การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เมื่อวานนี้ (18 มี.ค.) ซึ่งเป็นวันสุดท้าย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย อภิปรายประเด็นการแทรกแซงระบวนการยุติธรรมของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และคนใกล้ชิด ทำให้ประเทศสูญเงินกว่า 6.8 หมื่นล้านบาท ว่า เมื่อวันที่17 มี.ค. ที่ผ่านมา มีบริษัท ฟิลิป มอริส ลิมิเต็ด ไทยแลนด์ มาขู่ตน จึงฝากไปบอกบริษัทด้วยว่า ขู่ผิดคนแล้ว ถ้าตนอภิปรายผิดก็เตรียมฟ้องได้เลย ตนจะอภิปรายช้าๆ เพราะมีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองต้องการฟังว่ารัฐบาลสุมหัวปล้นประเทศอย่างไร
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่าโจรใส่สูทอ้างเป็นผู้แทนการค้าไทย สมคบกับบริษัทฟิลิป มอริส ซึ่งเป็นบริษัทแม่ที่อยู่ที่สหรัฐฯ เป็นบริษัทจำหน่ายบุหรี่ที่ใหญ่ที่สุด จำหน่ายบุหรี่มาร์ลโบโร่ และแอลแอนด์เอ็ม ที่สำแดงราคานำเข้าเพื่อเสียภาษีเป็นเท็จ จนทำให้รัฐเสียหายถึง 6.8 หมี่นล้านบาท เป็นพฤติกรรมที่เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 3, 81(1), 255, 266 (1), 268 และ ป.วิอาญา มาตารา 157 โดยนายเกียรติ สิทธีอมร ผู้แทนการค้าไทย ที่ชอบขี่มอเตอร์ไซค์ฮาร์เลย์ และนวดสปา หรือเรียกว่า "ไอ้เกียรติฮาร์เลย์ " ที่เป็นตัวละครสำคัญ ทำให้ทรัพย์สินของชาติเสียหาย โดยหลายคนเรียกนายเกียรติว่าเป็น ล็อบบี้ยิสต์
บริษัทฟิลิป มอริส ลิมิเต็ด ไทยแลนด์ จดทะเบียนเมื่อวันที่ 24 ก.ค.2534 และได้มาตั้งบริษัที่เมืองไทย โดยมีแม่ยายของ สส.พรรคประชาธิปัตย์ คนหนึ่งให้เช่าสถานที่ และบริษัทได้แจ้งต่อกระทรวงพาณิชย์ว่า เข้ามาประกอบธุรกิจ แต่ความจริงไม่มีการผลิตสินค้าอะไร เพียงแค่นำเข้าบุหรี่ มีเจตนาวางแผนทุจริตทางภาษีตั้งแต่ต้น โดยบริษัทนี้นำเข้าบุหรี่จากบริษัทฟิลิปฯ ในมาเลเซีย อินโดนีเซีย แต่ทั้งหมดถูกตั้งข้อหาว่าสำแดงราคาต่ำกว่าบริษัทอื่นๆ พอมีปัญหาก็ทำให้บริษัทฟิลิป มอริส ไทยแลนด์ ต้องนำเข้าบุหรี่ มาร์ลโบโร่ และ แอลแอนด์เอ็ม ต้องนำเข้าบุหรี่จากบริษัทฟิลิปฯ ที่ ฟิลิปินส์
การซื้อบุหรี่ของบริษัทฟิลิปมอริส จากประเทศต่างๆ ทั้งมาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปินส์ เป็นการนำนิติกรรมอำพราง เป็นการแหกตา ไม่มีการซื้อขายกันจริง เพราะทั้งหมดเป็นการซื้อบริษัทในเครือข่ายที่ขึ้นกับบริษัทแม่เดียวกัน ซึ่งตั้งอยู่ที่สหรัฐฯ และที่ต้องเปลี่ยนสถานที่ซื้อบุหรี่ไปเรื่อยๆ เพราะมีเจตนาเลื่ยงภาษี ถึงไม่มีการซื้อขายการตรง โดยเฉพาะการนำเข้าจากฟิลิปินส์ ตั้งแต่วันที่ 28 ก.ค 46 – ก.ย. 50 มีการสำแดงราคานำเข้าบุหรี่มาร์ลโบโรซองละ 7.76 บาท และ แอล์แอนด์เอ็ม 5.58 บาท จำนวนทั้งหมด 292 ใบขนสินค้า และเมื่อเทียบการสำแดงราคานำเข้ากับ คิงพาวเวอร์ และ อลิส อินเตอร์ พบว่า มีราคาต่างกันมาก โดยคิงพาวเวอร์ สำแดงราคานำเข้าบุหรี่มาร์ลโบโร 27.64 บาท ต่างกันถึง 19 บาท และบุหรี่แอลแอนด์เอ็ม 16.81 บาท ต่างกัน 10.93 บาท
