วานนี้(15 มี.ค) น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส. กทม. พรรคเพื่อไทย อภิปราย เรื่องการทุจริตปัญหาน้ำมันปาล์มว่า มี ขบวนการสวาปามน้ำมันาล์มบนความเดือดร้อนของประชาชนทั้งประเทศ โดย ปัญหาเกิดจากการบริหารผิดพลาด ล้มเหลวของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงที่มาดูแลเรื่องน้ำมันปาล์มโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่ามีความรู้เรื่องน้ำมันปาล์มขั้นเทพ แต่ มีการถ่วงเวลาในการสั่งนำเข้าน้ำมันปาล์มจากต่างประเทศ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการที่มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับตัวเองจนนำไปสู่การกอบโกยผลประโยชน์มหาศาล
คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันห่งชาติ(กนป.)ได้มีมติครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 ธค. 53 ให้นำเข้าน้ำมันปาล์ม3 หมื่นตัน แต่นายสุเทพ ในฐานะที่นั่งเป็นประธานกนป.กลับไม่ยอมสั่งให้ดำเนินการ กลับยื้อเวลาไว้นานถึง 20 วัน ทำให้ประชาชนสงสัยว่าจงใจยื้อเวลาเพื่อให้น้ำมันปาล์มขาดตลาด และปั่นราคาให้สูงขึ้นเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับ มิสเตอร์ พีเค ซึ่งเป็นเจ้าของสต๊อกน้ำมันรายใหญ่รายเดียวที่มีสต๊อกน้ำมันกว่า 6.3 หมื่นตัน ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวเปิดช่องให้มีการยักย้ายถ่ายเทน้ำมันออกจากส ต๊อกหรือไม่
ซึ่งจากข้อมูลที่ตรวจสอบพบว่า ในยามปกติราคาน้ำมันปาล์มในช่วงเดือนพฤศจิกายน ขวดละ 35บาท แต่พอเริ่มมีวิกฤติราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น 49บาท และใน เดือนมกราคม สูงถึง 63.50 บาท ทำไมรัฐบาลไม่เอาน้ำมันในสต๊อกของมิสเตอร์พีเคซึ่งเป็น รายใหญ่ที่สุดในสุราษฏรธานี มาบรรจุขวดขายให้ประชาชนก่อน
“ท่านจะยอมรับหรือไม่ว่ารู้สักสนิทสนมกับมิสเตอร์พีเค ผมจะไม่บอกว่าเวลาท่านกลับสุราษฏรฯ คนๆนี้มารับหรือไม่ แต่มั่นใจว่าท่านต้องรู้จัก และทำกำไรให้เป็นพันล้านบาทจากการดึงเวลา ทั้งที่รู้ว่าประชาชนประสบปัญหาขาดแคลนอย่างหนัก แต่ท่านกลับเฉยให้คนกลุ่มเล็กๆ ปั่นราคา กักตุนการส่งออก”
