นายประพล พรประภา รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฐิติกร จำกัด (มหาชน)หรือ TK เปิดเผยว่า บริษัทมีความสนใจที่จะเข้าไปซื้อกิจการบริษัทเช่าซื้อทุกประเภท แต่บริษัทจะมีการพิจารณาบริษัทที่ให้ผลตอบแทนที่ดี เพื่อเป็นการขยายธุรกิจของบริษัทมีการเติบโตมากขึ้น ซึ่งยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะมีความชัดเจนเมื่อไรเพราะขึ้นอยู่กับจังหวะ โอกาสและผลตอบแทนที่จะได้รับดีหรือไม่ โดยบริษัทมีเงินทุนเพียงพอในการที่จะเข้าไปซื้อกิจการจากที่มีวงเงินกู้อยู่จำนวน 1 พันล้านบาท
ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะออกหุ้นกู้ หรือ จะกู้ธนาคารพาณิชย์ มูลค่า 1 พันล้านบาท เพื่อที่จะขยายวงเงินในการปล่อยสินเชื่อ และชำระคืนหนี้ที่จะครบอายุ หลังจากปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมามาบริษัทได้มีการออกหุ้นกู้ไปแล้วจำนวน 250 ล้านบาท อายุ 5 ปี โดยบริษัทมีแผนที่จะขยายการทำธุรกิจไปประเทศเพื่อนบ้าน ที่มียอดขายรถจักรยานยนต์ที่สูง เช่น อินโดนีเซีย เวียดนาม แต่จะเข้าไปเมื่อไรนั้นขึ้นอยู่กว่ากฎหมายของประเทศดังกล่าวเอื้อหรือไม่ จากที่ผ่านมาบริษัทได้เข้าไปศึกษาเรื่องกฎหมายของประเทศยังไม่เอื้อในการเข้าไปทำธุรกิจ
สำหรับการที่ราคาน้ำมัน และอัตราดอกเบี้ย เงินเฟ้อ มีทิศทางในการปรับตัวเพิ่มขึ้น เชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบต่อการทำธุรกิจของบริษัท เนื่องจาก ราคาสินค้าเกษตรน่าจะมีการปรับตัวเพิ่มสูงกว่าทำให้เกษตรกรมีรายได้มากขึ้น จึงทำให้ยอดการซื้อรถจักรยานยนต์มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ โดยปีนี้บริษัทคาดว่าพอร์ตเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ และรถยนต์เพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อนที่มี 7,000 ล้านบาท แบ่งเป็น รถยนต์ 20% และ รถจักรยานยนต์ 80%
นายประพล กล่าวว่า รายได้รวมปีนี้บริษัทคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 5% จากปี 2553 ที่มีรายได้รวม 2,879.3 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 532.3 ล้านบาท โดยมาจากรายได้จากการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ 87-88% ส่วนอีก 2-3% มาจากรายได้การปล่อยสินเชื่อรถยนต์ ซึ่งบริษัทคาดว่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ กับ ดอกเบี้ยที่บริษัทมีการปล่อยสินเชื่อปีนี้จะทรงตัวที่ระดับ 30% เหมือนกับปีที่ผ่านมา โดยปีนี้บริษัทมีขยายสาขาเพิ่มอีก 3-4 สาขา ในภาคอีสานและภาคใต้
ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะออกหุ้นกู้ หรือ จะกู้ธนาคารพาณิชย์ มูลค่า 1 พันล้านบาท เพื่อที่จะขยายวงเงินในการปล่อยสินเชื่อ และชำระคืนหนี้ที่จะครบอายุ หลังจากปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมามาบริษัทได้มีการออกหุ้นกู้ไปแล้วจำนวน 250 ล้านบาท อายุ 5 ปี โดยบริษัทมีแผนที่จะขยายการทำธุรกิจไปประเทศเพื่อนบ้าน ที่มียอดขายรถจักรยานยนต์ที่สูง เช่น อินโดนีเซีย เวียดนาม แต่จะเข้าไปเมื่อไรนั้นขึ้นอยู่กว่ากฎหมายของประเทศดังกล่าวเอื้อหรือไม่ จากที่ผ่านมาบริษัทได้เข้าไปศึกษาเรื่องกฎหมายของประเทศยังไม่เอื้อในการเข้าไปทำธุรกิจ
สำหรับการที่ราคาน้ำมัน และอัตราดอกเบี้ย เงินเฟ้อ มีทิศทางในการปรับตัวเพิ่มขึ้น เชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบต่อการทำธุรกิจของบริษัท เนื่องจาก ราคาสินค้าเกษตรน่าจะมีการปรับตัวเพิ่มสูงกว่าทำให้เกษตรกรมีรายได้มากขึ้น จึงทำให้ยอดการซื้อรถจักรยานยนต์มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ โดยปีนี้บริษัทคาดว่าพอร์ตเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ และรถยนต์เพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อนที่มี 7,000 ล้านบาท แบ่งเป็น รถยนต์ 20% และ รถจักรยานยนต์ 80%
นายประพล กล่าวว่า รายได้รวมปีนี้บริษัทคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 5% จากปี 2553 ที่มีรายได้รวม 2,879.3 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 532.3 ล้านบาท โดยมาจากรายได้จากการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ 87-88% ส่วนอีก 2-3% มาจากรายได้การปล่อยสินเชื่อรถยนต์ ซึ่งบริษัทคาดว่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ กับ ดอกเบี้ยที่บริษัทมีการปล่อยสินเชื่อปีนี้จะทรงตัวที่ระดับ 30% เหมือนกับปีที่ผ่านมา โดยปีนี้บริษัทมีขยายสาขาเพิ่มอีก 3-4 สาขา ในภาคอีสานและภาคใต้