เมื่อเทียบกับการนำเข้าของอลิส อินเตอร์ สำแดงราคานำเข้าบุหรี่มาร์ลโบโร่ 22.23 บาท ต่างกัน 13 บาท อีกทั้ง เมื่อเทียบกับบุหรี่มาร์ลโบโร ซองแข็ง ที่ขายในฟิลิปินส์โดยไม่รวมภาษีตกอยู่ที่ 13.09 บาท และซองอ่อน ราคา 9.47 บาท ชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลส่งเสริมบริษัทข้ามชาติ คดโกงมวลชน ถ้าเวรกรรมมีจริงของให้มาร์ค รับไป อีกทั้ง การนำเข้าทั้งหมดต้องเสียภาษี ไม่ควรสนับสนุน เพราะเป็นบริษัทมัจจุราช และพอบริษัทฟิลิป มอริสฯ มีปัญหา ก็ใช้ทนายความของพรรคประชาธิปัตย์ช่วยวิ่งเต้นให้
"มาร์คเป็นนายกฯ ที่กล้ามาก ย่ามใจ เพ้ออำนาจ เมาอำนาจ ควบคุมฝ่ายบริหารได้ แต่แทรกแซงกระบวนการยุติธรรมไม่ได้ โดยเฉพาะอัยการสูงสุด ที่เข้าไปยุ่งไม่ได้ เพราะถือว่าศาลเป็นอิสระ แต่ว่าพวกคุณเคยตัว เพราะศาลรัฐธรรมนูญช่วยพวกคุณมาโดยตลอด และการที่อ้างว่าคดีนี้ เกิดขึ่นในสมัยพ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อ 31 ก.ค. 49 ซึ่งบริษัทนี้ถือเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่ซัพพอร์ตสหรัฐฯ และผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมทูตสหรัฐฯ ถึงชอบไปพบพรรคประชาธิปัตย์" ร.ต.อ.เฉลิมกล่าว
ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า สมัยพ.ต.ท.ทักษิณ ได้อนุมัติให้กรมสอบสวนคดีพิเศษเข้าไปสอบ และส่งให้อัยการสั่งฟ้อง แต่วันที่ 16 ก.ย. 52 นายเกียรติ ได้เรียกประชุมร่วม โดยอ้างบัญชา นายอภิสิทธิ์ ในการเรียกอัยการสูงสุด กรมสอบสวนคดีพิเศษ และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือหลายครั้ง โดยการทำหนังสือด่วนที่สุด จากสำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยอ้างว่าเรียกประชุมเพื่อรองรับการตัดสินของ WTO ไม่ได้เนื่องจาก บริษัทดังกล่าวไม่ทำการค้าในประเทศไทย WTO จะตัดสินคดีดังกล่าวในวันที่ 3 ส.ค. 53 มาร์คเป็นใคร ที่เรียกอัยการมาร่วมประชุม ซึ่งถือว่าเข้าข่ายแทรกแซงองค์กรอิสระการเรียกประชุมเช่นนี้ ถือว่าเหิมเกริมมากไม่มีวินัยทางการเมือง" ร.ต.อ.เฉลิมกล่าว