นอกจากนี้เมื่อการนำเข้าก็ยังมีการทุจริตแบบมีใบเสร็จ โดยมีการกำหนดเสป๊ก โดย นายสุเทพได้สั่งนำเข้าน้ำมันดิบแบบแยกไข ซึ่งเป็นเสป็กพิเศษ ไม่มีมาตรฐานในโลก แต่ไปสั่งจากสิงคโปร์จำนวน 3หมื่นตัน ซึ่งจะต้องบรรจุน้ำมันได้ 33 ล้านขวด แต่มีการสั่งน้ำมันพืชสำเร็จมาแล้วหยดกรดลงไป1% เมื่อผ่านกระบวนการแยกกรดออกกลับเหลือน้ำมันบรรจุขวดได้ 22 ล้านขวด ซึ่งหายไปเกือบ10ล้านขวด อยากถามว่าหายไปอยู่ในมือใครแต่เมื่อดีเอสไอได้ไปตรวจสอบสต๊อกน้ำมันจากโรงงานต่างๆ และได้สั่งอายัตินมันของโรงงานหนึ่งจำนวน 1,400ตันแต่เมื่อนายกฯไปตรวจถึงโรงงานก้มีคำสั่งว่าเป็นการอาญัติมิชอบ โดยอ้างว่ารัฐบาลมีการส่งคืนให้กับโรงงานจากการดึงมาใช้ก่อน 1,400ตัน ตนตั้งข้อสงสัยว่าน้ำมัน 1,400ตัน คือส่วนที่หายไปใน10ล้านขวดหรือไม่
นอกจากนี้น.อ.อนุดิษฐ์ยังอภิปรายไปถึงนายกรัฐมนตรีว่า มีส่วนรู้เห็นสมคบคิดกันเอประโยชน์ให้พวกพ้อง ปล่อยให้พรรคพวกระบายน้ำมันกันสนุกสนาน ด้วยการส่งสัญญาณในรายการเชื่อมั่นประชาชนว่ามีการตรึงราคาน้ำมันพืชมานานแล้ว โดยเฉพาะปาล์มน้ำมัน ทำให้สื่อำไปตีความว่ารัฐบาลกำลังให้ขึ้นราคาน้ำมันปาล์ม จากนั้นน้ำมันปาล์มก็ล่องหนไปทันที
“นายกฯจะปฎฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้เพราะเป็นคนมอบหมายให้นายสุเทพไปเป็นประธานกนป. และเป็นหัวหน้าครม.ที่สามารถตัดสินใจในการอนุมัติต่างๆที่กนป. และกระทรวงพาณิชย์เสนอพิจารณา และมีส่วนร่วมในการทำให้เกิดความ ปั่นป่วน สนับสนุนให้ก่อความผิด และความเดือดร้อนของประชาชน ความพกพร่อง ผิดพลาดร้ายแรงของนายกฯทำให้กระทบต่อประเทศไทยใน ฐานะผู้ผลิตน้ำมันปาล์มอันดับ3 ของโลก ปล่อยให้มีความทุจริต หรือเจตนา โดยอาศัยความขาดแคลนมาหาผลประโยชน์ ในอดีตนายกฯเคยถามหาสำนึกของนักการเมือง โดยระบุว่าไม่จำเป็นต้องผิดกฏหมาย แค่บกพร่องผิดพลาดก็ ต้องแสดงความรับผิดชอบทางการเมือง เวลานี้นายกฯบริหารราชการบกพร่อง ร้ายแรงเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ถามว่าสำนึกนักการเมืองที่เคยกล่าวไว้อย่างเคลิบเคลิ้ม หายไปไหน มีความรับผิดชอบทางการเมืองหรือไม่
**ท้าตั้งกก.สอบได้ประโยชน์จะเลิกเล่นการเมือง
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายปาล์มแห่งชาติ กล่าวชี้แจงว่า เรารับภาระมาจากรัฐบาลชุดที่แล้วคือราคาปาล์มตกต่ำ หน้าที่ของเราคือ ยกราคาปาล์มสดให้เท่ากับที่อื่นๆ ที่เขาได้กำไร โดยจะทำให้ราคาผลปาล์มจาก 3 บาทเป็น 4-5 บาท นี่คือเป้าหมายที่ได้ดำเนินการพยายามประคับประคองสถานการณ์ สุดท้าเราก็ยกระดับราคาปาล์มสดขายได้สูงสุดถึง 10 บาท ส่วนการนำไปผลิตเป็นไบโอดีเซลนั้น รัฐบาลชุดนี้ก็ส่งเสริมให้ใช้พืชพลังงานอย่างจริงจัง ทั้งนี้ ยอมรับว่าในช่วงที่ผ่านมามีความผิดพลาดคือคำนวนปริมาณผลผลิตปาล์มน้ำมันผิด โดยคำนวนว่าต้นปี 53 น่าจะมากกว่าปี 52 แต่เมื่อไปตามดูสต๊อคมาถึงเดือนส.