ปัญหาบริหารประเทศที่ล้มเหลวของรัฐบาล มองเห็นได้เพียงภูเขาน้ำแข็งที่ลอยอยู่เหนือพื้นน้ำ ที่มองไม่เห็นอยู่ใต้ระดับน้ำ ที่มีประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ ความเห็นของคนเป็นสิ่งสำคัญ เป็นตัวบอกว่าจะทำสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง หากเป็นความเห็นที่ถูกต้องก็จะนำไปสู่การกระทำที่ถูกต้อง หากเป็นความเห็นที่ไม่ถูกต้อง ก็นำไปสู่การกระทำที่ไม่ถูกต้อง รวมทั้งมีความเห็นซ่อนเร้น การกระทำเป็นตัวบอกได้ว่า มีความเห็นแบบไหน เห็นในทางที่ถูกหรือเห็นในทางที่ผิด
มิจฉาทิฐิ ก่อนการรับเลือกตั้ง นายกฯ อภิสิทธิ์ และคณะเดินทางไปเยี่ยมหน่วยงานและองค์กรทางราชการบางหน่วยงาน แล้วก็ออกมาให้ข่าวว่า ปัญหาของหน่วยงานต่างๆ และแนวทางในการแก้ปัญหาตรงกับความเห็นของตน บอกให้ทราบว่านายอภิสิทธิ์ไม่รู้อะไรเป็นปัญหาหลัก ไม่รู้อะไรเป็นปัญหารอง ราชการเองเป็นตัวสะสมสิ่งไม่ถูกต้องไว้ เมื่อไม่เห็นสิ่งแปลกปลอมในส่วนราชการ แล้วนำมาบริหารจัดการต่อ จะยิ่งซ้ำเติมให้เพิ่มปัญหาแก่ประเทศในทางเลวร้ายมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่นกรณีพระวิหาร กรณีตลาดอนุพันธ์
2 ปีของการบริหารประเทศ เน้นแก้ปัญหาหนี้นอกระบบที่มีเพียง 1.2 แสนล้านบาท แต่ไม่สนใจเรื่องหนี้สาธารณะ หนี้สาธารณะของรัฐบาลอภิสิทธิ์เพิ่มแรง จาก 3.4 ล้านล้านบาท มาเป็น 4.5 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1.1 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 10 เท่าของหนี้นอกระบบ อนาคตประเทศไทยจะต้องตั้งงบประมาณจ่ายค่าดอกเบี้ยหนี้สาธารณะสูงขึ้น เป็นภาษีของชาวบ้าน จะก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อคนไทยทั่วหน้า เช่น การขึ้นภาษีวีเอทีมาชดเชยการขาดดุลงบประมาณ
เงินท่วมประเทศรุนแรง 4 ล้านล้านบาท แต่ไม่ตระหนักเงินท่วมประเทศ ไปทำแต่เรื่องน้ำท่วมพื้นที่ เพิ่มอนุพันธ์ราคาทองคำล่วงหน้าในหุ้น ร่วมโรดโชว์กับตลาดหลักทรัพย์เพื่อดึงเงินมาลงทุนในตลาดหุ้นไทย รวมทั้งการขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เงินทุนไหลเข้าท่วมประเทศไทยมากขึ้น
รัฐบาลใช้การระบายเงินท่วมประเทศแบบผิดวิธี ทำงบประมาณปี 2554 สูงถึง 2.07 ล้านล้านบาท และยังเป็นงบประมาณขาดดุล 4.2 แสนล้านบาท นำมาทำโครงการประชานิยม ขึ้นเงินเดือนเป็นพายุ ทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นอย่างไม่สมควร การระบายสภาพคล่องท่วมระบบแบบไม่ถูกต้อง จะก่อให้เกิดปัญหางบประมาณที่ไม่สมดุลในอนาคต จะทำให้หนี้สาธารณะในอนาคตเพิ่มขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง ที่บอกว่าปี 2558 จะทำงบประมาณสมดุล เป็นเรื่องเพ้อเจ้อ
ประชาชนต้องมาก่อนก็เป็นมิจฉาทิฐิ และเป็นมิจฉาวาจา เป็นความเห็นซ่อนเร้น เศรษฐกิจถดถอยปรากฏในปี 2552 - 2553 แทนที่จะรัดเข็มขัด ต้องประหยัด มัธยัสถ์ อะไรๆ นายกฯ อภิสิทธิ์ก็กระตุ้นแต่เศรษฐกิจ ไม่ได้บริหารจัดการเพื่อประเทศชาติประชาชน คนหลายหมื่นคนชุมนุมร้องขอให้ทำในเรื่องสำคัญ ก็ไม่ได้รับการตอบสนองแม้แต่เรื่องเดียว แต่กลับไปรับฟังและรับใช้นายทุนเพียงคนเดียว “ทฤษฏี 2 สูง” คือ 1) ให้เพิ่มเงินเดือนของคนที่มีเงินเดือน 2) ให้เพิ่มค่าใช้จ่าย (งบประมาณแผ่นดิน) มากขึ้น
พิจารณาดู นายทุนมีร้านค้า 711 ทั่วประเทศ กลัวว่าร้านค้าของตนเองจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจตกต่ำ กำลังซื้อถดถอย จึงมาแนะนำให้นายกฯ ใช้ทฤษฎี 2 สูง ซึ่งก็ต้องใช้งบประมาณแผ่นดิน ซึ่งเป็นภาษีของประชาชน จะทำให้ระบบมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น ไปก่อประโยชน์ต่อธุรกิจของนายทุนเพียงคนเดียว แล้วทำให้เงินเฟ้อของประเทศสูงขึ้น รวมทั้งก่อให้เกิดภาระใช้งบประมาณสูงต่อเนื่องต่อไปทุกปี
