เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ เผย เดือนหน้าขอกระทรวงพาณิชย์ ปรับขึ้นราคาสินค้า 4-5% หลังแบกรับต้นทุนไม่ไหว พร้อมซื้อแบรนด์ใหม่-บริษัทเทรดดิ้งต่างประเทศ หวังขยายธุรกิจไปแถบอินโดจีน ผู้บริหาร เผย สนใจทำห้างค้าปลีกเองหลังพลาดคาร์ฟูร์ ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โตอย่างต่ำ 15% จากปีก่อน
นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมที่จะขอปรับราคาสินค้าทุกประเภทของบริษัทต่อกระทรวงพาณิชย์ในเดือนเมษายน คือ สินค้าอุตสาหกรรม สินค้าอุปโภคบริโภค และสินค้าเวชภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์ เนื่องจากต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยคาดว่า จะขอปรับขึ้นประมาณ 4-5% แต่ยังไม่ครอบคลุมกับต้นทุนที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก ซึ่งบริษัทก็จะพยายามที่จะหาสินค้าใหม่ๆ ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูง (มาร์จิน) มาจำหน่ายมากขึ้น เพื่อที่จะชดเชยกับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทยังมีความสนใจที่จะทำห้างสรรพสินค้าเอง หลังจากที่พลาดจากการประมูลซื้อคาร์ฟูร์ ซึ่งบริษัทอาจจะเริ่มทำในต่างประเทศก่อนแล้วให้มีความแข็งแกร่งก่อนแล้วมาทำในประเทศไทย เพราะการที่จะทำในประเทศไทยขณะนี้อาจจะช้าไปแล้ว ซึ่งขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างให้ทีมงานของบริษัทมีการศึกษาว่าจะทำในรูปแบบใด
สำหรับในปีนี้บริษัทมีแผนที่จะขยายธุรกิจในสินค้าอุปโภคบริโภค เนื่องจากธุรกิจของบริษัทมีมาร์จิ้นที่ต่ำกว่า 10% โดยการซื้อสินค้า (แบรนด์) ใหม่ รวมถึงจำหน่ายสินค้าใหม่ๆ ที่มีมาร์จินที่สูงมาจำหน่ายมากขึ้น และซื้อบริษัทตัวแทนจำหน่ายสินค้าที่ พม่า กัมพูชา เวียดนาม ทางตอนเหนือ และ ลาว เพื่อสร้างฐานลูกค้าและหากบริษัทมีฐานลูกค้าที่ดีแล้วบริษัทก็มีแผนที่จะเข้าไปสร้างโรงงานในประเทศนั้นๆ โดยการเข้าไปซื้อกิจการนั้นบริษัทคาดหวังผลตอบแทนผลตอบแทนการลงทุน (IRR) อย่างน้อย 15% ซึ่งบริษัทคาดว่าสัดส่วนรายได้ต่างประเทศปีนี้มากกว่า 10% จากปีก่อนที่มีรายได้ต่างประเทศ 8.4%
“เป้าหมายการทำธุรกิจของบริษัทในระยะ 5 ปีนี้ บริษัทต้องการเป็นผู้จำหน่ายสินค้าของบริษัท และสินค้าแบรนด์อื่นๆในแถบภูมิภาคอินโดจีน ซึ่งใครอยากที่จะมีการขายสินค้าในอินโดจีนต้องผ่านเรา และบริษัทมีแผนขยายการทำธุรกิจไปแถบอาเซียนภายใน 10 ปี ข้างหน้า” นายอัศวิน กล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทตั้งงบลงทุนปีนี้ 2,400 ล้านบาท ในการช่อมบำรุงเตาโรงงานแก้ว ฯลฯ แต่ไม่รวมกับการเข้าไปซื้อกิจการ โดยเงินที่จะนำมาเลงทุนนั้นมาจากกระแสเงินสดของบริษัท จากที่แต่ละปีบริษัทมีกำไรก่อนหักภาษี (อีบิดา) ประมาณ 4,500 ล้านบาท และเงินกู้ ซึ่งหากมูลค่าการเข้าซื้อกิจการขนาด 7,000-8,000 ล้านบาท นั้นบริษัทไม่ต้องมีการเพิ่มทุน
นายอัศวิน กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปีนี้เติบโตอย่างต่ำ 15% จากปี 53 ที่มีรายได้ 26,000 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทจะมีการเพิ่มสินค้าใหม่ และปรับเพิ่มราคาสินค้าเพิ่มขึ้น เพิ่มปริมาณการขายสินค้าให้มากขึ้น และคาดว่าอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิคงไม่เท่ากับปี 53 ที่เติบโต 51% เนื่องจากต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้นตามการโตของรายได้ โดยบริษัทจะพยายามรักษาอัตรากำไรขั้นต้น 27.4% และปีนี้บริษัทมีแผนที่จะออกหุ้นกู้จำนวน 2,000-3,000 ล้านบาท อายุ 5 ปี ประมาณเดือนพฤษภาคม เพื่อจะนำเงินที่ได้จากออกหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดมูลค่า 3,300 ล้านบาท ในปลายเดือนมีนาคม แต่ในเบื้องต้นบริษัทจะมีการกู้เงินระยะสั้นเพื่อนำมาชำระก่อน
นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมที่จะขอปรับราคาสินค้าทุกประเภทของบริษัทต่อกระทรวงพาณิชย์ในเดือนเมษายน คือ สินค้าอุตสาหกรรม สินค้าอุปโภคบริโภค และสินค้าเวชภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์ เนื่องจากต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยคาดว่า จะขอปรับขึ้นประมาณ 4-5% แต่ยังไม่ครอบคลุมกับต้นทุนที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก ซึ่งบริษัทก็จะพยายามที่จะหาสินค้าใหม่ๆ ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูง (มาร์จิน) มาจำหน่ายมากขึ้น เพื่อที่จะชดเชยกับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทยังมีความสนใจที่จะทำห้างสรรพสินค้าเอง หลังจากที่พลาดจากการประมูลซื้อคาร์ฟูร์ ซึ่งบริษัทอาจจะเริ่มทำในต่างประเทศก่อนแล้วให้มีความแข็งแกร่งก่อนแล้วมาทำในประเทศไทย เพราะการที่จะทำในประเทศไทยขณะนี้อาจจะช้าไปแล้ว ซึ่งขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างให้ทีมงานของบริษัทมีการศึกษาว่าจะทำในรูปแบบใด
สำหรับในปีนี้บริษัทมีแผนที่จะขยายธุรกิจในสินค้าอุปโภคบริโภค เนื่องจากธุรกิจของบริษัทมีมาร์จิ้นที่ต่ำกว่า 10% โดยการซื้อสินค้า (แบรนด์) ใหม่ รวมถึงจำหน่ายสินค้าใหม่ๆ ที่มีมาร์จินที่สูงมาจำหน่ายมากขึ้น และซื้อบริษัทตัวแทนจำหน่ายสินค้าที่ พม่า กัมพูชา เวียดนาม ทางตอนเหนือ และ ลาว เพื่อสร้างฐานลูกค้าและหากบริษัทมีฐานลูกค้าที่ดีแล้วบริษัทก็มีแผนที่จะเข้าไปสร้างโรงงานในประเทศนั้นๆ โดยการเข้าไปซื้อกิจการนั้นบริษัทคาดหวังผลตอบแทนผลตอบแทนการลงทุน (IRR) อย่างน้อย 15% ซึ่งบริษัทคาดว่าสัดส่วนรายได้ต่างประเทศปีนี้มากกว่า 10% จากปีก่อนที่มีรายได้ต่างประเทศ 8.4%
“เป้าหมายการทำธุรกิจของบริษัทในระยะ 5 ปีนี้ บริษัทต้องการเป็นผู้จำหน่ายสินค้าของบริษัท และสินค้าแบรนด์อื่นๆในแถบภูมิภาคอินโดจีน ซึ่งใครอยากที่จะมีการขายสินค้าในอินโดจีนต้องผ่านเรา และบริษัทมีแผนขยายการทำธุรกิจไปแถบอาเซียนภายใน 10 ปี ข้างหน้า” นายอัศวิน กล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทตั้งงบลงทุนปีนี้ 2,400 ล้านบาท ในการช่อมบำรุงเตาโรงงานแก้ว ฯลฯ แต่ไม่รวมกับการเข้าไปซื้อกิจการ โดยเงินที่จะนำมาเลงทุนนั้นมาจากกระแสเงินสดของบริษัท จากที่แต่ละปีบริษัทมีกำไรก่อนหักภาษี (อีบิดา) ประมาณ 4,500 ล้านบาท และเงินกู้ ซึ่งหากมูลค่าการเข้าซื้อกิจการขนาด 7,000-8,000 ล้านบาท นั้นบริษัทไม่ต้องมีการเพิ่มทุน
นายอัศวิน กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปีนี้เติบโตอย่างต่ำ 15% จากปี 53 ที่มีรายได้ 26,000 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทจะมีการเพิ่มสินค้าใหม่ และปรับเพิ่มราคาสินค้าเพิ่มขึ้น เพิ่มปริมาณการขายสินค้าให้มากขึ้น และคาดว่าอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิคงไม่เท่ากับปี 53 ที่เติบโต 51% เนื่องจากต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้นตามการโตของรายได้ โดยบริษัทจะพยายามรักษาอัตรากำไรขั้นต้น 27.4% และปีนี้บริษัทมีแผนที่จะออกหุ้นกู้จำนวน 2,000-3,000 ล้านบาท อายุ 5 ปี ประมาณเดือนพฤษภาคม เพื่อจะนำเงินที่ได้จากออกหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดมูลค่า 3,300 ล้านบาท ในปลายเดือนมีนาคม แต่ในเบื้องต้นบริษัทจะมีการกู้เงินระยะสั้นเพื่อนำมาชำระก่อน