ค.53 ที่บอกว่ามีสัญญาณเตือนแล้วนั้น สต๊อดน้ำมันก็ยังอยู่ที่ 1.2แสนตัน โดยเอาไปทำไบโอดีเซล และเอาไปทำในอุตสาหกรรมอื่นด้วยแล้วก็ยังมีเหลืออยู่ในสต๊อคที่เพียงพอ แต่เมื่อมาเกิดปัญหาภัยธรรมชาติก่อนถึงพ.ย.-ธ.ค.เกิดภัยแล้งยาวนาน ทำให้ผลผลิตลดลงอย่างมาก กว่าจะรู้ตัวว่าจะได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศต้องใช้เวลา 6-7 เดือนเพื่อรอดูผลผลิต ต่อมามีน้ำท่วมโดยเฉพาะภาคใต้ ทำให้ผลผลิตตายหมด นี่คือความจริงที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมชาติที่มีความพลิกผัน และไม่ได้เกิดขึ้นกับประเทศไทยอย่างเดียว แต่ที่ประเทศอินโดนีเซีย และมาเลเซียก็คำนวนผิดเหมือนกัน ทำให้ราคาปาล์มในตลาดโลกสูงขึ้น
เมื่อเดือนธ.ค.ได้มีการกนป. โดยรมว.พาณิชย์ทำหนังสือว่าอาจมีปัญหาน้ำมันปาล์มที่จะใช้ในประเทศ เราคาดคะเนว่ามีน้ำมันปาล์มในสต๊อค 1.2 แสนตัน และคาดว่าผลผลิตในเดือนเดือนม.ค.-มี.ค. 54 จะออกเร็วและมีมาก แต่พอถึงสิ้นเดือนธ.ค.มีแค่ประมาณ 7 หมื่นตันเท่านั้น กระทรวงพาณิชย์เสนอนำเข้าน้ำมันปาล์ม 3หมื่นตันที่ประชุมจึงอนุมัติน้ำมันปาล์มจากต่างประเทศ ซึ่งยืนยันว่าไม่ได้นำเข้าทุกปี
ส่วนที่อ้างว่าไปนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบผิดสเป็คนั้น ถ้าย้อนไปดูในรัฐบาลสมัยนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ก็เป็นสเป็คเดียวกันคือ เป็นน้ำมันปาล์มแยกไขที่นำเข้ากว่า 3 หมื่นตันเช่นกัน ซึ่ง น้ำมันประเภทนี้ผ่านการแยกไขมาขั้นหนึ่งแล้ว แต่ไม่ได้แยกโดยสิ้นเชิง เพื่อประโยชน์ของคนที่ส่งออกในเรื่องภาษี แล้วเราต้องมาเข้าโรงงานแยกไขในประเทศไทยอีก เพราะคนไทยเห็นว่าเป็นวิธีที่ทำให้ต้นทุนถูกที่สุด
เราเห็นว่ากระทรวงพลังงานเริ่มผลิตไบโอดีเซลน้อยลง ซึ่งรวมดับสต๊อคของบริษัทในเครือที่จะผลิตไบโอดีเซลอาจให้ยืมได้ 5 พันตัน เราจึงสั่งให้รีบเอาน้ำมันส่วนนี้มาเพิ่ม รวมทั้งสั่งนำเข้าจากต่างประเทศอีก 3 หมื่นตัน ซึ่งต้องใช้เวลาเกือบครึ่งเดือนกว่าจะมาถึง จึงไม่ใช่เรื่องของการถ่วงเวลา แต่เป็นเรื่องของกระบวนการขนส่ง ส่วนที่ระบุว่าชาวสวนปาล์มมาเลเซียขายปาล์มสดได้ราคาดีกว่าของไทยนั้นก็เป็นเรื่องจริง เพราะขึ้นอยู่กับเปอร์เซ็นต์น้ำมันในเมล็ดปาล์มที่ขึ้นอยู่กับความดิบ สุกของผลปาล์ม มาตรการครั้งนี้เราก็บอกให้เกษตรกรขายปาล์มดิบให้ช้าลง เพื่อให้ได้เปอร์เซ็นต์น้ำมันสูงประมาณ 17 เปอร์เซ็นต์ จึงจะสกัดน้ำมันได้ดี