ในที่สุดอธิบดีกรมศุลกากร ซึ่งเคยเป็นรองอธิบดีกรมสรรพากร และเป็นคนที่เคยออกใบเสร็จให้กับนายประจวบ สังข์ขาว ในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ เป็นลูกน้องของนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง ได้ทำหนังสือไปถึง ดีเอสไอในระหว่างที่คดีนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของอัยการว่า จะส่งฟ้องหรือไม่ ซึ่งปกติเวลาพิจารณาว่าจะสอบสวนคดีเพิ่มเติม อัยการจะต้องเป็นผู้สั่งให้สอบเพิ่ม แต่นี่อธิบดีกรมศุลกากร กลับไปเอาใจนาย ไปให้การต่อ ดีเอสไอ จนในที่สุดอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง
" วันนี้ท่านกับผม ต้องรบกันอีกหลายยก ถ้าผมชนะก็จะเอาพ.ต.ท.ทักษิณ กลับบ้าน คดีความเลิกกัน ซึ่งเรื่องนี้มั่นใจว่าจะนำไปสู่การยุบพรรคการเมืองบางพรรค เพราะมีคนบางคนรับเงินจากบริษัทต่างด้าว ซึ่งเสียดายผมมาทำเรื่องนี้ช้าไปหน่อย จากนั้นการเลือกตั้งครั้งหน้า หากเลือกประชาธิปัตย์ จะทำให้รัฐเสียภาษีนับแสนล้าน แต่ถ้าเลือกพรรคเพื่อไทย จะมีคนติดคุก เห็นได้จากกรณีศาลรัฐมิเนโซต้า สหรัฐอเมริกา ได้ตัดสินให้บริษัทบุหรี่ยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งมีพฤติกรรมคล้ายกรณีนี้มีความผิดในคดีการหลบเลี่ยงภาษี" ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
ด้านนายอภิสิทธิ์ ชี้แจงโดยอธิบายถึงที่มาของปัญหาในเรื่องการคำนวนภาษีของบริษัทฟิลลิป มอริส ว่าเกิดจากการปรารภของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในที่ประชุมครม.ว่ามีปัญหาเรื่องการคำนวนราคาหรือไม่ โดยส่งเรื่องให้กรมศุลากร และกรมสรรพามิตไปตรวจสอบ ซึ่งทั้งสองหน่วยงานยืนยันถึงความถูกต้องเรื่องคำนวน จากนั้นได้มีการร้องไปยัง ดีเอสไอ ให้รวจสอบ จนมีคำสั่งเมื่อตนาเป็นนายกฯ เท่ากับไม่มีการแทรกแซง แต่เมื่อดีเอสไอ ส่งฟ้องแล้วกลับทำหนังสือสอบถามไปยังทั้งสองหน่วยงานอีกครั้งว่า เหตุใดจึงยืนยันว่า ไม่มีความผิดปกติในการสำแดงภาษี ทั้งสองหน่วยงานจึงชี้แจงกลับไปว่าไม่มีปัญหาเรื่องความถูกต้อง และเหตุผลที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง เพราะคนที่กำหนดราคาได้คือ กรมศุลากร กับกรมสรรพาสามิต เท่านั้น คนอื่นไม่มีสิทธิ์กำหนดราคา
นายอภิสิทธิ์ ยอมรับว่าที่ผ่านมา เคยมีการคุยอัยการจริง แต่ไม่ใช่เรื่องคดี เพราะปกติอัยการมักมาประชุมร่วมกับรัฐบาลในบางเรื่อง เช่น เรื่องความมั่นคง หรือมีการสอบถามเกี่ยวกับสัญญาในบางประเด็น และทุกครั้งตนได้ยืนเสมอว่า ต้องเป็นไปตามกฏหมาย ในประเด็นนี้อัยการสูงสุดก็ยืนว่าไม่มีใครเข้าไปแทรกแซงการใช้ดุลยพินิจของอัยการ รวมทั้งกรณีที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง และเรื่องกลับมาดีเอสไอ ตนได้คุยกับอธิบดีว่าให้ทำไปตามเนื้อผ้า หากมีประเด็นใดโต้แย้งก็ดำเนินการไป นี่คือหลักในการทำงานไม่ได้ปล่อยปละละเลย หรือเอื้อประโยชน์ตามที่กล่าวหา
