พรรคการเมือง-นักการเมือง เป็นเพียงอาชีพหนึ่งที่เป็นผลิตผลประชาธิปไตย นักการเมืองที่ไร้อุดมการณ์ก็เป็นแค่ “พระอันดับประชาธิปไตย” ดำรงชีพอยู่ได้ด้วยประโยชน์จากการเลือกตั้งเท่านั้น
…พรรคการเมือง โดยเฉพาะฝ่ายค้าน สวมเสื้อนอกคร่ำเคร่งอยู่ในห้องแอร์หรู ต่อรองผลประโยชน์กับจอมเผด็จการประชาธิปไตยผู้ไร้จริยธรรม และเป็นผู้ที่ประชาชนกำลังขับไล่ ก็เท่ากับยอมเป็นพระอันดับ “บวชโจร” ให้กลับเข้ามาครองเมือง
การเมืองไทยต่อจากนี้ไป ต้องไม่ใช่ “ฝ่ายรัฐบาลไป-ฝ่ายค้านมา” เพราะการเมืองเพื่อบ้านเมืองใส-สะอาดต่อจากนี้ มันจะต้องเว้นวรรคจากคำว่า
(นอมินี) ทักษิณไป-อภิสิทธิ์มา!
หรือรัฐบาลจากพรรคการเมืองไหนๆ ในเวลานี้ก็..ยังไม่มีสิทธิ์!?”
คำพูดข้างต้นทั้งหมดไม่ได้เกิดจากสติปัญญาของผู้เขียนที่ยังอ่อนด้อยประสบการณ์ หากแต่ผู้เขียนได้หยิบเอาจุดยืนในอดีตที่เคยชัดแจ้ง ของนักหนังสือพิมพ์เจ้าของรางวัล “ศรีบูพา” อย่างเปลว สีเงิน ที่เคยเขียนไว้เมื่อครั้งวิกฤตปี 2549 มาเป็นอนุสติเตือนใจทุกท่านวันนี้
หยิบยืมมาเพื่อจะถาม “ผู้อ่าน” หรือแม้แต่ตัว “เจ้าของสำนวนเดิม” นั้นให้ได้เปรียบเทียบด้วยใจเป็นธรรมว่า ระยะเวลา 3-4 ปีที่ผ่านมา วิกฤตบ้านวิกฤตเมืองเหล่านี้ ท่านคิดว่าได้รับการเยียวยาแล้ว จริงละหรือ
ในสายตาของผู้เขียนเองกลับมองไม่เห็นว่า วิกฤตเหล่านั้นได้รับการคลี่คลาย ตรงกันข้ามบ้านเมืองกลับเหมือนยิ่งถูกซ้ำเติมให้หนักหนาสาหัสกว่าเก่า โดยเฉพาะในช่วง 2 ปีหลัง ที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเข้ามามีอำนาจ นักการเมืองอย่างนายอภิสิทธิ์ก็เข้ามากระทำซ้ำเติมบ้านเมือง ด้วยการกระทำหลายสถานด้วยกัน
…ไม่ว่าจะเป็นการแก้ระบบเลือกตั้งในรัฐธรรมนูญเพื่อเอื้อประโยชน์พรรค และพวกพ้อง แล้วอ้างว่าเป็นการปฏิรูปประเทศ ทั้งที่ความจริงไม่ใช่
…หรือจะเป็นการปกป้องพรรคร่วมรัฐบาลคอร์รัปชันผลประโยชน์บ้านเมืองมากมายจนมีผู้เปรียบเทียบ สถานการณ์โคตรโกงโคตรกินในวันนี้ ไม่ต่างกับยุคทักษิณแม้แต่น้อย
… ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวณิชยกุล เพิ่งเขียนบทความชำแหละเมื่อเร็วๆ นี้ว่า “สัมปทานจำแลง กรณี 3G ยุคอภิสิทธิ์ที่ทำกับบริษัทเอกชนเจ้าหนึ่ง แทบไม่ได้มีความแตกต่างใดๆ เลยกับสัมปทานโทรคมนาคมแบบผูกขาดยุคระบอบทักษิณครองเมือง”
…การทำลายนิติรัฐ นิติธรรม ด้วยการใช้อำนาจฝ่ายบริหารออกมติครม.หนุนประกันเสื้อแดงอ้างปรองดอง แม้ก่อนหน้านี้ฝ่ายตุลาการโดยศาลใช้อำนาจคัดค้านการให้ประกันตัว แต่รัฐบาลก็ยังส่งคนของตนเองไปช่วยให้การที่บิดเบือนต่อศาล อ้างว่าการชุมนุมที่ราชประสงค์สงบปราศจากอาวุธ แต่กลับประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ควบคุมการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ
…ข้อครหาใช้อำนาจบริหารแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ตัดตอนคดีภาษีบุหรี่ฟิลิป มอร์ริส
…บริหารบ้านเมืองผิดพลาด ปล่อยให้มีการกักตุนสินค้าจนน้ำมันปาล์ม น้ำตาลขาดแคลน