“ผมทำแค่ปลูกปาล์มสดแล้วก็ขายไม่ได้ไปเคยทำเกี่ยวกับโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม อยากเดิมพันได้เลยให้ตั้งกรรมการสอบ หรือเอาองค์กรอะไรมาก็ตาม หากผมมีรายได้จากปาล์มน้ำมันในกรณีนี้แม้เพียงบาทเดียว ขอยอมเลิกเล่นการเมืองตลอดชีวิต เอาอนาคตมาวัดกันเลย ที่กล่าวหาบริษัทพีเคนั้น ได้ตรวจสอบเอกสารรายงานจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งดีเอสไอ กระทรวงพาณิชย์ ให้ไปสอบคลังเก็บน้ำมันของโรงงานทุกแห่ง เพื่อหาว่าใครทำความผิด ก็ยังไม่พบ ที่อ้างว่าเขาสต๊อคน้ำมันกว่า 50,000ตัน คิดแล้วก็ต้องใช้เงินกว่า 7,000 ล้านบาทถือเป็นเงินลงทุนที่เยอะมาก ดังนั้น ยืนยันว่า ไม่ว่าจะเป็นบริษัทพีเคหรือบริษัทใดก็ตามถ้าทำผิดก็ต้องดำเนินคดี” นายสุเทพกล่าว
**มาร์ค ปัดขยิบตาขึ้นราคาเอื้อพวกพ้อง
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า การที่ตนกล่าวในรายการเชื่อมั่นประเทศไทยนั้นเป็นการพูดตามข้อเท็จจริงช่วงที่พูดเพราะรัฐบาลกำลังเร่งแก้ปัญหาการพยายามลดต้นทุนราคาสินตค้า ทำให้ต้องพูดสิ้นค้าหลายประภท ยอมรับว่าเป็นเรื่องยากที่จะบังคับให้ผู้ประกอบการขายขาดทุน ไม่ได้มีจุดประสงค์ให้กลไกลตลาดเสียหาย และพูดตรงไปตรงมา ไม่ดี้อะไรแฝง หรือส่งสัญญาณใดๆ กรณีที่กล่าวหาเรื่องน้ำมันหาย ถ้ามีการพิสูจน์ได้ว่าหายจริงก็ไม่ต้องห่วงเพราะมีหน่วยงาน ดีเอสไอ ตรวจสอบอยู่แล้ว ขอย้ำว่า ตนมีความบริสุทธิ์ใจไม่มีผลประโยชน์ใดๆ ส่วนที่กล่าวหาว่าตนวางแผนสมคบให้มีปัญหา ยืนยันได้ว่าไม่ใช่ และถ้าเห็นว่าอะไรไม่ถูกต้องก็ยังมีหน่วยงานอื่นๆตรวจสอบต่อไป
ด้านนางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ ชี้แจงว่า สาเหตุที่น้ำมันปาล์มหายไปเป็นเพร้ำมันที่นำเข้าเป้นน้ำมันดิบชนิดแยกไขบางส่วน จะต้องเอาไขออกประมาณ 15% คงเหลือไขอยู่ประมาณ 30% ที่จะต้องผ่านกระบวนการกลั่นกำจัดสี และกลิ่นทำให้สูญเสียน้ำมันบางส่วนไป ทำให้ได้น้ำปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ประมาณ 