"ผมว่าท่านไปเชื่อจิ้กจกมากกว่า เรื่องการแทรกแซงอัยการนั้น ความจริงมันไม่มี ถ้าจะให้ดีท่านควรจะบอกด้วยว่า จิ้กจก ที่บอกท่านเป็นตัวไหนในทำเนียบรัฐบาล"
ส่วนการที่ตนที่แต่งตั้งนายเกียรติ เป็นผู้แทนทางการค้า เพราะเป็นผู้ มีประสบการ์ความรู้เกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศที่ดีคนหนึ่ง เท่าที่ติดตามดูมาก็ไม่มีปัญหา และเป็นตำแหน่งที่ต้องแสดงบัญชีทรัพย์สินด้วย เพื่อให้ดูแลด้านปัญหาการค้า การลงทุน ซึ่งสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ก็มีการแต่งตั้งตำแหน่งนี้
นอกจากนี้การที่นายเกียรติ เชิญหน่วยงานต่างๆมาหารือก็เป็นการบูรณาการข้อมูล หลังจากที่ตนได้รับการร้องเรียนตอนเดินทางไปอเมริกา และหนังสือเชิญก็เขียนชัดเจนว่า ให้ทบทวนความถูกต้องของรายงานความถูกต้องของข้อกฏหมายต่างๆในรายงานของWTO ไม่เกี่ยวกับการตัดสินของ ดีเอสไอ และรัฐบาลได้ทำเรื่องอุทธรณ์ไปที่ WTO เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และขอยืนยันว่า ตนไม่มีประโยชน์ส่วนตัว และดำเนินการทุกอย่างโดยยึดถือการรักษาประโยชน์ของชาติเป็นหลัก
ส่วนที่มีการกล่าวหานายเกียรติ แทรกแซงการบวนการยุติธรม ก็ไม่ถูกต้อง เพราะรัฐบาลแต่งตั้งเป็นผู้แทนการค้าไทย มีหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของประเทศ แม้ว่านายเกียรติ จะเป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ แต่ที่ผ่านมาก็ได้ทำหน้าที่อย่างดีมาตลอด และการประชุมทุกครั้งก็เป็นไปอย่างเปิดเผย ไม่เป็นลักษณะล็อบบี้ยีสต์ และที่นายเกียรติ เชิญให้หน่วยงานต่างๆ มาประชุมเรื่องนี้เพื่อต้องการให้การดำเนินงานของทุกหน่วยงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อเป็นประโยชน์ในการต่อสู้คดีใน WTO เพราะยังมีความเห็นแตกต่างกันอยู่กับหน่วยงานของกระทรวงยุติธรรม
สำหรับประเด็นที่มีการกล่าวหาว่า เอื้อประโยชน์ให้กับร้านค้าปลอดอากร สามารถขายบุหรี่ได้ในราคาถูกเพราะได้รับประโยชน์จากการสำแดงภาษีในราคาที่ต่ำนั้น ยืนยันว่า นายกฯไม่ได้มีอำนาจในการวินิจฉัยว่าการเทียบเคียงราคา และการสำแดงภาษีถูกต้องรือไม่ แต่ถ้ามองในเชิงโครงสร้าง ก็จะเห็นว่าที่ต้นทุนกับราคาขายมีความแตกต่างกันมากนั้น มีความเป็นเหตุเป็นผล เช่นกรณีบุหรี่ต่างประเทศต้นทุนการนำเข้าจะอยู่ที่ 7.76 บาท เมื่อบวกกับภาษีศุลกากร ภาษีสรรพาสมิต ภาษีสุขภาพ ภาษีบำรุงท้องที่อีก 33 บาทโดยประมาณ รวมถึงค่าการตลาดอีกส่วนหนึ่ง และภาษีมูลค่าเพิ่มก็จะทำให้ราคาขายอยู่ที่ 70บาทขึ้นไป ซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องแปลกแต่ประการใด เช่นเดียวกับบุหรีภายในประเทศที่มีต้นทุนเพียง 3 บาท แต่ส่งให้ร้านปลอดภาษี 13 บาท
