ASTVผู้จัดการรายวัน-แผนลดราคาน้ำตาลทรายสะดุด "มาร์ค"เล่นแง่ ไม่เซ็นเข้าครม. แถมโบ้ยให้พาณิชย์ไปหารืออุตสาหกรรมก่อน คาดสุดท้ายไม่มีการลดราคา
รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล แจ้งว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไม่ยอมลงนามนำเรื่องการขอปรับลดราคาขายปลีกน้ำตาลทราย เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนและราคาแพงตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ บรรจุเข้าวาระการพิจารณาของที่ประชุม คณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (22 มี.ค.) แต่ได้สั่งให้กระทรวงพาณิชย์นำแนวทางการแก้ปัญหา การยืดระยะเวลาชำระเงินกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย ไปหารือกับกระทรวงอุตสาหกรรมและโรงงานผู้ผลิตน้ำตาลก่อน เพื่อศึกษาผลดี ผลเสีย และค่อยนำรายละเอียดมาเสนอให้ครม.พิจารณาอีกครั้ง
ทั้งนี้ แนวทางที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ มี 2 ทางเลือก คือ ให้ยืดระยะเวลาส่งเงินชดเชยราคาขายปลีกน้ำตาลทรายแก่กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายออกไป 2 เดือนจากแผนเดิม ซึ่งจะช่วยให้ราคาน้ำตาลทรายขายปลีกลดลงได้ กก.ละ 1 บาท แต่หากรัฐบาลไม่เลือกจะต้องประกาศให้คงราคาขายปลีกน้ำตาลทรายตามเดิม พร้อมทั้งกำชับให้ผู้เกี่ยวข้องกับการผลิตให้ผลิตน้ำตาลทรายบรรจุถุง 1 กก. ออกมาจำหน่ายให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค และสอดคล้องกับปริมาณที่ได้รับจัดสรร
สำหรับการประชุมร่วมระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับกระทรวงอุตสาหกรรม คาดว่าจะหารือภายในสัปดาห์นี้ และมีแนวโน้มว่าข้อเสนอของกระทรวงพาณิชย์อาจตกไป เนื่องจากในองค์ประชุมตัวแทนส่วนใหญ่มาจากฝั่งผู้ผลิต ซึ่งก็คงมีการคัดค้านข้อเสนอของกระทรวงพาณิชย์อย่างเต็มที่
รายงานข่าวแจ้งว่า ภาระการจ่ายเงินชดเชยเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย จะหมดลงในเดือนธ.ค.2554 นี้ กระทรวงพาณิชย์เห็นว่า ถ้าลดการจ่ายเงินเข้ากองทุนฯ หรือเลื่อนการจ่ายเงินเข้ากองทุน จะทำให้ราคาขายปลีกน้ำตาลทรายลดลงได้ โดยเบื้องต้นเห็นว่าน่าจะลดลงได้ถึงกก.ละ 5 บาท แต่ท้ายที่สุดได้เสนอให้ลดลงเพียงแค่กก.ละ 1 บาท เพื่อไม่ให้หน่วยงานที่ดูแลน้ำตาลทรายอย่างกระทรวงอุตสาหกรรมลำบากใจ แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนองจากนายกรัฐมนตรี
ก่อนหน้านี้ น้ำตาลทรายมีปัญหาราคาแพงและขาดแคลนมาเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 1 ปีแล้ว โดยในห้างสรรพสินค้าและห้างค้าปลีก ไม่สามารถหาซื้อได้ตามปกติ เนื่องจากผู้ผลิตไม่ยอมผลิตบรรจุถุงออกมาขาย เพราะต้นทุนแพกเกจจิ้งแพง และล่าสุดได้เสนอแนวทางแก้ปัญหาโดยขอปรับขึ้นราคาน้ำตาลทรายบรรจุถุงเป็นกก.ละ 25 บาทจากกก.ละ 23.50 หรือเพิ่มขึ้น 1.50 บาท เพื่อชดเชยค่าแพกเกจจิ้ง แต่ก็ได้รับการคัดค้านจากกระทรวงพาณิชย์ และเสนอทางออกสวนทางให้ลดการส่งเงินเข้ากองทุนฯ แทน เพื่อลดราคาขายปลีกน้ำตาลทราย
รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล แจ้งว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไม่ยอมลงนามนำเรื่องการขอปรับลดราคาขายปลีกน้ำตาลทราย เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนและราคาแพงตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ บรรจุเข้าวาระการพิจารณาของที่ประชุม คณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (22 มี.ค.) แต่ได้สั่งให้กระทรวงพาณิชย์นำแนวทางการแก้ปัญหา การยืดระยะเวลาชำระเงินกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย ไปหารือกับกระทรวงอุตสาหกรรมและโรงงานผู้ผลิตน้ำตาลก่อน เพื่อศึกษาผลดี ผลเสีย และค่อยนำรายละเอียดมาเสนอให้ครม.พิจารณาอีกครั้ง
ทั้งนี้ แนวทางที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ มี 2 ทางเลือก คือ ให้ยืดระยะเวลาส่งเงินชดเชยราคาขายปลีกน้ำตาลทรายแก่กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายออกไป 2 เดือนจากแผนเดิม ซึ่งจะช่วยให้ราคาน้ำตาลทรายขายปลีกลดลงได้ กก.ละ 1 บาท แต่หากรัฐบาลไม่เลือกจะต้องประกาศให้คงราคาขายปลีกน้ำตาลทรายตามเดิม พร้อมทั้งกำชับให้ผู้เกี่ยวข้องกับการผลิตให้ผลิตน้ำตาลทรายบรรจุถุง 1 กก. ออกมาจำหน่ายให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค และสอดคล้องกับปริมาณที่ได้รับจัดสรร
สำหรับการประชุมร่วมระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับกระทรวงอุตสาหกรรม คาดว่าจะหารือภายในสัปดาห์นี้ และมีแนวโน้มว่าข้อเสนอของกระทรวงพาณิชย์อาจตกไป เนื่องจากในองค์ประชุมตัวแทนส่วนใหญ่มาจากฝั่งผู้ผลิต ซึ่งก็คงมีการคัดค้านข้อเสนอของกระทรวงพาณิชย์อย่างเต็มที่
รายงานข่าวแจ้งว่า ภาระการจ่ายเงินชดเชยเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย จะหมดลงในเดือนธ.ค.2554 นี้ กระทรวงพาณิชย์เห็นว่า ถ้าลดการจ่ายเงินเข้ากองทุนฯ หรือเลื่อนการจ่ายเงินเข้ากองทุน จะทำให้ราคาขายปลีกน้ำตาลทรายลดลงได้ โดยเบื้องต้นเห็นว่าน่าจะลดลงได้ถึงกก.ละ 5 บาท แต่ท้ายที่สุดได้เสนอให้ลดลงเพียงแค่กก.ละ 1 บาท เพื่อไม่ให้หน่วยงานที่ดูแลน้ำตาลทรายอย่างกระทรวงอุตสาหกรรมลำบากใจ แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนองจากนายกรัฐมนตรี
ก่อนหน้านี้ น้ำตาลทรายมีปัญหาราคาแพงและขาดแคลนมาเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 1 ปีแล้ว โดยในห้างสรรพสินค้าและห้างค้าปลีก ไม่สามารถหาซื้อได้ตามปกติ เนื่องจากผู้ผลิตไม่ยอมผลิตบรรจุถุงออกมาขาย เพราะต้นทุนแพกเกจจิ้งแพง และล่าสุดได้เสนอแนวทางแก้ปัญหาโดยขอปรับขึ้นราคาน้ำตาลทรายบรรจุถุงเป็นกก.ละ 25 บาทจากกก.ละ 23.50 หรือเพิ่มขึ้น 1.50 บาท เพื่อชดเชยค่าแพกเกจจิ้ง แต่ก็ได้รับการคัดค้านจากกระทรวงพาณิชย์ และเสนอทางออกสวนทางให้ลดการส่งเงินเข้ากองทุนฯ แทน เพื่อลดราคาขายปลีกน้ำตาลทราย