ถ้าเป็นนักการเมืองชื่ออื่น ข้อหาทำร้ายบ้านเมืองยาวเป็นหางว่าวขนาดนี้ คงได้จมธรณีใต้กองเท้าประชาชนไปนานแล้ว ไม่ได้นั่งลอยหน้าลอยตาทำทองไม่รู้ร้อน อยู่มาได้จนถึงวันนี้ แต่เพราะท่านเป็นนายกรัฐมนตรีชื่อ “อภิสิทธิ์” ที่ยังมีแม่ยกหูตามืดมัว อุปถัมภ์ค้ำชู ท่านจึงยังชูคอ ไม่สะทกสะท้านอยู่ได้
แต่สิ่งที่อาจจะทำให้กาลกลับตาลปัตรจนถึงขั้นอยู่ไม่ได้อีกต่อไป ก็คือข้อหาขายแผ่นดินไทยนี่แหละ คุณอภิสิทธิ์เอ๋ย ข้อหาที่คุณทนฟังไม่ได้แต่แรก แต่กลับปล่อยให้รัฐบาลของคุณ ทำทุกอย่าง อย่างที่ถูกกล่าวหา ไล่ตั้งแต่การปล่อยให้เขมรลักพาตัวคนไทยบนดินแดนไทย แล้วเพิกเฉยไม่ให้ความช่วยเหลือคนไทยสองคนที่เหลือ คือ คุณวีระ สมความคิด และคุณราตรี พิพัฒนาไพบูลย์ แม้จะถูกคุณอนุรักษ์ สง่าอารีย์กูล เลขานุการศาลฎีกาแผนกคดีอาญาการเมือง จี้ถามถึงความจริงใจในการทำหน้าที่ดังกล่าว ของรัฐบาลมาแล้ว ผ่านบทความทางหน้าหนังสือพิมพ์มาแล้ว
ไม่เพียงเท่านั้น ล่าสุดรัฐบาลอภิสิทธิ์ ยังเตรียมจะตอกย้ำแบรนด์ “ขายชาติ” ด้วยการผลักดันบันทึกการประชุมเจบีซี 3 ฉบับที่มีเนื้อหาเป็นโทษกับราชอาณาจักรไทย ผ่านสภาไทยในวันศุกร์นี้ ในช่วงที่สภากำลังอยู่ในระยะเปลี่ยนผ่าน คือ สมาชิกวุฒิสภาส่วนหนึ่งได้ลาออกไปเพื่อเตรียมสมัครลงคัดเลือกเป็น ส.ว.สรรหาชุดใหม่ เป็นต้น
สำหรับข้อเสนอของแกนนำพันธมิตรฯ เรื่องเสนอให้พรรคการเมืองใหม่บอยคอตการเลือกตั้ง ครั้งนี้เพราะไม่เห็นว่ามันจะเป็นทางออกของบ้านเมือง ผู้เขียนเห็นว่า เป็นข้อเสนอที่น่าสนใจไม่น้อยสุดแล้วแต่พรรคจะตอบสนองหรือไม่ประการใด แต่เห็นว่า เป็นข้อเสนอที่พรรคเองไม่จำเป็นต้องกลัวว่าจะถูกตำหนิจากสังคมภายนอกใดๆ เลย เพราะเมื่อปีพุทธศักราช 2549 ก็เป็นพรรคเก่าแก่อย่างประชาธิปัตย์เองมิใช่ล่ะหรือ ที่นำพรรคชาติไทย และมหาชนประกาศคว่ำบาตรการเลือกตั้งมาแล้วเช่นกัน
จำได้ว่า เมื่อกุมภาพันธ์ 2549 หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ณ เวลานั้น ประกาศกร้าวกลางที่ประชุมโรงแรมดิ เอมเมอรัลด์ หลังถูกประธานที่ปรึกษาพรรคทักท้วงเรื่องการประกาศบอยคอตเลือกตั้งที่อาจถูกกล่าวหาเป็นการกระทำนอกระบบ
อภิสิทธิ์ในวันนั้นตอบว่า
“ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ผมขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว”
“ไม่มีกฎหมายใดๆ ห้ามไม่ให้พรรคการเมืองไม่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งจึงไม่ใช่การเมือง “นอกระบบ” อย่างที่จะถูกกล่าวหา”
…พรรคการเมือง โดยเฉพาะฝ่ายค้าน สวมเสื้อนอกคร่ำเคร่งอยู่ในห้องแอร์หรู ต่อรองผลประโยชน์กับจอมเผด็จการประชาธิปไตยผู้ไร้จริยธรรม และเป็นผู้ที่ประชาชนกำลังขับไล่ ก็เท่ากับยอมเป็นพระอันดับ “บวชโจร” ให้กลับเข้ามาครองเมือง
การเมืองไทยต่อจากนี้ไป ต้องไม่ใช่ “ฝ่ายรัฐบาลไป-ฝ่ายค้านมา” เพราะการเมืองเพื่อบ้านเมืองใส-สะอาดต่อจากนี้ มันจะต้องเว้นวรรคจากคำว่า
(นอมินี) ทักษิณไป-อภิสิทธิ์มา!