"ท่านคิดหรือว่า ผมไม่อยากได้ภาษีเป็นแสนล้านเข้าพัฒนาประเทศ แต่การเก็บภาษีก็ต้องเป็นไปตามหลักของกฏหมาย และเป็นเหตุเป็นผล ไม่ใช่คิดอยากจะทำอย่างเดียว" นายกรัฐมนตรีกล่าว
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่าโจรใส่สูทอ้างเป็นผู้แทนการค้าไทย สมคบกับบริษัทฟิลิป มอริส ซึ่งเป็นบริษัทแม่ที่อยู่ที่สหรัฐฯ เป็นบริษัทจำหน่ายบุหรี่ที่ใหญ่ที่สุด จำหน่ายบุหรี่มาร์ลโบโร่ และแอลแอนด์เอ็ม ที่สำแดงราคานำเข้าเพื่อเสียภาษีเป็นเท็จ จนทำให้รัฐเสียหายถึง 6.8 หมี่นล้านบาท เป็นพฤติกรรมที่เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 3, 81(1), 255, 266 (1), 268 และ ป.วิอาญา มาตารา 157 โดยนายเกียรติ สิทธีอมร ผู้แทนการค้าไทย ที่ชอบขี่มอเตอร์ไซค์ฮาร์เลย์ และนวดสปา หรือเรียกว่า "ไอ้เกียรติฮาร์เลย์ " ที่เป็นตัวละครสำคัญ ทำให้ทรัพย์สินของชาติเสียหาย โดยหลายคนเรียกนายเกียรติว่าเป็น ล็อบบี้ยิสต์
บริษัทฟิลิป มอริส ลิมิเต็ด ไทยแลนด์ จดทะเบียนเมื่อวันที่ 24 ก.ค.2534 และได้มาตั้งบริษัที่เมืองไทย โดยมีแม่ยายของ สส.พรรคประชาธิปัตย์ คนหนึ่งให้เช่าสถานที่ และบริษัทได้แจ้งต่อกระทรวงพาณิชย์ว่า เข้ามาประกอบธุรกิจ แต่ความจริงไม่มีการผลิตสินค้าอะไร เพียงแค่นำเข้าบุหรี่ มีเจตนาวางแผนทุจริตทางภาษีตั้งแต่ต้น โดยบริษัทนี้นำเข้าบุหรี่จากบริษัทฟิลิปฯ ในมาเลเซีย อินโดนีเซีย แต่ทั้งหมดถูกตั้งข้อหาว่าสำแดงราคาต่ำกว่าบริษัทอื่นๆ พอมีปัญหาก็ทำให้บริษัทฟิลิป มอริส ไทยแลนด์ ต้องนำเข้าบุหรี่ มาร์ลโบโร่ และ แอลแอนด์เอ็ม ต้องนำเข้าบุหรี่จากบริษัทฟิลิปฯ ที่ ฟิลิปินส์
การซื้อบุหรี่ของบริษัทฟิลิปมอริส จากประเทศต่างๆ ทั้งมาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปินส์ เป็นการนำนิติกรรมอำพราง เป็นการแหกตา ไม่มีการซื้อขายกันจริง เพราะทั้งหมดเป็นการซื้อบริษัทในเครือข่ายที่ขึ้นกับบริษัทแม่เดียวกัน ซึ่งตั้งอยู่ที่สหรัฐฯ และที่ต้องเปลี่ยนสถานที่ซื้อบุหรี่ไปเรื่อยๆ เพราะมีเจตนาเลื่ยงภาษี ถึงไม่มีการซื้อขายการตรง โดยเฉพาะการนำเข้าจากฟิลิปินส์ ตั้งแต่วันที่ 28 ก.ค 46 – ก.ย. 50 มีการสำแดงราคานำเข้าบุหรี่มาร์ลโบโรซองละ 7.76 บาท และ แอล์แอนด์เอ็ม 5.58 บาท จำนวนทั้งหมด 292 ใบขนสินค้า และเมื่อเทียบการสำแดงราคานำเข้ากับ คิงพาวเวอร์ และ อลิส อินเตอร์ พบว่า มีราคาต่างกันมาก โดยคิงพาวเวอร์ สำแดงราคานำเข้าบุหรี่มาร์ลโบโร 27.64 บาท ต่างกันถึง 19 บาท และบุหรี่แอลแอนด์เอ็ม 16.81 บาท ต่างกัน 10.93 บาท