31.8 ล้านลิตร เพื่อนำไปทำอุตสาหกรรม แต่ถ้านำไปบริโภคะต้องมีการแยกไขส่วนที่เหลือจนได้น้ำมันพืช72%จำนวน 22.6ล้านลิตร ส่วนการปรับราคาจำหน่ายสูงขึ้นลิตรละ47 บาท เป็นการคำนวณจากต้นทุนนำเข้าช่วงนั้น ที่ 39.57 บาท โดยกระทรวงได้คุมราคาจำหน่ายที่ 47บาท มีส่วนต่างต้นทุน3บาท ผู้ประกอบการจะต้องรับภาระประมาณ 90ล้านบาท
คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันห่งชาติ(กนป.)ได้มีมติครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 ธค. 53 ให้นำเข้าน้ำมันปาล์ม3 หมื่นตัน แต่นายสุเทพ ในฐานะที่นั่งเป็นประธานกนป.กลับไม่ยอมสั่งให้ดำเนินการ กลับยื้อเวลาไว้นานถึง 20 วัน ทำให้ประชาชนสงสัยว่าจงใจยื้อเวลาเพื่อให้น้ำมันปาล์มขาดตลาด และปั่นราคาให้สูงขึ้นเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับ มิสเตอร์ พีเค ซึ่งเป็นเจ้าของสต๊อกน้ำมันรายใหญ่รายเดียวที่มีสต๊อกน้ำมันกว่า 6.3 หมื่นตัน ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวเปิดช่องให้มีการยักย้ายถ่ายเทน้ำมันออกจากส ต๊อกหรือไม่
ซึ่งจากข้อมูลที่ตรวจสอบพบว่า ในยามปกติราคาน้ำมันปาล์มในช่วงเดือนพฤศจิกายน ขวดละ 35บาท แต่พอเริ่มมีวิกฤติราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น 49บาท และใน เดือนมกราคม สูงถึง 63.50 บาท ทำไมรัฐบาลไม่เอาน้ำมันในสต๊อกของมิสเตอร์พีเคซึ่งเป็น รายใหญ่ที่สุดในสุราษฏรธานี มาบรรจุขวดขายให้ประชาชนก่อน
“ท่านจะยอมรับหรือไม่ว่ารู้สักสนิทสนมกับมิสเตอร์พีเค ผมจะไม่บอกว่าเวลาท่านกลับสุราษฏรฯ คนๆนี้มารับหรือไม่ แต่มั่นใจว่าท่านต้องรู้จัก และทำกำไรให้เป็นพันล้านบาทจากการดึงเวลา ทั้งที่รู้ว่าประชาชนประสบปัญหาขาดแคลนอย่างหนัก แต่ท่านกลับเฉยให้คนกลุ่มเล็กๆ ปั่นราคา กักตุนการส่งออก”
นอกจากนี้เมื่อการนำเข้าก็ยังมีการทุจริตแบบมีใบเสร็จ โดยมีการกำหนดเสป๊ก โดย นายสุเทพได้สั่งนำเข้าน้ำมันดิบแบบแยกไข ซึ่งเป็นเสป็กพิเศษ ไม่มีมาตรฐานในโลก แต่ไปสั่งจากสิงคโปร์จำนวน 3หมื่นตัน ซึ่งจะต้องบรรจุน้ำมันได้ 33 ล้านขวด แต่มีการสั่งน้ำมันพืชสำเร็จมาแล้วหยดกรดลงไป1% เมื่อผ่านกระบวนการแยกกรดออกกลับเหลือน้ำมันบรรจุขวดได้ 22 ล้านขวด ซึ่งหายไปเกือบ10ล้านขวด อยากถามว่าหายไปอยู่ในมือใครแต่เมื่อดีเอสไอได้ไปตรวจสอบสต๊อกน้ำมันจากโรงงานต่างๆ และได้สั่งอายัตินมันของโรงงานหนึ่งจำนวน 1,400ตันแต่เมื่อนายกฯไปตรวจถึงโรงงานก้มีคำสั่งว่าเป็นการอาญัติมิชอบ โดยอ้างว่ารัฐบาลมีการส่งคืนให้กับโรงงานจากการดึงมาใช้ก่อน 1,400ตัน ตนตั้งข้อสงสัยว่าน้ำมัน 1,400ตัน คือส่วนที่หายไปใน10ล้านขวดหรือไม่