หรือรัฐบาลจากพรรคการเมืองไหนๆ ในเวลานี้ก็..ยังไม่มีสิทธิ์!?”
คำพูดข้างต้นทั้งหมดไม่ได้เกิดจากสติปัญญาของผู้เขียนที่ยังอ่อนด้อยประสบการณ์ หากแต่ผู้เขียนได้หยิบเอาจุดยืนในอดีตที่เคยชัดแจ้ง ของนักหนังสือพิมพ์เจ้าของรางวัล “ศรีบูพา” อย่างเปลว สีเงิน ที่เคยเขียนไว้เมื่อครั้งวิกฤตปี 2549 มาเป็นอนุสติเตือนใจทุกท่านวันนี้
หยิบยืมมาเพื่อจะถาม “ผู้อ่าน” หรือแม้แต่ตัว “เจ้าของสำนวนเดิม” นั้นให้ได้เปรียบเทียบด้วยใจเป็นธรรมว่า ระยะเวลา 3-4 ปีที่ผ่านมา วิกฤตบ้านวิกฤตเมืองเหล่านี้ ท่านคิดว่าได้รับการเยียวยาแล้ว จริงละหรือ
ในสายตาของผู้เขียนเองกลับมองไม่เห็นว่า วิกฤตเหล่านั้นได้รับการคลี่คลาย ตรงกันข้ามบ้านเมืองกลับเหมือนยิ่งถูกซ้ำเติมให้หนักหนาสาหัสกว่าเก่า โดยเฉพาะในช่วง 2 ปีหลัง ที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเข้ามามีอำนาจ นักการเมืองอย่างนายอภิสิทธิ์ก็เข้ามากระทำซ้ำเติมบ้านเมือง ด้วยการกระทำหลายสถานด้วยกัน
…ไม่ว่าจะเป็นการแก้ระบบเลือกตั้งในรัฐธรรมนูญเพื่อเอื้อประโยชน์พรรค และพวกพ้อง แล้วอ้างว่าเป็นการปฏิรูปประเทศ ทั้งที่ความจริงไม่ใช่
…หรือจะเป็นการปกป้องพรรคร่วมรัฐบาลคอร์รัปชันผลประโยชน์บ้านเมืองมากมายจนมีผู้เปรียบเทียบ สถานการณ์โคตรโกงโคตรกินในวันนี้ ไม่ต่างกับยุคทักษิณแม้แต่น้อย
… ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวณิชยกุล เพิ่งเขียนบทความชำแหละเมื่อเร็วๆ นี้ว่า “สัมปทานจำแลง กรณี 3G ยุคอภิสิทธิ์ที่ทำกับบริษัทเอกชนเจ้าหนึ่ง แทบไม่ได้มีความแตกต่างใดๆ เลยกับสัมปทานโทรคมนาคมแบบผูกขาดยุคระบอบทักษิณครองเมือง”
…การทำลายนิติรัฐ นิติธรรม ด้วยการใช้อำนาจฝ่ายบริหารออกมติครม.หนุนประกันเสื้อแดงอ้างปรองดอง แม้ก่อนหน้านี้ฝ่ายตุลาการโดยศาลใช้อำนาจคัดค้านการให้ประกันตัว แต่รัฐบาลก็ยังส่งคนของตนเองไปช่วยให้การที่บิดเบือนต่อศาล อ้างว่าการชุมนุมที่ราชประสงค์สงบปราศจากอาวุธ แต่กลับประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ควบคุมการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ
…ข้อครหาใช้อำนาจบริหารแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ตัดตอนคดีภาษีบุหรี่ฟิลิป มอร์ริส
…บริหารบ้านเมืองผิดพลาด ปล่อยให้มีการกักตุนสินค้าจนน้ำมันปาล์ม น้ำตาลขาดแคลน
