที คือ เป็นเทคโนโลยีใหม่ๆ เอาของดีเข้ามาหมด”

“สำหรับเทคโนโลยีแบบนี้ เมื่อ 3-4 ปี ที่แล้วก็ทำได้ แต่ขายไม่ได้ เพราะต้นทุนตอนนั้นไมโครชิพแพงมาก แต่ปัจจุบันมันถูกลงไปมหาศาล สมัยก่อนไมโครชิพตัวหนึ่งทำได้ 5 ฟังก์ชั่น ก็กลายเป็น 10 ฟังก์ชั่น ในราคาที่ถูกกว่า 10 เท่า เราก็เอาเทคโนโลยีใหม่ๆ พวกนี้เข้ามาใช้
จากที่เคยมีของเสียส่งคืน 2-3 พันตัวต่อเดือน ตั้งแต่เปลี่ยนเทคโนโลยีตัวนี้เข้ามา เรามีเรคคอร์ดตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 5353 จนถึงวันนี้ มีของเสียส่งคืนมาแค่ 2 ตัว ซึ่งไม่ได้เสียเพราะเซอร์กิต หรือ shunt trip แต่เพราะลูกค้าไปเห็นว่ามันพิมพ์เลเบิลผิดมาจากโรงงาน เลยส่งเข้ามาเปลี่ยน เรียกว่าไม่มีของเสียเลย
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ตอนที่มีของเสีย 2-3 พันตัวต่อเดือน พนักงานฝ่ายซ่อมแทบไม่มีเวลาว่าง ทำโอทีกันทุกวัน เสาร์-อาทิตย์ก็ต้องทำงาน เพราะซ่อมไม่ทัน ทุกวันนี้เข้ามาหาผมบอกว่าหางานให้ทำหน่อย ไม่มีอะไรจะทำ มันแตกต่างกันเยอะมาก” ผู้บริหารหนุ่ม กล่าว

***ดีไซน์ใหม่ หน้าตา ลูกเล่น พร้อมติดตามบริการหลังการขาย ***

นอกจากคุณภาพ และเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เพิ่มให้กับสินค้าแล้ว ยังมีการใส่ดีไซน์ใหม่ลงไป และปรับปรุงระบบการให้บริการใหม่

“ส่วนเรื่องหน้าตาของสินค้า คุณกรวิณพี่ชายผมที่ดูแลในส่วนของโรงงาน เป็นคนดีไซน์ขึ้นมาใหม่ทั้งหมด จากของเดิมที่ดูแล้วเทอะทะ ก็เปลี่ยนแปลงใหม่โดยสิ้นเชิง โละของเก่าทิ้งหมดเลย ดีไซน์ให้ดูสวยงาม มองเผินๆ จะเหมือนของตกแต่งบ้านได้
และมีการเพิ่มฟีเจอร์หลายๆ อย่างเข้าไป ต่อไปเซฟ-ที-คัท จะพูดได้ คือให้คำแนะนำแก่ผู้ใช้เป็นเสียงได้ เพียงแค่กดปุ่ม Instruction เครื่องก็จะบอกว่าต้องทำอย่างไรบ้างหากไฟตัด ตอนนี้ทำรีเสิร์ชสำเร็จในจุดหนึ่งแล้ว”

“นอกจากเรื่องตัวสินค้า ยังปรับปรุงในด้านบริการอย่างมหาศาล โดยการนำระบบติดตามมาใช้ สมัยก่อนลูกค้าโทรมาเราส่งช่างไปก็จบ ไม่เคยมีการติดตาม เราเอาระบบบริการที่เราเห็นว่าดีมาปรับใช้ ต้องมีหมายเลขของช่างให้ลูกค้าตรวจสอบได้ เพราะมีพวกมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นช่างเยอะ เช่นมาจากการไฟฟ้า มาจากเซฟ-ที-คัท”