เมื่อเทียบกับการนำเข้าของอลิส อินเตอร์ สำแดงราคานำเข้าบุหรี่มาร์ลโบโร่ 22.23 บาท ต่างกัน 13 บาท อีกทั้ง เมื่อเทียบกับบุหรี่มาร์ลโบโร ซองแข็ง ที่ขายในฟิลิปินส์โดยไม่รวมภาษีตกอยู่ที่ 13.09 บาท และซองอ่อน ราคา 9.47 บาท ชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลส่งเสริมบริษัทข้ามชาติ คดโกงมวลชน ถ้าเวรกรรมมีจริงของให้มาร์ค รับไป อีกทั้ง การนำเข้าทั้งหมดต้องเสียภาษี ไม่ควรสนับสนุน เพราะเป็นบริษัทมัจจุราช และพอบริษัทฟิลิป มอริสฯ มีปัญหา ก็ใช้ทนายความของพรรคประชาธิปัตย์ช่วยวิ่งเต้นให้
"มาร์คเป็นนายกฯ ที่กล้ามาก ย่ามใจ เพ้ออำนาจ เมาอำนาจ ควบคุมฝ่ายบริหารได้ แต่แทรกแซงกระบวนการยุติธรรมไม่ได้ โดยเฉพาะอัยการสูงสุด ที่เข้าไปยุ่งไม่ได้ เพราะถือว่าศาลเป็นอิสระ แต่ว่าพวกคุณเคยตัว เพราะศาลรัฐธรรมนูญช่วยพวกคุณมาโดยตลอด และการที่อ้างว่าคดีนี้ เกิดขึ่นในสมัยพ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อ 31 ก.ค. 49 ซึ่งบริษัทนี้ถือเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่ซัพพอร์ตสหรัฐฯ และผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมทูตสหรัฐฯ ถึงชอบไปพบพรรคประชาธิปัตย์" ร.ต.อ.เฉลิมกล่าว
ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า สมัยพ.ต.ท.ทักษิณ ได้อนุมัติให้กรมสอบสวนคดีพิเศษเข้าไปสอบ และส่งให้อัยการสั่งฟ้อง แต่วันที่ 16 ก.ย. 52 นายเกียรติ ได้เรียกประชุมร่วม โดยอ้างบัญชา นายอภิสิทธิ์ ในการเรียกอัยการสูงสุด กรมสอบสวนคดีพิเศษ และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือหลายครั้ง โดยการทำหนังสือด่วนที่สุด จากสำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยอ้างว่าเรียกประชุมเพื่อรองรับการตัดสินของ WTO ไม่ได้เนื่องจาก บริษัทดังกล่าวไม่ทำการค้าในประเทศไทย WTO จะตัดสินคดีดังกล่าวในวันที่ 3 ส.ค. 53 มาร์คเป็นใคร ที่เรียกอัยการมาร่วมประชุม ซึ่งถือว่าเข้าข่ายแทรกแซงองค์กรอิสระการเรียกประชุมเช่นนี้ ถือว่าเหิมเกริมมากไม่มีวินัยทางการเมือง" ร.ต.อ.เฉลิมกล่าว
ในที่สุดอธิบดีกรมศุลกากร ซึ่งเคยเป็นรองอธิบดีกรมสรรพากร และเป็นคนที่เคยออกใบเสร็จให้กับนายประจวบ สังข์ขาว ในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ เป็นลูกน้องของนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง ได้ทำหนังสือไปถึง ดีเอสไอในระหว่างที่คดีนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของอัยการว่า จะส่งฟ้องหรือไม่ ซึ่งปกติเวลาพิจารณาว่าจะสอบสวนคดีเพิ่มเติม อัยการจะต้องเป็นผู้สั่งให้สอบเพิ่ม แต่นี่อธิบดีกรมศุลกากร กลับไปเอาใจนาย ไปให้การต่อ ดีเอสไอ จนในที่สุดอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง