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ใช่นายกฯ ของประเทศชาติและประชาชนคนไทย
indexthai@yahoo.com
http://twitter.com/indexthai
มิจฉาทิฐิ ก่อนการรับเลือกตั้ง นายกฯ อภิสิทธิ์ และคณะเดินทางไปเยี่ยมหน่วยงานและองค์กรทางราชการบางหน่วยงาน แล้วก็ออกมาให้ข่าวว่า ปัญหาของหน่วยงานต่างๆ และแนวทางในการแก้ปัญหาตรงกับความเห็นของตน บอกให้ทราบว่านายอภิสิทธิ์ไม่รู้อะไรเป็นปัญหาหลัก ไม่รู้อะไรเป็นปัญหารอง ราชการเองเป็นตัวสะสมสิ่งไม่ถูกต้องไว้ เมื่อไม่เห็นสิ่งแปลกปลอมในส่วนราชการ แล้วนำมาบริหารจัดการต่อ จะยิ่งซ้ำเติมให้เพิ่มปัญหาแก่ประเทศในทางเลวร้ายมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่นกรณีพระวิหาร กรณีตลาดอนุพันธ์
2 ปีของการบริหารประเทศ เน้นแก้ปัญหาหนี้นอกระบบที่มีเพียง 1.2 แสนล้านบาท แต่ไม่สนใจเรื่องหนี้สาธารณะ หนี้สาธารณะของรัฐบาลอภิสิทธิ์เพิ่มแรง จาก 3.4 ล้านล้านบาท มาเป็น 4.5 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1.1 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 10 เท่าของหนี้นอกระบบ อนาคตประเทศไทยจะต้องตั้งงบประมาณจ่ายค่าดอกเบี้ยหนี้สาธารณะสูงขึ้น เป็นภาษีของชาวบ้าน จะก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อคนไทยทั่วหน้า เช่น การขึ้นภาษีวีเอทีมาชดเชยการขาดดุลงบประมาณ
เงินท่วมประเทศรุนแรง 4 ล้านล้านบาท แต่ไม่ตระหนักเงินท่วมประเทศ ไปทำแต่เรื่องน้ำท่วมพื้นที่ เพิ่มอนุพันธ์ราคาทองคำล่วงหน้าในหุ้น ร่วมโรดโชว์กับตลาดหลักทรัพย์เพื่อดึงเงินมาลงทุนในตลาดหุ้นไทย รวมทั้งการขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เงินทุนไหลเข้าท่วมประเทศไทยมากขึ้น
รัฐบาลใช้การระบายเงินท่วมประเทศแบบผิดวิธี ทำงบประมาณปี 2554 สูงถึง 2.07 ล้านล้านบาท และยังเป็นงบประมาณขาดดุล 4.2 แสนล้านบาท นำมาทำโครงการประชานิยม ขึ้นเงินเดือนเป็นพายุ ทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นอย่างไม่สมควร การระบายสภาพคล่องท่วมระบบแบบไม่ถูกต้อง จะก่อให้เกิดปัญหางบประมาณที่ไม่สมดุลในอนาคต จะทำให้หนี้สาธารณะในอนาคตเพิ่มขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง ที่บอกว่าปี 2558 จะทำงบประมาณสมดุล เป็นเรื่องเพ้อเจ้อ
ประชาชนต้องมาก่อนก็เป็นมิจฉาทิฐิ และเป็นมิจฉาวาจา เป็นความเห็นซ่อนเร้น เศรษฐกิจถดถอยปรากฏในปี 2552 - 2553 แทนที่จะรัดเข็มขัด ต้องประหยัด มัธยัสถ์ อะไรๆ นายกฯ อภิสิทธิ์ก็กระตุ้นแต่เศรษฐกิจ ไม่ได้บริหารจัดการเพื่อประเทศชาติประชาชน คนหลายหมื่นคนชุมนุมร้องขอให้ทำในเรื่องสำคัญ ก็ไม่ได้รับการตอบสนองแม้แต่เรื่องเดียว แต่กลับไปรับฟังและรับใช้นายทุนเพียงคนเดียว “ทฤษฏี 2 สูง” คือ 1) ให้เพิ่มเงินเดือนของคนที่มีเงินเดือน 2) ให้เพิ่มค่าใช้จ่าย (งบประมาณแผ่นดิน) มากขึ้น
พิจารณาดู นายทุนมีร้านค้า 711 ทั่วประเทศ กลัวว่าร้านค้าของตนเองจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจตกต่ำ กำลังซื้อถดถอย จึงมาแนะนำให้นายกฯ ใช้ทฤษฎี 2 สูง ซึ่งก็ต้องใช้งบประมาณแผ่นดิน ซึ่งเป็นภาษีของประชาชน จะทำให้ระบบมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น ไปก่อประโยชน์ต่อธุรกิจของนายทุนเพียงคนเดียว แล้วทำให้เงินเฟ้อของประเทศสูงขึ้น รวมทั้งก่อให้เกิดภาระใช้งบประมาณสูงต่อเนื่องต่อไปทุกปี
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ใช่นายกฯ ของประเทศชาติและประชาชนคนไทย
indexthai@yahoo.com
http://twitter.com/indexthai