“เมื่อช่างให้บริการเสร็จ ก็จะมีการโทรเช็ค ว่าการบริการเป็นอย่างไร หลังจากนั้น 1 เดือนโทรหาลูกค้าอีกครั้งเพื่อติดตามผล ซ่อมไปแล้วเครื่องมีปัญหาอะไรไหม โดยช่างติดตั้งทุกคนจะมีโน้ตบุ้ค หรือเน็ตบุ้คไปด้วย เมื่อมีปัญหาอะไรที่แก้ไขไม่ได้ ก็สามารถพูดคุยกับหัวหน้าช่าง ที่ประจำอยู่ที่ออฟฟิศ และมองเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นผ่านทางกล้องบนโน้ตบุ้คได้ด้วย”

“รวมถึงการเปลี่ยนแปลงเว็บไซต์ มีลูกเล่นเพิ่มขึ้น เริ่มตั้งแต่ข้อมูลการเลือกซื้อเครื่องตัดไฟ ประโยชน์และความจำเป็นของเครื่องตัดไฟ ต่างจากสายดินอย่างไร ทำไมต้องมีทั้ง 2 อย่าง และมีกูรู หรือผู้รู้คอยตอบปัญหาเกี่ยวกับเครื่องตัดไฟ ที่จะตอบคำถามกลับกลับภายใน 24 ชั่วโมง” ณัฐพจน์ เล่า

*** ปรับชื่อแบรนด์ ฟื้นอิมเมจ ขยายตลาดสู่คนรุ่นใหม่ ***

เมื่อสามารถแก้ไขปัญหาในเรื่องคุณภาพของสินค้า และบริการหลังการขายได้แล้ว สิ่งต่อไปที่สำคัญไม่แพ้กัน คือเรียกความเชื่อมั่นของลูกค้าให้กลับคืนมา

เนื่องจากอิมเมจของเซฟ-ที-คัท ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาตกต่ำลงไปมากในสายตาของลูกค้า เมื่อปรึกษากับทีมพีอาร์แล้ว จึงตัดสินใจเปลี่ยนชื่อแบรนด์เป็น “เซฟ-ที-คัท โกลด์” เพื่อแสดงให้เห็นถึงมาตรฐานของสินค้าที่เหนือกว่า และสร้างความชัดเจนในผลิตภัณฑ์ ระหว่างการบริหารงานของรุ่นที่ 1 และรุ่นที่ 2

“เมื่อเปลี่ยนเป็น เซฟ-ที-คัท-โกลด์ ความเชื่อมั่นของลูกค้าก็เริ่มกลับมาได้ คู่แข่งที่เข้ามาโจมตีเราสมัยก่อนก็เริ่มถอยกลับไป ลูกค้าเข้าร้านแล้วเริ่มถามหาเซฟ-ที-คัท เหมือนเดิมแล้ว
เรื่องยอดขายบางทีก็ขึ้นอยู่ที่ร้านค้าด้วย ถ้าลูกค้ามาถามหา แล้วคนขายบอกไม่ดี หันไปเชียร์ยี่ห้ออื่นก็จบเลย แต่วันนี้ร้านค้าก็รู้แล้วว่าเซฟ-ที-คัท โกลด์ กลับไปมีคุณภาพเหมือนก่อนแล้ว ก็กลับมาเชียร์อย่างเดิม
ตอนออกสินค้าใหม่เรามีโปรโมชั่นพิเศษ ให้ร้านค้าทดลองขายเพื่อดู feedback ของลูกค้า อีกทั้งไปเปิดตัวที่ฮ่องกง เมื่อเดือน มีนาคม 2553 ได้นำดีลเลอร์ทั้ง 250 เจ้า ไปฮ่องกงกับเราด้วย ก็สร้างความพึงพอใจให้เขา”

“จะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การรีแบรนด์ แต่เป็นการรีออร์แกนไนซ์องค์กรทั้งหมด กลุ่มเป้าหมายเดิมเรายังคงไว้ แต่ที่ผ่านมาเซฟ-ที-คัท จับเป้าหมาย B เพียงอย่างเดียวเลย คือวัยกลางคนส่วนตลาด C ซึ่งใหญ่มากๆ เป็นตลาดของคนรุ่นใหม่ แทบจะจับไม่ได้ เพราะว่าคนรุ่นใหม่ไม่เห็นความสำคัญของเครื่องตัดกระแสไฟ กลับไปนึกถึงเทคโนโลยี หรือสิ่งของอื่นๆ เช่น โทรทัศน์จอ LED, เน็ตบุ้ค หรือไอพอด แล้วสิ่งของพวกนี้ช่วยชีวิตคุณได้ไหม”

“สิ่งที่ต้องเร่งทำตรงนี้ คือ สอนคนรุ่นใหม่ๆ ด้วยการใช้อินเตอร์เน็ต เราเคยใช้งบโฆษณา 14-15 ล้านต่อปี ออกโทรทัศน์ทุกช่อง ลงหนังสือพิมพ์ 4 สี ทั้งหน้า คนรู้จักเซฟ-ที-คัท ทั้งประเทศ แต่ติดตั้งไหม ก็ไม่ติด เอาเงินหมื่นไปซื้อจอ LED แทน เราต้องให้ความรู้แก่เขา ว่าเครื่องตัดไฟสำคัญขนาดไหน
สิ่งแรกที่ทำคือเข้าตามสถานศึกษา จะมีคอร์สที่ให้วิทยากรภายนอกไปบรรยาย ตรงนี้เราเริ่มทำแล้วที่ขอนแก่น อุดรธานี ประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล ให้เด็กจับดูจริงๆ ว่าไฟดูดเจ็บขนาดนี้ และเพราะมีเซฟ-ที-คัท ถึงได้ไม่เป็นไร ไม่งั้นตายไปแล้วนะ เพราะเรื่องของไฟฟ้าไม่มีโอกาสแก้ตัว ครั้งเดียวตายเลย เมื่อเราสร้างค่านิยมเหล่านี้ให้กับกลุ่มคนรุ่นใหม่ เขาอาจจะไม่ซื้อในวันนี้ แต่วันหนึ่งเขามีครอบครัว มีบ้าน อันดับแรกที่เขาจะนึกถึงคือ เซฟ-ที-คัท”

ตอนนี้เรื่องยอดขายต้องเข้าใจว่ามันตกมหาศาล เพราะสถาณการณ์บ้านเมืองด้วย ทุกคนเก็บเงินหมด แต่ถ้านโยบายเริ่มเข้าที่ ทุกสิ่งที่ทำเริ่มเข้าที่ ผมมั่นใจว่าภายใน 2 ปี เซฟ-ที-คัท-โกลด์ น่าจะขึ้นมาได้ถึง 500 ล้านบาท  นี่คือสินค้าที่คงมีอยู่ ไม่รวมสินค้าในไลน์ใหม่ต่างๆ” เจ้าของธุรกิจ เผย

*** ปั้นแบรนด์ Ener แตกไลน์สินค้าประหยัดพลังงาน ***

การแตกไลน์สินค้าใหม่ๆ ดังกล่าว นับเป็นอีกก้าวที่ผู้บริหารอย่างณัฐพจน์มองว่า เป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้บริษัทมีความมั่นคง และเป็นที่รู้จักของตลาดในวงกว้างมากขึ้น

“ผมมองว่าในอนาคตอันใกล้ สินค้าประหยัดพลังงาน สินค้าเพื่อสิ่งแวดล้อมจะกลายเป็นเทรนด์ใหม่ของโลกอย่างแน่นอน จึงสร้างบริษัทใหม่ขึ้นมารองรับตรงนี้ จะเป็นสินค้าที่เกี่ยวกับเรื่องพลังงานโดยเฉพาะ และใช้ชื่อแบรนด์ว่า Ener เพื่อผลิตเกี่ยวกับ สินค้าด้านพลังงาน การรักษาสภาพแวดล้อม ซึ่งนับเป็นความโชคดี ที่เราได้เป็นตัวแทนของบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ผลิตสินค้าอยู่ 7 ชนิดด้วยกัน สินค้าตัวแรกเลยที่เราทำแล้ว และไปเปิดตลาดแล้วที่ฮ่องกง ก็คือ หลอดประหยัดไฟ ซึ่งควบคุมการผลิตโดยเซฟ-ซี-คัท”