" วันนี้ท่านกับผม ต้องรบกันอีกหลายยก ถ้าผมชนะก็จะเอาพ.ต.ท.ทักษิณ กลับบ้าน คดีความเลิกกัน ซึ่งเรื่องนี้มั่นใจว่าจะนำไปสู่การยุบพรรคการเมืองบางพรรค เพราะมีคนบางคนรับเงินจากบริษัทต่างด้าว ซึ่งเสียดายผมมาทำเรื่องนี้ช้าไปหน่อย จากนั้นการเลือกตั้งครั้งหน้า หากเลือกประชาธิปัตย์ จะทำให้รัฐเสียภาษีนับแสนล้าน แต่ถ้าเลือกพรรคเพื่อไทย จะมีคนติดคุก เห็นได้จากกรณีศาลรัฐมิเนโซต้า สหรัฐอเมริกา ได้ตัดสินให้บริษัทบุหรี่ยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งมีพฤติกรรมคล้ายกรณีนี้มีความผิดในคดีการหลบเลี่ยงภาษี" ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
ด้านนายอภิสิทธิ์ ชี้แจงโดยอธิบายถึงที่มาของปัญหาในเรื่องการคำนวนภาษีของบริษัทฟิลลิป มอริส ว่าเกิดจากการปรารภของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในที่ประชุมครม.ว่ามีปัญหาเรื่องการคำนวนราคาหรือไม่ โดยส่งเรื่องให้กรมศุลากร และกรมสรรพามิตไปตรวจสอบ ซึ่งทั้งสองหน่วยงานยืนยันถึงความถูกต้องเรื่องคำนวน จากนั้นได้มีการร้องไปยัง ดีเอสไอ ให้รวจสอบ จนมีคำสั่งเมื่อตนาเป็นนายกฯ เท่ากับไม่มีการแทรกแซง แต่เมื่อดีเอสไอ ส่งฟ้องแล้วกลับทำหนังสือสอบถามไปยังทั้งสองหน่วยงานอีกครั้งว่า เหตุใดจึงยืนยันว่า ไม่มีความผิดปกติในการสำแดงภาษี ทั้งสองหน่วยงานจึงชี้แจงกลับไปว่าไม่มีปัญหาเรื่องความถูกต้อง และเหตุผลที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง เพราะคนที่กำหนดราคาได้คือ กรมศุลากร กับกรมสรรพาสามิต เท่านั้น คนอื่นไม่มีสิทธิ์กำหนดราคา
นายอภิสิทธิ์ ยอมรับว่าที่ผ่านมา เคยมีการคุยอัยการจริง แต่ไม่ใช่เรื่องคดี เพราะปกติอัยการมักมาประชุมร่วมกับรัฐบาลในบางเรื่อง เช่น เรื่องความมั่นคง หรือมีการสอบถามเกี่ยวกับสัญญาในบางประเด็น และทุกครั้งตนได้ยืนเสมอว่า ต้องเป็นไปตามกฏหมาย ในประเด็นนี้อัยการสูงสุดก็ยืนว่าไม่มีใครเข้าไปแทรกแซงการใช้ดุลยพินิจของอัยการ รวมทั้งกรณีที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง และเรื่องกลับมาดีเอสไอ ตนได้คุยกับอธิบดีว่าให้ทำไปตามเนื้อผ้า หากมีประเด็นใดโต้แย้งก็ดำเนินการไป นี่คือหลักในการทำงานไม่ได้ปล่อยปละละเลย หรือเอื้อประโยชน์ตามที่กล่าวหา
"ผมว่าท่านไปเชื่อจิ้กจกมากกว่า เรื่องการแทรกแซงอัยการนั้น ความจริงมันไม่มี ถ้าจะให้ดีท่านควรจะบอกด้วยว่า จิ้กจก ที่บอกท่านเป็นตัวไหนในทำเนียบรัฐบาล"
