“น.อ.อนุดิษฐ์” อภิปรายสวาปาม ซัด “สุเทพ” ถ่วงเวลาน้ำเข้าน้ำมันเอื้อนายทุน ซัด “มาร์ค” สมรู้ร่วมคิด ด้าน “เทือก” แจง อ้างภัยธรรมชาติทำคำนวณผลผลิตพลาด ยันใช้สเปกเดียวกับสมัย “เจ๊มิ่ง” ปัดถ่วงเวลา อ้างสั่งของมาช้า ท้าตั้ง กก.สอบเอี่ยว บ.น้ำมัน ลั่นถ้าได้แม้แต่บาทเดียวขอเลิกเล่นการเมืองตลอดชีวิต “มาร์ค” ปัดสมคบคิด
วันนี้ (15 มี.ค.) ที่รัฐสภา การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย อภิปรายเรื่องการทุจริตปัญหาน้ำมันปาล์ม ว่า มี ขบวนการสวาปามน้ำมันปาล์มบนความเดือดร้อนของประชาชนทั้งประเทศ โดยปัญหาเกิดจากการบริหารผิดพลาด ล้มเหลว ของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ที่มาดูแลเรื่องน้ำมันปาล์มโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่ามีความรู้เรื่องน้ำมันปาล์มขั้นเทพ แต่มีการถ่วงเวลาในการสั่งนำเข้าน้ำมันปาล์มจากต่างประเทศ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการที่มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับตัวเองจนนำไปสู่การกอบโกยผลประโยชน์มหาศาล
น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวว่า คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ได้มีมติครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 ธ.ค.53 ให้นำเข้าน้ำมันปาล์ม 3 หมื่นตัน แต่ นายสุเทพ ในฐานะที่นั่งเป็นประธานกนป.กลับไม่ยอมสั่งให้ดำเนินการ กลับยื้อเวลาไว้นานถึง 20 วัน ทำให้ประชาชนสงสัยว่าจงใจยื้อเวลาเพื่อให้น้ำมันปาล์มขาดตลาด และปั่นราคาให้สูงขึ้นเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับ มิสเตอร์ พีเค ซึ่งเป็นเจ้าของสต๊อกน้ำมันรายใหญ่รายเดียวที่มีสต๊อกน้ำมันกว่า 6.3 หมื่นตัน ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวเปิดช่องให้มีการยักย้ายถ่ายเทน้ำมันออกจากสต๊อกหรือไม่
ซึ่งจากข้อมูลที่ตรวจสอบ พบว่า ในยามปกติราคาน้ำมันปาล์มในช่วงเดือนพฤศจิกายน ขวดละ 35 บาท แต่พอเริ่มมีวิกฤตราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น 49 บาท และในเดือนมกราคม สูงถึง 63.50 บาท ทำไมรัฐบาลไม่เอาน้ำมันในสต๊อกของมิสเตอร์พีเค ซึ่งเป็นรายใหญ่ที่สุดในสุราษฎร์ธานี มาบรรจุขวดขายให้ประชาชนก่อน
“ท่านจะยอมรับหรือไม่ว่ารู้สักสนิทสนมกับมิสเตอร์พีเค ผมจะไม่บอกว่าเวลาท่านกลับสุราษฎร์ คนๆ นี้มารับหรือไม่ แต่มั่นใจว่าท่านต้องรู้จัก และทำกำไรให้เป็นพันล้านบาทจากการดึงเวลา ทั้งที่รู้ว่าประชาชนประสบปัญหาขาดแคลนอย่างหนัก แต่ท่านกลับเฉยให้คนกลุ่มเล็กๆ ปั่นราคา กักตุนการส่งออก”
