“เป็ดเหลิม” อัด “มาร์ค” ตั้ง “เกียรติฮาร์เล่ย์” นั่งผู้แทนการค้า แทรกแซงก.ยุติธรรมช่วยบ.บุหรี่ข้ามชาติ ทำรัฐสูญเงินกว่าแสนล้าน ขู่มีสิทธิ์ถูกยุบพรรคเพราะรับเงินต่างชาติ พร้อมจับ“มาร์ค”เข้าคุกหากได้กลับมาเป็น รบ.อีกรอบ ด้าน “มาร์ค”เย้ยแหล่งข่าวเหลิมแค่จิ้งจกในทำเนียบฯไม่รู้จริงเรื่องภาษี ยันไม่เคยแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม การันตี “เกียรติ” ทำงานดี รักษาประโยชน์ชาติ
วันที่ 18 มี.ค. 2554 ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง สส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย อภิปรายประเด็นการแทรกแซงระบวนการยุติธรรมของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และคนใกล้ชิด ทำให้ประเทศสูญเงินกว่า 6.8 หมื่นล้านบาท ว่า เมื่อวาน (17 มี.ค.) มีบริษัท ฟิลิป มอริส ลิมิเต็ด ไทยแลนด์ มาขู่ผมฝากไปบอกบริษัทด้วย ว่า ขู่ผิดคนแล้ว ถ้าตนอภิปรายผิดก็เตรียมฟ้องได้เลย อีกทั้ง ที่ต้องอภิปรายช้าๆในวันนี้เพราะมีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองต้องการฟัง ว่า รัฐบาลสุมหัวปล้นประเทศอย่างไร
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า โจรใส่สูทอ้างเป็นผู้แทนการค้าไทยสมคบกับบริษัทฟิลิป มอริส ซึ่งเป็นบริษัทแม่ที่อยู่ที่สหรัฐอเมริกาจำหน่ายบุหรี่ที่ใหญ่ที่สุดที่จำหน่ายบุหรี่มาร์ลโบโร่ และ แอลแอนด์เอ็ม ที่สำแดงราคานำเข้าเพื่อเสียภาษีเป็นเท็จจนทำให้รัฐเสียหายถึง 6.8 หมี่นล้านบาท ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 3, 81(1), 255, 266 (1), 268 และ ป.วิอาญา มาตารา 157 โดยนายเกียรติ สิทธีอมร ผู้แทนการค้าไทย ที่ชอบขี่ฮาร์เลย์ และ นวดสปา หรือเรียกว่าไอ้เกียรติฮาร์เลย์ ที่เป็นตัวละครสำคัญ ทำให้ทรัพย์สินของชาติเสียหาย โดยหลายคนเรียกนายเกียรติ ว่าเป็นล็อบบี้ยิสต์
ทั้งนี้ บริษัทฟิลิป มอริส ลิมิเต็ด ไทยแลนด์ จดทะเบียนเมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2534 และได้มาตั้งบริษัที่เมืองไทย โดยมีแม่ยายของสส.พรรคประชาธิปัตย์คนหนึ่งให้เช่าสถานที่ และ บริษัทได้แจ้งต่อกระทรวงพาณิชย์ว่าเข้ามาประกอบธุรกิจ แต่ความจริงไม่มีการผลิตสินค้าอะไรเพียงแค่นำเข้าบุหรี่ มีเจตนาวางแผนทุจริตทางภาษีตั้งแต่ต้น โดยบริษัทนี้มีพฤติกรรมนำเข้าบุหรี่จาก บริษัทฟิลิป ฯ ในมาเลเซีย อินโดนีเซีย แต่ทั้งหมดถูกตั้งข้อหาว่าสำแดงราคาต่ำกว่าบริษัทอื่นๆ พอมีปัญหาก็ทำให้บริษัทฟิลิป มอริส ไทยแลนด์ต้องนำเข้าบุหรี่ มาโบโร่และ แอลแอนด์เอ็มต้องนำเข้าบุหรี่จากบริษัทฟิลิปฯ ฟิลิปินส์