“หลอดประหยัดไฟที่มีในประเทศไทย มีเจ้าใหญ่อยู่ คือ ฟิลลิปส์ ออสแลมป์ และอ็อปโต้ของจีน ราคาต่างกันครึ่งหนึ่ง มีแค่ 3 ยี่ห้อนี้เท่านั้นในประเทศไทย ที่ผลิตหลอดประหยัดไฟตั้งแต่ 5-100 วัตต์ได้ หลอดประหยัดไฟทั่วไปที่ใช้ในบ้านจะมีแค่ 5-23 วัตต์เท่านั้น ที่จำนวนวัตต์สูงกว่านั้นจะใช้ในอุตสาหกรรม, การประมง หรือการส่องสว่างถนน แต่ตอนนี้เราจะก้าวมาเป็นเจ้าที่ 3 ของบริษัทผลิตหลอดประหยัดไฟ ที่สามารถผลิตได้ตั้งแต่ 5-100 วัตต์ สินค้าตัวนี้ผ่านการทดสอบมาตรฐานอุตสาหกรรม มาตรฐานการไฟฟ้านครหลวง โดยจะตั้งราคาขายเท่ากับแบรนด์อ็อปโต้ของจีน ที่ขายดีเป็นอันดับ 1 อยู่ในขณะนี้ ทั้งๆที่คุณภาพดีกว่ากันมาก ทั้งเรื่องการส่องสว่าง และอายุการใช้งาน อีกทั้งยังมีบริการหลังการขายให้อีกด้วย ตลาดตรงนี้ถ้าคิดรวมตั้งแต่ขนาด 5-100 วัตต์ มีมูลค่าถึง 4 หมื่นล้าน ดังนั้นเราก้าวกระโดดทันทีจากตลาดพันล้านไปตลาดหมื่นล้าน เราจะใช้คอนเน็คชั่นร้านค้าทั้งหมดที่มีอยู่เดิมพันกว่าแห่ง จึงเชื่อว่าเมื่อปล่อยสินค้าไปแล้ว การเข้าถึงของลูกค้า และการรับรู้ของตลาดจะเร็วมาก”