นอกจากนี้ เมื่อการนำเข้าก็ยังมีการทุจริตแบบมีใบเสร็จ โดยมีการกำหนดสเปก โดย นายสุเทพ ได้สั่งนำเข้าน้ำมันดิบแบบแยกไข ซึ่งเป็นสเป็กพิเศษ ไม่มีมาตรฐานในโลก แต่ไปสั่งจากสิงคโปร์จำนวน 3 หมื่นตัน ซึ่งจะต้องบรรจุน้ำมันได้ 33 ล้านขวด แต่มีการสั่งน้ำมันพืชสำเร็จมาแล้วหยดกรดลงไป 1% เมื่อผ่านกระบวนการแยกกรดออกกลับเหลือน้ำมันบรรจุขวดได้ 22 ล้านขวด ซึ่งหายไปเกือบ 10 ล้านขวด อยากถามว่าหายไปอยู่ในมือใคร แต่เมื่อดีเอสไอได้ไปตรวจสอบสต๊อกน้ำมันจากโรงงานต่างๆ และได้สั่งอายัดน้ำมันของโรงงานหนึ่งจำนวน 1,400 ตัน แต่เมื่อนายกฯไปตรวจถึงโรงงานก็มีคำสั่งว่าเป็นการอายัดมิชอบ โดยอ้างว่ารัฐบาลมีการส่งคืนให้กับโรงงานจากการดึงมาใช้ก่อน 1,400 ตัน ตนตั้งข้อสงสัยว่าน้ำมัน 1,400 ตัน คือส่วนที่หายไปใน 10 ล้านขวดหรือไม่
นอกจากนี้ น.อ.อนุดิษฐ์ ยังอภิปรายไปถึงนายกรัฐมนตรี ว่า มีส่วนรู้เห็นสมคบคิดกันเพื่อประโยชน์ให้พวกพ้อง ปล่อยให้พรรคพวกระบายน้ำมันกันสนุกสนาน ด้วยการส่งสัญญาณในรายการเชื่อมั่นประชาชนว่ามีการตรึงราคาน้ำมันพืชมานานแล้ว โดยเฉพาะปาล์มน้ำมัน ทำให้สื่อไปตีความว่ารัฐบาลกำลังให้ขึ้นราคาน้ำมันปาล์ม จากนั้นน้ำมันปาล์มก็ล่องหนไปทันที
“นายกฯจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ เพราะเป็นคนมอบหมายให้นายสุเทพไปเป็นประธานกนป.และเป็นหัวหน้า ครม.ที่สามารถตัดสินใจในการอนุมัติต่างๆ ที่ กนป. และกระทรวงพาณิชย์เสนอพิจารณา และมีส่วนร่วมในการทำให้เกิดความปั่นป่วน สนับสนุนให้ก่อความผิด และความเดือดร้อนของประชาชน ความบกพร่อง ผิดพลาดร้ายแรงของนายกฯ ทำให้กระทบต่อประเทศไทยในฐานะผู้ผลิตน้ำมันปาล์มอันดับ 3 ของโลก ปล่อยให้มีความทุจริต หรือเจตนา โดยอาศัยความขาดแคลนมาหาผลประโยชน์ ในอดีตนายกฯเคยถามหาสำนึกของนักการเมือง โดยระบุว่า ไม่จำเป็นต้องผิดกฎหมาย แค่บกพร่องผิดพลาดก็ต้องแสดงความรับผิดชอบทางการเมือง เวลานี้นายกฯบริหารราชการบกพร่อง ร้ายแรง เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ถามว่าสำนึกนักการเมืองที่เคยกล่าวไว้อย่างเคลิบเคลิ้ม หายไปไหน มีความรับผิดชอบทางการเมืองหรือไม่” น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าว