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า การซื้อบุหรี่ของ บริษัทฟิลิปมอริส จากประเทศต่างๆ ทั้งมาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปินส์ เป็นการนำนิติกรรมอำพราง เป็นการแหกตาไม่มีการซื้อขายกันจริงเพราะทั้งหมดเป็นการซื้อบริษัทในเครือข่ายที่ขึ้นกับบริษัทแม่เดียวกัน ซึ่งตั้งอยู่ที่สหรัฐอเมริกา และ ที่ต้องเปลี่ยนสถานที่ซื้อบุหรี่ไปเรื่อยๆ เพราะมีเจตนาเลื่ยงภาษีถึงไม่มีการซื้อขายการตรง โดยเฉพาะการนำเข้าจากฟิลิปินส์ ตั้งแต่วันที่ 28 ก.ค 2546 - ก.ย. 2550 มีการสำแดงราคานำเข้าบุหรี่มาโบโร 7.76 บาท และ แอล์แอนด์เอ็ม 5.58 บาท จำนวนทั้งหมด 292 ใบขนสินค้า และเมื่อเทียบการสำแดงราคานำเข้ากับคิงพาวเวอร์ และ อลิส อินเตอร์ พบว่ามีราคาต่างกันมาก โดยคิงพาวเวอร์ สำแดงราคานำเข้าบุหรี่มาโบโร 27.64 บาท ต่างกันถึง 19 บาท และ บุหรี่แอลแอนด์เอ็ม 16.81 บาท ต่างกัน 10.93 บาท และเมื่อเทียบกับการนำเข้าของอลิสอินเตอร์ สำแดงราคานำเข้าบุหรี่มาโบโร่ 22.23 บาท ต่างกัน 13 บาท อีกทั้ง เมื่อเทียบกับบุหรี่มาโบโรซองแข็ง ที่ขายในฟิลิปินส์โดยไม่รวมภาษีตกอยู่ที่ 13.09 บาท และ ซองอ่อน ราคา 9.47 ชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลส่งเสริมบริษัทข้ามชาติ คดโกงมวลชนถ้าเวรกรรมมีจริงของให้มาร์ครับไป อีกทั้ง การนำเข้าทั้งหมดต้องเสียภาษี ไม่ควรสนับสนุนเพราะเป็นบริษัทมัจจุราช และพอบริษัทฟิลิป มอริสฯ พอมีปัญหา ก็ใช้ทนายความของพรรคประชาธิปัตย์ช่วยวิ่งเต้นให้
“มาร์คเป็นนายกฯ ที่กล้ามาก ย่ามใจ เพ้ออำนาจ เมาอำนาจควบคุมฝ่ายบริหารได้ แต่แทรกแซงกระบวนการยุติธรรมไม่ได้ โดยเฉพาะอัยการสูงสุด ที่เข้าไปยุ่งไม่ได้เพราะถือว่าศาลเป็นอิสระ แต่ว่าพวกคุณเคยตัวเพราะศาลรัฐธรรมนูญช่วยพวกคุณมาโดยตลอด และการที่อ้างว่าคดีนี้เกิดขึ่นในสมัยพ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อ 31 ก.ค. 2549 ซึ่งบริษัทนี้ถือเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ซัพพอร์ตสหรัฐอเมริกา และผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมทูตสหรัฐถึงชอบไปพบพรรคประชาธิปัตย์” ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ได้อนุมัติให้กรมสอบสวนคดีพิเศษเข้าไปสอบ และส่งให้อัยการสั่งฟ้อง แต่วันที่ 16 ก.ย. 2552 นายเกียรติ ออกฤทธิ์ เรียกประชุมร่วม การอ้างบัญชานายอภิสิทธิ์ ในการเรียกอัยการสูงสุด กรมสอบสวนคดีพิเศษ และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั่วปฐพี หลายครั้ง โดยการทำหนังสือด่วนที่สุดจากสำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะเป็นวันที่ 16 ก.ย. 2552 หรือ 29 ต.ค. 52 หรือ 6 ก.พ. 53 ซึ่งจะอ้างว่าเรียกประชุมเพื่อรองรับการตัดสินของ WTO ไม่ได้เนื่องจาก บริษัทดังกล่าวไม่ทำการค้าในประเทศไทย WTO จะตัดสินคดีดังกล่าวในวันที่ 3 ส.ค. 2553 มาร์คเป็นใคร ที่เรียกอัยการมาร่วมประชุม ซึ่งถือว่าเข้าข่ายแทรกแซงองค์กรอิสระการเรียกประชุมเช่นนี้ถือว่าเหิมเกริมมาก ไม่มีวินัยทางการเมือง ” ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