นอกจากนี้น.อ.อนุดิษฐ์ยังอภิปรายไปถึงนายกรัฐมนตรีว่า มีส่วนรู้เห็นสมคบคิดกันเอประโยชน์ให้พวกพ้อง ปล่อยให้พรรคพวกระบายน้ำมันกันสนุกสนาน ด้วยการส่งสัญญาณในรายการเชื่อมั่นประชาชนว่ามีการตรึงราคาน้ำมันพืชมานานแล้ว โดยเฉพาะปาล์มน้ำมัน ทำให้สื่อำไปตีความว่ารัฐบาลกำลังให้ขึ้นราคาน้ำมันปาล์ม จากนั้นน้ำมันปาล์มก็ล่องหนไปทันที
“นายกฯจะปฎฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้เพราะเป็นคนมอบหมายให้นายสุเทพไปเป็นประธานกนป. และเป็นหัวหน้าครม.ที่สามารถตัดสินใจในการอนุมัติต่างๆที่กนป. และกระทรวงพาณิชย์เสนอพิจารณา และมีส่วนร่วมในการทำให้เกิดความ ปั่นป่วน สนับสนุนให้ก่อความผิด และความเดือดร้อนของประชาชน ความพกพร่อง ผิดพลาดร้ายแรงของนายกฯทำให้กระทบต่อประเทศไทยใน ฐานะผู้ผลิตน้ำมันปาล์มอันดับ3 ของโลก ปล่อยให้มีความทุจริต หรือเจตนา โดยอาศัยความขาดแคลนมาหาผลประโยชน์ ในอดีตนายกฯเคยถามหาสำนึกของนักการเมือง โดยระบุว่าไม่จำเป็นต้องผิดกฏหมาย แค่บกพร่องผิดพลาดก็ ต้องแสดงความรับผิดชอบทางการเมือง เวลานี้นายกฯบริหารราชการบกพร่อง ร้ายแรงเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ถามว่าสำนึกนักการเมืองที่เคยกล่าวไว้อย่างเคลิบเคลิ้ม หายไปไหน มีความรับผิดชอบทางการเมืองหรือไม่
**ท้าตั้งกก.สอบได้ประโยชน์จะเลิกเล่นการเมือง
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายปาล์มแห่งชาติ กล่าวชี้แจงว่า เรารับภาระมาจากรัฐบาลชุดที่แล้วคือราคาปาล์มตกต่ำ หน้าที่ของเราคือ ยกราคาปาล์มสดให้เท่ากับที่อื่นๆ ที่เขาได้กำไร โดยจะทำให้ราคาผลปาล์มจาก 3 บาทเป็น 4-5 บาท นี่คือเป้าหมายที่ได้ดำเนินการพยายามประคับประคองสถานการณ์ สุดท้าเราก็ยกระดับราคาปาล์มสดขายได้สูงสุดถึง 10 บาท ส่วนการนำไปผลิตเป็นไบโอดีเซลนั้น รัฐบาลชุดนี้ก็ส่งเสริมให้ใช้พืชพลังงานอย่างจริงจัง ทั้งนี้ ยอมรับว่าในช่วงที่ผ่านมามีความผิดพลาดคือคำนวนปริมาณผลผลิตปาล์มน้ำมันผิด โดยคำนวนว่าต้นปี 53 น่าจะมากกว่าปี 52 แต่เมื่อไปตามดูสต๊อคมาถึงเดือนส.