นายสุเทพ กล่าวชี้แจงว่า เรารับภาระมาจากรัฐบาลชุดที่แล้ว คือ ราคาปาล์มตกต่ำ หน้าที่ของเรา คือ ยกราคาปาล์มสดให้เท่ากับที่อื่นๆ ที่เขาได้กำไร โดยจะทำให้ราคาผลปาล์มจาก 3 บาท เป็น 4-5 บาท นี่คือ เป้าหมายที่ได้ดำเนินการพยายามประคับประคองสถานการณ์ สุดท้าเราก็ยกระดับราคาปาล์มสดขายได้สูงสุดถึง 10 บาท ส่วนการนำไปผลิตเป็นไบโอดีเซลนั้น รัฐบาลชุดนี้ก็ส่งเสริมให้ใช้พืชพลังงานอย่างจริงจัง ทั้งนี้ ยอมรับว่า ในช่วงที่ผ่านมามีความผิดพลาด คือ คำนวณปริมาณผลผลิตปาล์มน้ำมันผิด โดยคำนวณว่า ต้นปี 53 น่าจะมากกว่าปี 52 แต่เมื่อไปตามดูสต๊อกมาถึงเดือน ส.ค.53 ที่บอกว่ามีสัญญาณเตือนแล้วนั้น สต๊อกน้ำมันก็ยังอยู่ที่ 1.2 แสนตัน โดยเอาไปทำไบโอดีเซล และเอาไปทำในอุตสาหกรรมอื่นด้วยแล้วก็ยังมีเหลืออยู่ในสต๊อกที่เพียงพอ แต่เมื่อมาเกิดปัญหาภัยธรรมชาติก่อนถึง พ.ย.-ธ.ค.เกิดภัยแล้งยาวนาน ทำให้ผลผลิตลดลงอย่างมาก กว่าจะรู้ตัวว่าจะได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศต้องใช้เวลา 6-7 เดือนเพื่อรอดูผลผลิต ต่อมามีน้ำท่วมโดยเฉพาะภาคใต้ ทำให้ผลผลิตตายหมด นี่คือความจริงที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมชาติที่มีความพลิกผัน และไม่ได้เกิดขึ้นกับประเทศไทยอย่างเดียว แต่ที่ประเทศอินโดนีเซีย และมาเลเซียก็คำนวนผิดเหมือนกัน ทำให้ราคาปาล์มในตลาดโลกสูงขึ้น
นายสุเทพ กล่าวต่อว่า เมื่อเดือน ธ.ค.ได้มีการ กนป.โดย รมว.พาณิชย์ ทำหนังสือว่าอาจมีปัญหาน้ำมันปาล์มที่จะใช้ในประเทศ เราคาดคะเนว่ามีน้ำมันปาล์มในสต๊อค 1.2 แสนตัน และคาดว่าผลผลิตในเดือนเดือน ม.ค.-มี.ค.54 จะออกเร็วและมีมาก แต่พอถึงสิ้นเดือนธ.ค.มีแค่ประมาณ 7 หมื่นตันเท่านั้น กระทรวงพาณิชย์เสนอนำเข้าน้ำมันปาล์ม 3 หมื่นตัน ที่ประชุมจึงอนุมัติน้ำมันปาล์มจากต่างประเทศ ซึ่งยืนยันว่าไม่ได้นำเข้าทุกปี
ส่วนที่อ้างว่าไปนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบผิดสเปกนั้น ถ้าย้อนไปดูในรัฐบาลสมัย นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ก็เป็นสเปกเดียวกัน คือ เป็นน้ำมันปาล์แยกไขที่นำเข้ากว่า 3 หมื่นตันเช่นกัน ซึ่ง น้ำมันประเภทนี้ผ่านการแยกไขมาขั้นหนึ่งแล้ว แต่ไม่ได้แยกโดยสิ้นเชิง เพื่อประโยชน์ของคนที่ส่งออกในเรื่องภาษี แล้วเราต้องมาเข้าโรงงานแยกไขในประเทศไทยอีก เพราะคนไทยเห็นว่าเป็นวิธีที่ทำให้ต้นทุนถูกที่สุด
นายสุเทพ กล่าวว่า เราเห็นว่ากระทรวงพลังงานเริ่มผลิตไบโอดีเซลน้อยลง ซึ่งรวมกับสต๊อกของบริษัทในเครือที่จะผลิตไบโอดีเซลอาจให้ยืมได้ 5 พันตัน เราจึงสั่งให้รีบเอาน้ำมันส่วนนี้มาเพิ่ม รวมทั้งสั่งนำเข้าจากต่างประเทศอีก 3 หมื่นตัน ซึ่งต้องใช้เวลาเกือบครึ่งเดือนกว่าจะมาถึง จึงไม่ใช่เรื่องของการถ่วงเวลา แต่เป็นเรื่องของกระบวนการขนส่ง ส่วนที่ระบุว่าชาวสวนปาล์มมาเลเซียขายปาล์มสดได้ราคาดีกว่าของไทยนั้นก็เป็นเรื่องจริง เพราะขึ้นอยู่กับเปอร์เซ็นต์น้ำมันในเมล็ดปาล์มที่ขึ้นอยู่กับความดิบ สุกของผลปาล์ม มาตรการครั้งนี้เราก็บอกให้เกษตรกรขายปาล์มดิบให้ช้าลง เพื่อให้ได้เปอร์เซ็นต์น้ำมันสูงประมาณ 17 เปอร์เซ็นต์ จึงจะสกัดน้ำมันได้ดี