ในที่สุดอธิบดีกรมศุลกากร ซึ่งเคยเป็นรองอธิบดีกรมสรรพากร และเป็นคนที่เคยออกใบเสร็จให้กับนายประจวบ สังข์ขาว ในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นลูกน้องของนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง ได้ทำหนังสือไปถึงดีเอสไอ ในระหว่างที่คดีนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของอัยการว่าจะส่งฟ้องหรือไม่ ซึ่งปกติเวลาพิจารณาว่าจะสอบสวนคดีเพิ่มเติม อัยการจะต้องเป็นผู้สั่งให้สอบเพิ่ม แต่นี่อธิบดีกรมศุลกากร กลับไปเอาใจนาย ไปให้การต่อดีเอสไอ จนในที่สุดอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง
“วันนี้ท่านกับผม ต้องรบกันอีกหลายยก ถ้าผมชนะก็จะเอาพ.ต.ท.ทักษิณ กลับบ้าน คดีความเลิกกัน ซึ่งเรื่องนี้มั่นใจว่าจะนำไปสู่การยุบพรรคการเมืองบางพรรค เพราะมีคนบางคนรับเงินจากบริษัทต่างด้าว ซึ่งเสียดายผมมาทำเรื่องนี้ช้าไปหน่อย จากนั้นการเลือกตั้งครั้งหน้าหากเลือกประชาธิปัตย์จะทำให้รัฐเสียภาษีนับแสนล้าน แต่ถ้าเลือกพรรคเพื่อไทย จะมีคนติดคุก เห็นได้จากกรณีศาลรัฐมิเนโซต้า สหรัฐอเมริกา ได้ตัดสินให้บริษัทบุหรี่ยี่ห้อหนึ่งซึ่งมีพฤติกรรมคล้ายกรณีนี้มีความผิดในคดีการหลบเลี่ยงภาษี”
ด้านนายอภิสิทธิ์ ชี้แจงโดยอธิบายถึงที่มาของปัญหาในเรื่องการคำนวนภาษีของบริษัทฟิลลิป มอริส ว่าเกิดจากการปรารภของ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในที่ประชุมครม. ว่ามีปัญหาเรื่องการคำนวนราคาหรือไม่ โดยส่งเรื่องให้กรมศุลากร และกรมสรรพามิตไปตรวจสอบ ซึ่งทั้งสองหน่วยงานยืนยันถึงความถูกต้องเรื่องคำนวน จากนั้นได้มีการร้องไปยังดีเอสไอให้รวจสอบ จนมีคำสั่งเมื่อตนาเป็นนายกฯ เท่ากับไม่มีการแทรกแซง แต่เมื่อดีเอสไอส่งฟ้องแล้วกลับทำหนังสือสอบถามไปยังทั้งสองหน่วยงานอีกครั้งว่า เหตุใดจึงยืนยันว่าไม่มีความผิดปกติในการสำแดงภาษี ทั้งสองหน่วยงานจึงชี้แจงกลับไปว่าไม่มีปัญหาเรื่องความถูกต้อง และเหตุผลที่อัยการสั่งไม่ฟ้องเพราะคนที่กำหนดราคาได้คือ กรมศุลากร กับกรมสรรพาสามิต เท่านั้นคนอื่นไม่มีสิทธิ์กำหนดราคา
ตนยอมรับว่าที่ผ่านมาเคยมีการคุยอัยการจริงแต่ไม่ใช่เรื่องคดี เพราะปกติอัยการมักมาประชุมร่วมกับรัฐบาลในบางเรื่อง เช่นเรื่องความมั่นคง หรือมีการสอบถามเกี่ยวกับสัญญาในบางประเด็น และทุกครั้งตนได้ยืนเสมอว่าต้องเป็นไปตามกฏหมาย ในประเด็นนี้อัยการสูงสุดก็ยืนว่าไม่มีใครเข้าไปแทรกแซงการใช้ดุลยพินิจของอัยการ รวมทั้งกรณีที่อัยการสั่งไม่ฟ้องและเรื่องกลับมาดีเอสไอ ตนได้คุยกับอธิบดีว่าให้ทำไปตามเนื้อผ้าหากมีประเด็นใดโต้แย้งก็ดำเนินการไป นี่คือหลักในการทำงานไม่ได้ปล่อยปละละเลย หรือเอื้อประโยชน์ตามที่กล่าวหา
“ผมว่าท่านไปเชื่อจิ้งจกมากกว่า เรื่องการแทรกแซงอัยการนั้นความจริงมันไม่มี ถ้าจะให้ดีท่านควรจะบอกด้วยว่า จิ๊กจกที่บอกท่านเป็นตัวไหนในทำเนียบรัฐบาล”