ค.53 ที่บอกว่ามีสัญญาณเตือนแล้วนั้น สต๊อดน้ำมันก็ยังอยู่ที่ 1.2แสนตัน โดยเอาไปทำไบโอดีเซล และเอาไปทำในอุตสาหกรรมอื่นด้วยแล้วก็ยังมีเหลืออยู่ในสต๊อคที่เพียงพอ แต่เมื่อมาเกิดปัญหาภัยธรรมชาติก่อนถึงพ.ย.-ธ.ค.เกิดภัยแล้งยาวนาน ทำให้ผลผลิตลดลงอย่างมาก กว่าจะรู้ตัวว่าจะได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศต้องใช้เวลา 6-7 เดือนเพื่อรอดูผลผลิต ต่อมามีน้ำท่วมโดยเฉพาะภาคใต้ ทำให้ผลผลิตตายหมด นี่คือความจริงที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมชาติที่มีความพลิกผัน และไม่ได้เกิดขึ้นกับประเทศไทยอย่างเดียว แต่ที่ประเทศอินโดนีเซีย และมาเลเซียก็คำนวนผิดเหมือนกัน ทำให้ราคาปาล์มในตลาดโลกสูงขึ้น
เมื่อเดือนธ.ค.ได้มีการกนป. โดยรมว.พาณิชย์ทำหนังสือว่าอาจมีปัญหาน้ำมันปาล์มที่จะใช้ในประเทศ เราคาดคะเนว่ามีน้ำมันปาล์มในสต๊อค 1.2 แสนตัน และคาดว่าผลผลิตในเดือนเดือนม.ค.-มี.ค. 54 จะออกเร็วและมีมาก แต่พอถึงสิ้นเดือนธ.ค.มีแค่ประมาณ 7 หมื่นตันเท่านั้น กระทรวงพาณิชย์เสนอนำเข้าน้ำมันปาล์ม 3หมื่นตันที่ประชุมจึงอนุมัติน้ำมันปาล์มจากต่างประเทศ ซึ่งยืนยันว่าไม่ได้นำเข้าทุกปี
ส่วนที่อ้างว่าไปนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบผิดสเป็คนั้น ถ้าย้อนไปดูในรัฐบาลสมัยนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ก็เป็นสเป็คเดียวกันคือ เป็นน้ำมันปาล์มแยกไขที่นำเข้ากว่า 3 หมื่นตันเช่นกัน ซึ่ง น้ำมันประเภทนี้ผ่านการแยกไขมาขั้นหนึ่งแล้ว แต่ไม่ได้แยกโดยสิ้นเชิง เพื่อประโยชน์ของคนที่ส่งออกในเรื่องภาษี แล้วเราต้องมาเข้าโรงงานแยกไขในประเทศไทยอีก เพราะคนไทยเห็นว่าเป็นวิธีที่ทำให้ต้นทุนถูกที่สุด
เราเห็นว่ากระทรวงพลังงานเริ่มผลิตไบโอดีเซลน้อยลง ซึ่งรวมดับสต๊อคของบริษัทในเครือที่จะผลิตไบโอดีเซลอาจให้ยืมได้ 5 พันตัน เราจึงสั่งให้รีบเอาน้ำมันส่วนนี้มาเพิ่ม รวมทั้งสั่งนำเข้าจากต่างประเทศอีก 3 หมื่นตัน ซึ่งต้องใช้เวลาเกือบครึ่งเดือนกว่าจะมาถึง จึงไม่ใช่เรื่องของการถ่วงเวลา แต่เป็นเรื่องของกระบวนการขนส่ง ส่วนที่ระบุว่าชาวสวนปาล์มมาเลเซียขายปาล์มสดได้ราคาดีกว่าของไทยนั้นก็เป็นเรื่องจริง เพราะขึ้นอยู่กับเปอร์เซ็นต์น้ำมันในเมล็ดปาล์มที่ขึ้นอยู่กับความดิบ สุกของผลปาล์ม มาตรการครั้งนี้เราก็บอกให้เกษตรกรขายปาล์มดิบให้ช้าลง เพื่อให้ได้เปอร์เซ็นต์น้ำมันสูงประมาณ 17 เปอร์เซ็นต์ จึงจะสกัดน้ำมันได้ดี