“ผมทำแค่ปลูกปาล์มสดแล้วก็ขายไม่ได้ไปเคยทำเกี่ยวกับโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม อยากเดิมพันได้เลยให้ตั้งกรรมการสอบ หรือเอาองค์กรอะไรมาก็ตาม หากผมมีรายได้จากปาล์มน้ำมันในกรณีนี้แม้เพียงบาทเดียว ขอยอมเลิกเล่นการเมืองตลอดชีวิต เอาอนาคตมาวัดกันเลย ที่กล่าวหาบริษัทพีเคนั้น ได้ตรวจสอบเอกสารรายงานจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งดีเอสไอ กระทรวงพาณิชย์ ให้ไปสอบคลังเก็บน้ำมันของโรงงานทุกแห่ง เพื่อหาว่าใครทำความผิด ก็ยังไม่พบ ที่อ้างว่าเขาสต๊อคน้ำมันกว่า 50,000 ตัน คิดแล้วก็ต้องใช้เงินกว่า 7,000 ล้านบาทถือเป็นเงินลงทุนที่เยอะมาก ดังนั้น ยืนยันว่า ไม่ว่าจะเป็นบริษัทพีเคหรือบริษัทใดก็ตามถ้าทำผิดก็ต้องดำเนินคดี” นายสุเทพ กล่าว
ด้าน นายอภิสิทธิ์ ชี้แจงว่า การที่ตนกล่าวในรายการเชื่อมั่นประเทศไทยนั้นเป็นการพูดตามข้อเท็จจริงช่วง ที่พูดเพราะรัฐบาลกำลังเร่งแก้ปัญหาการพยายามลดต้นทุนราคาสินค้า ทำให้ต้องพูดสิ้นค้าหลายประภท ยอมรับว่าเป็นเรื่องยากที่จะบังคับให้ผู้ประกอบการขายขาดทุน ไม่ได้มีจุดประสงค์ให้กลไกลตลาดเสียหาย และพูดตรงไปตรงมา ไม่ดี้อะไรแฝง หรือส่งสัญญาณใดๆ กรณีที่กล่าวหาเรื่องน้ำมันหาย ถ้ามีการพิสูจน์ได้ว่าหายจริงก็ไม่ต้องห่วงเพราะมีหน่วยงาน ดีเอสไอ ตรวจสอบอยู่แล้ว ขอย้ำว่า ตนมีความบริสุทธิ์ใจไม่มีผลประโยชน์ใดๆ ส่วนที่กล่าวหาว่าตนวางแผนสมคบให้มีปัญหา ยืนยันได้ว่าไม่ใช่ และถ้าเห็นว่าอะไรไม่ถูกต้องก็ยังมีหน่วยงานอื่นๆตรวจสอบต่อไป
ด้าน นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ ชี้แจงว่า สาเหตุที่น้ำมันปาล์มหายไปเป็นเพราะน้ำมันที่นำเข้าเป็นน้ำมันดิบชนิดแยกไขบางส่วน จะต้องเอาไขออกประมาณ 15% คงเหลือไขอยู่ประมาณ 30% ที่จะต้องผ่านกระบวนการกลั่นกำจัดสี และกลิ่นทำให้สูญเสียน้ำมันบางส่วนไป ทำให้ได้น้ำปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ประมาณ 31.8 ล้านลิตร เพื่อนำไปทำอุตสาหกรรม แต่ถ้านำไปบริโภคจะต้องมีการแยกไขส่วนที่เหลือจนได้น้ำมันพืช 72% จำนวน 22.6 ล้านลิตร ส่วนการปรับราคาจำหน่ายสูงขึ้นลิตรละ 47 บาท เป็นการคำนวณจากต้นทุนนำเข้าช่วงนั้น ที่ 39.57 บาท โดยกระทรวงได้คุมราคาจำหน่ายที่ 47บาท มีส่วนต่างต้นทุน 3 บาท ผู้ประกอบการจะต้องรับภาระประมาณ 90 ล้านบาท