ส่วนการที่ตนที่แต่งตั้งนายเกียรติเป็นผู้แทนทางการค้า เพราะเป็นผู้ มีประสบการ์ความรู้เกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศที่ดีคนหนึ่ง เท่าที่ติดตามดูมาก็ไม่มีปัญหา และเป็นตำแหน่งที่ต้องแสดงบัญชีทรัพย์สินด้วย เพื่อให้ดูแลด้านปัญหาการค้า การลงทุน ซึ่งสมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณก็มีการแต่งตั้งตำแหน่งนี้
นอกจากนี้การที่นายเกียรติเชิญหน่วยงานต่างๆมาหารือก็เป็นการบูรณาการข้อมูลหลังจากที่ตนได้รับการร้องเรียนตอนเดินทางไปอเมริกา และหนังสือเชิญก็เขียนชัดเจนว่าให้ทบทวนความถูกต้องของรายงานความถูกต้องของข้อกฏหมายต่างๆในรายงานของWTO ไม่เกี่ยวกับการตัดสินของดีเอสไอ และรัฐบาลได้ทำเรื่องอุทธรณ์ไปที่WTO เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และขอยืนยันว่าตนไม่มีประโยชน์ส่วนตัว และดำเนินการทุกอย่างโดยยึดถือการรักษาประโยชน์ของชาติเป็นหลัก
ส่วนที่มีการกล่าวหานายเกียรติแทรกแซงการบวนการยุติธรมก็ไม่ถูกต้อง เพราะรัฐบาลแต่งตั้งเป็นผู้แทนการค้าไทย มีหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของประเทศ แม้ว่านายเกียรติจะเป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ แต่ที่ผ่านมาก็ได้ทำหน้าที่อย่างดีมาตลอด และการประชุมทุกครั้งก็เป็นไปอย่างเปิดเผย ไม่เป็นลักษณะล๊อบบี้ยีสต์ และที่นายเกียรติเชิญให้หน่วยงานต่างๆมาประชุมเรื่องนี้เพื่อต้องการให้การดำเนินงานของทุกหน่วยงานเป็นไปในทิศทางเดียวกันเพื่อเป็นประโนชย์ในการต่อสู้คดีในWTO เพราะยังมีความเห็นแตกต่างกันอยู่กับหน่วยงานของกระทรวงยุติธรรมได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้แทนการค้าจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมได้อย่างไร
สำหรับประเด็นที่มีการกล่าวหาว่าเอื้อประโยชน์ให้กับร้านค้าปลอดอากร สามารถขายบุหรี่ได้ในราคาถูกเพราะได้รับประโยชน์จากการสำแดงภาษีในราคาที่ต่ำ นั้น ยืนยันว่านายกฯไม่ได้มีอำนาจในการวินิจฉัยว่าการเทียบเคียงราคาและการสำแดงภาษีถูกต้องรือไม่ แต่ถ้ามองในเชิงโครงสร้างก็จะเห็นว่าที่ต้นทุนกับราคาขายมีความแตกต่างกันมากนั้นมีความเป็นเหตุเป็นผล เช่นกรณีบุหรี่ต่างประเทศต้นทุนการนำเข้าจะอยู่ที่ 7.76 บาท เมื่อบวกกับภาษีศุลกากร ภาษีสรรพาสมิต ภาษีสุขภาพ ภาษีบำรุงท้องที่อีก 33 บาทโดยประมาณ รวมถึงค่าการตลาดอีกส่วนหนึ่ง และภาษีมูลค่าเพิ่มก็จะทำให้ราคาขายอยู่ที่ 70บาทขึ้นไป ซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องแปลกแต่ประการใด เช่นเดียวกับบุหรีภายในประเทศที่มีต้นทุนเพียง3 บาท แต่ส่งให้ร้านปลอดภาษี13 บาท
“ท่านคิดหรือว่าผมไม่อยากได้ภาษีเป็นแสนล้านเข้าพัฒนาประเทศ แต่การเก็บภาษีก็ต้องเป็นไปตามหลักของกฏหมายและเป็นเหตุเป็นผล ไม่ใช่คิดอยากจะทำอย่างเดียว”