ถ้าเป็นนักการเมืองชื่ออื่น ข้อหาทำร้ายบ้านเมืองยาวเป็นหางว่าวขนาดนี้ คงได้จมธรณีใต้กองเท้าประชาชนไปนานแล้ว ไม่ได้นั่งลอยหน้าลอยตาทำทองไม่รู้ร้อน อยู่มาได้จนถึงวันนี้ แต่เพราะท่านเป็นนายกรัฐมนตรีชื่อ “อภิสิทธิ์” ที่ยังมีแม่ยกหูตามืดมัว อุปถัมภ์ค้ำชู ท่านจึงยังชูคอ ไม่สะทกสะท้านอยู่ได้
แต่สิ่งที่อาจจะทำให้กาลกลับตาลปัตรจนถึงขั้นอยู่ไม่ได้อีกต่อไป ก็คือข้อหาขายแผ่นดินไทยนี่แหละ คุณอภิสิทธิ์เอ๋ย ข้อหาที่คุณทนฟังไม่ได้แต่แรก แต่กลับปล่อยให้รัฐบาลของคุณ ทำทุกอย่าง อย่างที่ถูกกล่าวหา ไล่ตั้งแต่การปล่อยให้เขมรลักพาตัวคนไทยบนดินแดนไทย แล้วเพิกเฉยไม่ให้ความช่วยเหลือคนไทยสองคนที่เหลือ คือ คุณวีระ สมความคิด และคุณราตรี พิพัฒนาไพบูลย์ แม้จะถูกคุณอนุรักษ์ สง่าอารีย์กูล เลขานุการศาลฎีกาแผนกคดีอาญาการเมือง จี้ถามถึงความจริงใจในการทำหน้าที่ดังกล่าว ของรัฐบาลมาแล้ว ผ่านบทความทางหน้าหนังสือพิมพ์มาแล้ว
ไม่เพียงเท่านั้น ล่าสุดรัฐบาลอภิสิทธิ์ ยังเตรียมจะตอกย้ำแบรนด์ “ขายชาติ” ด้วยการผลักดันบันทึกการประชุมเจบีซี 3 ฉบับที่มีเนื้อหาเป็นโทษกับราชอาณาจักรไทย ผ่านสภาไทยในวันศุกร์นี้ ในช่วงที่สภากำลังอยู่ในระยะเปลี่ยนผ่าน คือ สมาชิกวุฒิสภาส่วนหนึ่งได้ลาออกไปเพื่อเตรียมสมัครลงคัดเลือกเป็น ส.ว.สรรหาชุดใหม่ เป็นต้น
สำหรับข้อเสนอของแกนนำพันธมิตรฯ เรื่องเสนอให้พรรคการเมืองใหม่บอยคอตการเลือกตั้ง ครั้งนี้เพราะไม่เห็นว่ามันจะเป็นทางออกของบ้านเมือง ผู้เขียนเห็นว่า เป็นข้อเสนอที่น่าสนใจไม่น้อยสุดแล้วแต่พรรคจะตอบสนองหรือไม่ประการใด แต่เห็นว่า เป็นข้อเสนอที่พรรคเองไม่จำเป็นต้องกลัวว่าจะถูกตำหนิจากสังคมภายนอกใดๆ เลย เพราะเมื่อปีพุทธศักราช 2549 ก็เป็นพรรคเก่าแก่อย่างประชาธิปัตย์เองมิใช่ล่ะหรือ ที่นำพรรคชาติไทย และมหาชนประกาศคว่ำบาตรการเลือกตั้งมาแล้วเช่นกัน
จำได้ว่า เมื่อกุมภาพันธ์ 2549 หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ณ เวลานั้น ประกาศกร้าวกลางที่ประชุมโรงแรมดิ เอมเมอรัลด์ หลังถูกประธานที่ปรึกษาพรรคทักท้วงเรื่องการประกาศบอยคอตเลือกตั้งที่อาจถูกกล่าวหาเป็นการกระทำนอกระบบ
อภิสิทธิ์ในวันนั้นตอบว่า
“ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ผมขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว”
“ไม่มีกฎหมายใดๆ ห้ามไม่ให้พรรคการเมืองไม่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งจึงไม่ใช่การเมือง “นอกระบบ” อย่างที่จะถูกกล่าวหา”