“ในขณะเดียวกัน สินค้าจากบริษัทที่ให้เราเป็นตัวแทนจำหน่าย ก็ผลิตแผงโซล่าร์เซลล์ ซึ่งนำไปใช้ใน 28 ประเทศในยุโรป เป็นโซล่าร์เซลล์ซึ่งอยู่ในเจนเนอเรชั่นที่ 3 อัพเดตล่าสุด ประสิทธิภาพในการทำงานถึง 80% ในขณะที่รุ่นเดิมๆ สามารถนำมาใช้ได้แค่ 20-30%
3 เจ้าทั่วโลกใหญ่ๆที่ผลิตโซล่าร์เซลล์ เทียบกันแล้วของเรามีราคาถูกกว่าครึ่ง อันนี้เป็นโปรเจกต์ที่เราทำแล้ว และเสนอต่อรัฐบาลไปแล้ว ซึ่งคาดหวังว่ารัฐบาลน่าจะเริ่มดำเนินการทำแล้วในส่วนของไฟส่องตามหมู่บ้าน ตามถนนใน กทม.
ต่อไปทุกอย่างในอนาคตจะเปลี่ยนแปลง เรานำเทคโนโลยีโซล่าร์เซลล์เข้ามาในการทำไฟส่องถนน ทุกวันนี้หลอดไฟที่ใช้เป็นหลอดไฟแสงจันทร์กินไฟมหาศาล และทำลายบรรยากาศโลก
ในอนาคตจะต้องเปลี่ยนเป็นหลอดประหยัดไฟ ซึ่งเราทำได้ถึง 100 วัตต์ เท่ากับหลอดแสงจันทร์ทั่วไป แต่กินไฟน้อยกว่า 80%
อันนี้คือ ณ ปัจจุบัน แต่ต่อไปพอเราเอาโซล่าร์เซลล์เข้ามา ตรงนี้จะเปลี่ยนเป็นหลอด LED หลอด LED 10 วัตต์ กินไฟน้อยกว่าหลอดธรรมดา 20 เท่า และอายุการใช้งานนานกว่าเยอะ นึกถึงโคมไฟหลังเต่าโซล่าร์เซลล์ก็อยู่บนโคมไฟ แล้วใช้หลอดไฟ LED การทำงานมันไปด้วยกัน
พอติดตั้งไปแล้ว ค่าไฟไม่ต้องจ่ายตลอดชีวิต ค่าไฟที่ อบต. (องค์การบริหารส่วนตำบล) ต้องจ่ายให้กับไฟที่ส่องสว่างในหมู่บ้าน ค่าไฟที่ กทม. ต้องจ่าย เดือนหนึ่งๆ เป็นเงินกี่พันล้าน ต่อไปจะไม่ต้องจ่ายแล้ว
แต่ว่าตอนที่ไปติดตั้งมันแพง เพราะโซล่าร์เซลล์ที่คุณภาพดีนี่แพงมาก หลอด LED ก็แพงมาก แต่เราจะเข้าโปรเจกต์ในลักษณะที่มีคนมาซัพพอร์ตให้เรา เรามีบริษัทไฟแนนซ์เมืองนอกเข้ามาติดตั้งให้รัฐบาลฟรี ค่าติดตั้งเขาจ่ายให้หมด แต่ดีลกันว่าเดือนหนึ่งคุณประหยัดค่าไฟไปเท่าไร
สมมติถัวเฉลี่ยหมู่บ้านนี้จ่ายค่าไฟ 800 บาทต่อเดือน เขาอาจจะขอ 200 บาทต่อเดือน ตราบเท่าที่เสาต้นนี้ที่เขามาติดตั้งให้เรายังอยู่ เขาลงเงินก้อนให้ แต่เขาขอกินยาว
เป็นการช่วยให้รัฐบาลประหยัดขึ้น 1.ไม่ต้องลงทุนในการติดตั้ง 2.ประหยัดค่าไฟอีกเดือนละ 600 บาท
อุปกรณ์ตรงนี้ถ้าติดตั้งกับเสาไฟ ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ต้นละ 30,000 บาท โปรเจ็กต์นี้ถ้าเวิร์ค ตลาดมันจะมีมูลค่ากว่า 100,000 ล้าน
เนื่องจากเรามีไฟแนนซ์เข้ามาซัพพอร์ทตรงนี้ ดังนั้นการทำตลาดเล็กก็ไม่มีประโยชน์อะไร สู้ทำตลาดใหญ่แล้วเหนื่อยทีเดียวเลยดีกว่า
ยกตัวอย่าง ปั๊มน้ำมันเชลล์ มีนโยบายเปลี่ยนไฟในปั๊มน้ำมันทั่วโลกให้เป็น LED
เชลล์ทำธุรกิจฉลาดมาก เพราะเขาต้องเสียคาร์บอนเครดิต เนื่องจากเขาทำลายบรรยากาศโลก พอเขาเปลี่ยนเป็นหลอด LED เขาสามารถของเคลมคาร์บอนเครดิตคืน
จะได้เงินคืนมาเป็นแสนล้าน บริษัททั่วโลก ที่ทำลายบรรยากาศโลก อีกหน่อยจะเปลี่ยนจะใช้ LED หมด
และอีกไม่เกิน 3 ปี หลอดไฟ LED จะมีราคาถูกลง และเริ่มขยายมายังกลุ่มผู้ใช้ในบ้าน เมื่อถึงตอนนั้นหลอดประหยัดไฟที่ใช้กันในปัจจุบันจะตาย เพราะทุกคนเปลี่ยนมาใช้หลอดไฟ LED หมด”
นอกจากหลอดไฟ LED และแผงโซล่าร์เซลล์แล้ว ก็ยังมีสินค้าในประเภทแบตเตอรี่รถนยต์ ซึ่งมีการนำเทคโนโลยีระบบชาร์ตไฟแบบใหม่มาใช้ ส่งผลให้แบตเตอรี่สะอาด และมีสภาพ 100% อยู่ตลอด
แบตเตอรี่ตัวนี้ได้รับมาตรฐาน NATO STANDARD ซึ่งถือว่าเป็นมาตรฐานสูงสุดของโลก ณัฐพจน์จึงมั่นใจว่า เมื่อนำสินค้าตัวนี้เข้ามาทำตลาดในไทย ต้องได้รับการตอบรับที่ดีอย่างแน่นอน”

