อุตฯ แจงผลหารือ “พาณิชย” คงราคาน้ำตาลถุงที่ราคาเดิม กก.ละ 23.50 บาท เพราะอาจทำให้ ปชช.เดือดร้อน พร้อมดูแลสต๊อกให้เพียงพอความต้องการ ยันไม่ลดเก็บ 5 บาท เข้ากองทุน อ้างเอาไว้แก้ปัญหาในอนาคต แนะให้ไปเจรจาโมเดิร์นเทรด ลดค่าธรรมเนียมแลกเข้า หัวคิวในการวางสินค้า “เจ๊วา” เตรียมถก รง.น้ำตาล-โมรเดิร์นเทรด พรุ่งนี้ แก้ปัญหาน้ำตาลถุง ขนาด 1 กก.ขาดแคลนในห้าง เผย ผู้ประกอบการเคยขอปรับขึ้นค่าบรรจุภัณฑ์ จาก 0.75 บาท เป็น 1.40 บาท
นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรม หารือร่วมกระทรวงพาณิชย์ เพื่อพิจารณาปรับราคาน้ำตาลทราย โดยไม่บรรจุเป็นวาระที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2554 (วานนี้) โดยระบุว่า ตนเองเตรียมหารือผู้เกี่ยวข้อง เช่น โรงงานน้ำตาล ในวันที่ 24 มีนาคม 2554 นี้ เพื่อแก้ปัญหาน้ำตาลทรายถุงขนาดบรรจุ 1 กิโลกรัม ที่มีจำหน่าย ไม่เพียงพอในห้างค้าปลีกค้าส่ง
ก่อนหน้านี้ 3 สมาคมโรงงานน้ำตาลทรายขอให้กระทรวงพาณิชย์ปรับขึ้นค่าบรรจุภัณฑ์น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ ที่มีเครื่องหมายทางการค้าของผู้ผลิต จากเดิม 75 สตางค์ เป็น 1 บาท 40 สตางค์
ด้าน นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า หลังการหารือกับกระทรวงพาณิชย์ ได้ข้อสรุปว่า กระทรวงจะยังคงราคาน้ำตาลทรายเช่นเดิม ที่ไม่เกินกิโลกรัมละ 23.50 บาท แม้หนี้ที่ชำระกับกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อปี 2551 จะหมดลงปลายปีนี้ แต่ยังต้องเก็บเงินกิโลกรัมละ 5 บาทต่อไป เพื่อให้กองทุนมีเงินสำรองไว้ดูแลราคาน้ำตาลในอนาคต
“ยืนยันว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ไม่มีนโยบายการปรับลดหรือขึ้นราคาน้ำตาลในตอนนี้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะเรื่องการผลิตน้ำตาลบรรจุถุง 1 กิโลกรัม ที่ผู้ผลิตเสนอขอเพิ่มค่าบรรจุถุง 1.4-1.5 บาทต่อถุงจากเดิมที่ได้รับอยู่ที่ 0.75 บาท ซึ่งจะส่งผลให้ราคาน้ำตาลบรรจุถุงขึ้นราคา ขณะนี้ทางกระทรวงเห็นว่ายังไม่ควรขยับกลไกราคาในด้านใดทั้งสิ้น เพราะเกรงว่าประชาชนจะได้รับผลกระทบ และจะดูแลจัดหาน้ำตาลให้เพียงพอกับความต้องการในตลาด”
ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าวได้หารือร่วมกับ รมว.พาณิชย์ เรียบร้อยแล้ว โดยตกลงให้กระทรวงพาณิชย์เป็นตัวกลางไปประสานงานร่วมกับโรงงานน้ำตาล และโมเดิร์นเทรด ดูว่า จะมีทางช่วยเหลือผู้ประกอบการในด้านใดได้บ้าง เช่น การขอลดค่าธรรมเนียมแรกเข้า หรือค่าใช้จ่ายในการนำสินค้าไปวางขายในหางสรรพสินค้า เป็นต้น
ส่วนเรื่องการจะใช้เงินกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย เข้ามาบริหารจัดการเรื่องนี้ ตามที่โรงงานน้ำตาลได้เสนอขอให้ใช้เงินกองทุนฯเข้ามาชดเชยแทน หากไม่ได้เพิ่มค่าบรรจุถุงนั้น เห็นว่า การนำเงินกองทุนมาใช้ ก็ต้องดูตามวัตถุประสงค์ที่กฎหมายระบุไว้ด้วย ขณะเดียวกันคงต้องหารือร่วมกันในคณะกรรมการบริหารกองทุน และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องว่าเห็นด้วยหรือไม่ที่จะนำเงินกองทุน มาใช้