“ผมทำแค่ปลูกปาล์มสดแล้วก็ขายไม่ได้ไปเคยทำเกี่ยวกับโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม อยากเดิมพันได้เลยให้ตั้งกรรมการสอบ หรือเอาองค์กรอะไรมาก็ตาม หากผมมีรายได้จากปาล์มน้ำมันในกรณีนี้แม้เพียงบาทเดียว ขอยอมเลิกเล่นการเมืองตลอดชีวิต เอาอนาคตมาวัดกันเลย ที่กล่าวหาบริษัทพีเคนั้น ได้ตรวจสอบเอกสารรายงานจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งดีเอสไอ กระทรวงพาณิชย์ ให้ไปสอบคลังเก็บน้ำมันของโรงงานทุกแห่ง เพื่อหาว่าใครทำความผิด ก็ยังไม่พบ ที่อ้างว่าเขาสต๊อคน้ำมันกว่า 50,000ตัน คิดแล้วก็ต้องใช้เงินกว่า 7,000 ล้านบาทถือเป็นเงินลงทุนที่เยอะมาก ดังนั้น ยืนยันว่า ไม่ว่าจะเป็นบริษัทพีเคหรือบริษัทใดก็ตามถ้าทำผิดก็ต้องดำเนินคดี” นายสุเทพกล่าว
**มาร์ค ปัดขยิบตาขึ้นราคาเอื้อพวกพ้อง
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า การที่ตนกล่าวในรายการเชื่อมั่นประเทศไทยนั้นเป็นการพูดตามข้อเท็จจริงช่วงที่พูดเพราะรัฐบาลกำลังเร่งแก้ปัญหาการพยายามลดต้นทุนราคาสินตค้า ทำให้ต้องพูดสิ้นค้าหลายประภท ยอมรับว่าเป็นเรื่องยากที่จะบังคับให้ผู้ประกอบการขายขาดทุน ไม่ได้มีจุดประสงค์ให้กลไกลตลาดเสียหาย และพูดตรงไปตรงมา ไม่ดี้อะไรแฝง หรือส่งสัญญาณใดๆ กรณีที่กล่าวหาเรื่องน้ำมันหาย ถ้ามีการพิสูจน์ได้ว่าหายจริงก็ไม่ต้องห่วงเพราะมีหน่วยงาน ดีเอสไอ ตรวจสอบอยู่แล้ว ขอย้ำว่า ตนมีความบริสุทธิ์ใจไม่มีผลประโยชน์ใดๆ ส่วนที่กล่าวหาว่าตนวางแผนสมคบให้มีปัญหา ยืนยันได้ว่าไม่ใช่ และถ้าเห็นว่าอะไรไม่ถูกต้องก็ยังมีหน่วยงานอื่นๆตรวจสอบต่อไป
ด้านนางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ ชี้แจงว่า สาเหตุที่น้ำมันปาล์มหายไปเป็นเพร้ำมันที่นำเข้าเป้นน้ำมันดิบชนิดแยกไขบางส่วน จะต้องเอาไขออกประมาณ 15% คงเหลือไขอยู่ประมาณ 30% ที่จะต้องผ่านกระบวนการกลั่นกำจัดสี และกลิ่นทำให้สูญเสียน้ำมันบางส่วนไป ทำให้ได้น้ำปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ประมาณ 31.8 ล้านลิตร เพื่อนำไปทำอุตสาหกรรม แต่ถ้านำไปบริโภคะต้องมีการแยกไขส่วนที่เหลือจนได้น้ำมันพืช72%จำนวน 22.6ล้านลิตร ส่วนการปรับราคาจำหน่ายสูงขึ้นลิตรละ47 บาท เป็นการคำนวณจากต้นทุนนำเข้าช่วงนั้น ที่ 39.57 บาท โดยกระทรวงได้คุมราคาจำหน่ายที่ 47บาท มีส่วนต่างต้นทุน3บาท ผู้ประกอบการจะต้องรับภาระประมาณ 90ล้านบาท