“เหล่านี้คือไลน์สินค้าต่างๆ ที่จะผลิตและจำหน่ายในนามบริษัท ซี.เอส.อินเตอร์เนชั่นแนล อีเล็คทรอนิคส์ โดยในบางสินค้าจะใช้ชื่อ เซฟ-ที นำหน้า เพื่อให้ผู้บริโภคที่ยอมรับในแบรนด์เซฟ-ที-คัท ให้การยอมรับสินค้าใหม่ๆ เหล่านี้ได้เร็วขึ้น
แต่แนวทาง และกลยุทธ์ใหม่ในการรีออร์แกนไนซ์องค์กรในครั้งนี้ ใช่ว่าจะได้รับการยอมรับจากทุกคน เพราะคุณพ่อที่เป็นผู้ก่อตั้งแบรนด์เซฟ-ที-คัท ยังยึดมั่นในแนวทางการทำตลาดที่ต้องลดต้นทุนสินค้า ดังนั้นจึงแยกหน่วยผลิตในส่วนของโรงงานออกไปต่างหาก และยังผลิตสินค้าในชื่อของเซฟ-ที-คัท ต่อไป” ณัฐพจน์ เล่าถึงธุรกิจที่แตกไลน์ออกมา

*** รุ่น 1 มาสู่ รุ่น 2 เมื่อคิดต่าง จัดการอย่างไร? ****

“ก่อนที่จะมีการ passer take over และเปลี่ยนการบริหารมาเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 2 ปัญหาเรื่องความขัดแย้งทางความคิดมีมาก พ่อทุกคนจะคิดว่าลูกตัวเองไม่เก่ง อันนี้เป็นเรื่องธรรมดา ทุกวันนี้มันก็ยังไม่เก่ง ปัญหาตรงนี้ก็ไม่ใช่ว่าผ่านไปได้ แต่วันนี้สังคมได้เห็นในสิ่งที่เราทำ เราไปแก้ข้อบกพร่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาในเจนเนอเรชั่นที่ 1 ทั้งหมด สังคมรู้ว่าเราทำได้ นั่นคือสิ่งที่เราพอใจ”