ส่วนการที่ตนที่แต่งตั้งนายเกียรติ เป็นผู้แทนทางการค้า เพราะเป็นผู้ มีประสบการ์ความรู้เกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศที่ดีคนหนึ่ง เท่าที่ติดตามดูมาก็ไม่มีปัญหา และเป็นตำแหน่งที่ต้องแสดงบัญชีทรัพย์สินด้วย เพื่อให้ดูแลด้านปัญหาการค้า การลงทุน ซึ่งสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ก็มีการแต่งตั้งตำแหน่งนี้
นอกจากนี้การที่นายเกียรติ เชิญหน่วยงานต่างๆมาหารือก็เป็นการบูรณาการข้อมูล หลังจากที่ตนได้รับการร้องเรียนตอนเดินทางไปอเมริกา และหนังสือเชิญก็เขียนชัดเจนว่า ให้ทบทวนความถูกต้องของรายงานความถูกต้องของข้อกฏหมายต่างๆในรายงานของWTO ไม่เกี่ยวกับการตัดสินของ ดีเอสไอ และรัฐบาลได้ทำเรื่องอุทธรณ์ไปที่ WTO เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และขอยืนยันว่า ตนไม่มีประโยชน์ส่วนตัว และดำเนินการทุกอย่างโดยยึดถือการรักษาประโยชน์ของชาติเป็นหลัก
ส่วนที่มีการกล่าวหานายเกียรติ แทรกแซงการบวนการยุติธรม ก็ไม่ถูกต้อง เพราะรัฐบาลแต่งตั้งเป็นผู้แทนการค้าไทย มีหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของประเทศ แม้ว่านายเกียรติ จะเป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ แต่ที่ผ่านมาก็ได้ทำหน้าที่อย่างดีมาตลอด และการประชุมทุกครั้งก็เป็นไปอย่างเปิดเผย ไม่เป็นลักษณะล็อบบี้ยีสต์ และที่นายเกียรติ เชิญให้หน่วยงานต่างๆ มาประชุมเรื่องนี้เพื่อต้องการให้การดำเนินงานของทุกหน่วยงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อเป็นประโยชน์ในการต่อสู้คดีใน WTO เพราะยังมีความเห็นแตกต่างกันอยู่กับหน่วยงานของกระทรวงยุติธรรม
สำหรับประเด็นที่มีการกล่าวหาว่า เอื้อประโยชน์ให้กับร้านค้าปลอดอากร สามารถขายบุหรี่ได้ในราคาถูกเพราะได้รับประโยชน์จากการสำแดงภาษีในราคาที่ต่ำนั้น ยืนยันว่า นายกฯไม่ได้มีอำนาจในการวินิจฉัยว่าการเทียบเคียงราคา และการสำแดงภาษีถูกต้องรือไม่ แต่ถ้ามองในเชิงโครงสร้าง ก็จะเห็นว่าที่ต้นทุนกับราคาขายมีความแตกต่างกันมากนั้น มีความเป็นเหตุเป็นผล เช่นกรณีบุหรี่ต่างประเทศต้นทุนการนำเข้าจะอยู่ที่ 7.76 บาท เมื่อบวกกับภาษีศุลกากร ภาษีสรรพาสมิต ภาษีสุขภาพ ภาษีบำรุงท้องที่อีก 33 บาทโดยประมาณ รวมถึงค่าการตลาดอีกส่วนหนึ่ง และภาษีมูลค่าเพิ่มก็จะทำให้ราคาขายอยู่ที่ 70บาทขึ้นไป ซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องแปลกแต่ประการใด เช่นเดียวกับบุหรีภายในประเทศที่มีต้นทุนเพียง 3 บาท แต่ส่งให้ร้านปลอดภาษี 13 บาท
"ท่านคิดหรือว่า ผมไม่อยากได้ภาษีเป็นแสนล้านเข้าพัฒนาประเทศ แต่การเก็บภาษีก็ต้องเป็นไปตามหลักของกฏหมาย และเป็นเหตุเป็นผล ไม่ใช่คิดอยากจะทำอย่างเดียว" นายกรัฐมนตรีกล่าว