“ร้านค้า ลูกค้าทุกคนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น การที่เราจะไปทำธุรกิจอะไรก็ตาม เพราะต้องการแค่ให้พ่อยอมรับว่าเราเก่ง แล้วมันจะได้อะไร แต่ ณ วันนี้ ทุกคนยอมรับแล้วว่าเราเก่ง
อย่างที่บอกว่ามันไม่ใช่จากส่งต่อธุรกิจ แต่เป็นลักษณะเหมือนการ passer take over เพราะมีความเห็นทางธุรกิจที่ต่างกัน คุณพ่อเลยแยกไปทำบริษัทหนึ่งของแกเอง แล้วใช้ชื่อเซฟ-ที-คัท และขายเหมือนกัน แต่นโยบายก็ยังเหมือนเดิม ยังเป็นการใช้วัตถุดิบจีน ก็มีลูกค้าเกิดความสับสนบ้าง แต่นี่ก็คือจุดประสงค์ของเซฟ-ที-คัท โกลด์เหมือนกัน คือ ถ้าคุณอยากจะได้สินค้าเจนเนอเรชั่นที่ 2 คุณต้องเซฟ-ที-คัท โกลด์นะ นี่คือคุณภาพ นี่คือเทคโนโลยี คือบริการที่เราการันตี แต่ถ้าคุณต้องการราคาที่ถูกลงมา คุณก็มีทางเลือก คือ เซฟ-ที-คัท ขึ้นกับลูกค้าเป็นคนตัดสินใจ เป็นทางเลือกให้กับลูกค้า”

“ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าคุณพ่อเป็นคนเก่งมาก เพราะฉะนั้นเป็นไปไม่ได้ที่คุณพ่อจะยอมรับว่าการบริหารของท่านผิดพลาด เป็นคนที่ได้รับการยอมรับทางสังคมสูงมาก ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้รับดอกเตอร์ถึง 2 ใบ การที่จะให้ท่านยอมรับในแนวทางใหม่ๆ ผมบอกเลยว่าเป็นไปไมได้ ดังนั้นลูกค้าคือผู้ตัดสินใจ”

“ความคิดของคนรุ่นเก่า ถ้าไม่มีบุคคลที่ 3 ใช้ความคิดของตัวเอง มีข้อดีเยอะมาก คนรุ่นเก่ามีความจริงใจ ยกตัวอย่างที่เกิดขึ้น คุณพ่อในช่วงก่อน 5 ปีที่แล้วที่ท่านทำงานมา ท่านไม่เคยไล่พนักงานออกแม้แต่คนเดียว ผมจับได้ว่าพนักงานขโมยของเป็นล้านๆ บาท เอาตำรวจมาดักรอหน้าปากซอย พนักงานคนนี้จบปริญญาโทจากเยอรมัน กำลังขนของออกไป ตำรวจรอจับอยู่หน้าปากซอยแล้ว คุณพ่อโทรเข้ามือถือ บอกว่าอย่าไปจับเขาเลย เรียนจบปริญญาโทจากเยอรมันเลยนะ เดี๋ยวเขาจะหมดอนาคต
นี่คือจรรยาบรรณ ความรักคน ความจริงใจกับคน ผิดกับนักธุรกิจใหม่ๆ คิดแต่ว่าทำอย่างไรถึงจะได้เงินเยอะที่สุด ต่างกันเยอะ นี่คือสิ่งที่คุณพ่อสอน และผมนำมาปรับใช้ในการบริหารงาน”

ถึงแม้ว่าในวันนี้ แนวทางในการบริหารธุรกิจระหว่างเจนเนอเรชั่น 1 และเจนเนอเรชั่น 2 จะแตกต่างกัน จนต้องแยกทางกันในการดำเนินธุรกิจ แต่ ณัฐพจน์ กล่าวย้ำว่า คุณพ่อคือต้นแบบในหลายๆ ด้าน และเป็นแรงผลักดันสำคัญ ที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จทางด้านธุรกิจในวันนี้

เมื่อเจนเนอเรชั่นที่ 2 นำแบรนด์มาปรับปรุง และฟื้นความเชื่อมั่นของลูกค้าให้กลับคืนมา ทุกคนก็จะจดจำแบรนด์เซฟ-ที-คัท ที่คุณพ่อเป็นผู้ก่อตั้งในด้านที่ดีตลอดไป
นี่คือ ประโยคสุดท้ายของรุ่น 2 เซฟ-ที-คัท

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

***ข้อมูลโดยนิตยสาร SMEs PLUS ฉบับที่ 4 ปี ประจำเดือนพฤษภาคม2553 ****
กำลังโหลดความคิดเห็น