การประชุมสภาผู้แทนราษฎร วานนี้(15 มี.ค.) ในญัตติการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรี เป็นรายบุคคล เริ่มด้วย นายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายว่า รัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี บริหารงานล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดิน รัฐบาลทุจริตในหน้าที่ เปิดช่องให้มีการทุจริต คอรัปชั่นและล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาความมั่นคง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ขณะที่นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย ในฐานะหัวหน้าทีมอภิปรายฝ่ายค้าน เป็นผู้อภิปรายคนแรกว่า รัฐบาลมีล้มเหลวในการบริหาราชการแผ่นดิน ก่อให้เกิดการกู้หนี้ยืมสิน สร้างปัญหาข้าวยากหมากแพงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเฉพาะประเด็นปาล์มน้ำมัน ที่มีผลต่อประชาชนอย่างมาก และมีผลกระทบต่อกองทุนน้ำมันด้วย เหลือไม่ถึง 4,800 ล้านบาท ซึ่งผลที่จะตามมาก็คือน้ำมันดีเซล จะเข้าสู่ภาวะวิกฤต โดยน้ำมันปาล์มลดระดับอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือน ก.ย.2553 และสงสัยว่าทำไมให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ มั่นคงดูแลแทนที่จะเป็นรองนายกฯ ด้านเศรษฐกิจ
ทั้งนี้น้ำมันปาล์มวิกฤตสุดเดือน ธ.ค. แต่มีการสั่งน้ำเข้าตอนเดือน ม.ค. ประเทศไทยเป็นผู้ปลูกปาล์มรายใหญ่ของโลก และ ทำไมรัฐบาลไทยกลับนำเข้าน้ำมันปาล์มจากพ่อค้าคนกลางจากสิงคโปร์ แทนที่จะเป็นพ่อค้าจากอินโอนีเซีย หรือ มาเลเซีย ที่เป็นผู้ปลูกปาล์มมากกว่า
“ทำไมรัฐบาลอนุมัติขายน้ำมันปาล์ม 47 บาท ราคาส่วนต่าง 30%ตรงนี้ใครได้ประโยชน์ มีผลกระทบต่อการครองชีพ เหมือนการถูกเรียกรับเงินจากรัฐบาล เพราะปี 2553 เราส่งออกปาล์มถึง 2.3 แสนตัน แล้วอยู่ๆ น้ำมันปาล์มหายไปไหน เพราะต้องมีการนำเข้าถึง 6หมื่นตัน และมีการผลิตได้ 44 ล้านขวด แทนที่จะเป็น 60 ล้านขวด อีก 14 ล้านขวดหายไปไหน นายกฯบริหารไม่เป็นหรือปล้นประชาชน”นายมิ่งขวัญกล่าว
นายมิ่งขวัญ กล่าวว่า วิกฤตน้ำมันปาล์มส่งผลถึงระบบพลังงานของชาติ โดยเฉพาะกระทบต่อกองทุนน้ำมัน กระทบต่อราคาน้ำมันดีเซล และไม่มีเงินอุดหนุนเพื่อตรึงราคาก๊าซแอลพีจี ที่จะเพิ่มขึ้น ซึ่งหากรัฐบาลจะตรึงไว้ต้องไปกู้หนี้มาชดเชยและตอนนี้กองทุนน้ำมันเงินเหลือแค่ 4,800 ล้านบาท ใช้ได้เพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น
นายกฯตรึงน้ำมันดีเซลให้อยู่ในราคาลิตรละ 30 บาท โดยจ่ายวันละ 300 ล้านบาท หากเป็นแบบนี้เชื่อว่ารัฐบาลจะเลือกชักดาบไม่ใข้หนี้และราคาน้ำมันดีเซลจะสูงกว่า 30 บาทแน่นอน
“รัฐบาลอ่อนด้อยในการบริหารมาก เพราะทั้งในตอนที่ตนเองเป็น รัฐมนตรีพาณิชย์ น้ำมันดิบราคาบาเรลละ 150 เหรียญสหรัฐ ยังสามารถประคองได้ราคาลิตรละ 35 บาท แต่ของรัฐบาลอภิสิทธิ์ราคาบาเรลละ 70เหรียญเท่านั้น แต่ราคาน้ำมันกลับแพงขึ้นทุกวัน ถ้าต้องการตรึงราคาอีกรับรองเป็นหนี้แน่นอน และเคยได้น้ำมันต่ำสุด 32 เหรียญ แต่กลับไม่คืนความสุขให้กับประชาชน เพราะถ้าตนเองเป็นรัฐมนตรีจะขายน้ำมันราคาลิตรละ 15 บาทเท่านั้น เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะรัฐบาลอภิสิทธิ์ขึ้นภาษีสรรพสามิตรทำให้ข้าวของขึ้นราคา”
ทั้งหมดนี้สรุปได้ว่า นายกฯมีความอ่อนด้อยและล้มเหลวในการบริหาร โดยเฉพาะเรื่องพลังงานที่เป็นต้นทุนชีวิตของประชาชนและระบบเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้คนไทยเผชิญกับภาวะข้าวยากหมากแพงในประวัติศาสตร์
นายมิ่งขวัญ กล่าวว่านอกจากนี้รัฐบาลยังล้มเหลวเรื่องการปัญหาราคาข้าว ที่รัฐบาลมีการปรับราคาประกันเป็น 1.1 หมื่นบาท ทั้งที่ราคาที่ชาวบ้านขายได้ 6,000-7,000 พันบาท บางจังหวัดได้ 5,700 บาท ทำให้ชาวบ้านเอาข้าวมาเทที่ถนนก่อนที่รัฐบาลจะแถลงนโยบาย3วันเท่านั้น ถามว่าอีก 4,000-5,000 บาทหายไปไหน เพราะในสมัยรัฐบาลสมัคร มีการรับจำนำ 1.4 หมื่นบาท โดยราคาขายจริงมากกว่า 1.4 หมื่นบาท สถานการณ์แบบนี้พ่อค้าคนกลางกดราคาใช่หรือไม่
อีกทั้งยังมีปัญหาสต็อกลมที่ นางพรทิวา นาคาศรัย รมว.พาณิชย์บอกว่ามี 6 ล้านตัน แต่กลับไม่มีข้าวจริง และการประกาศขายข้าว 4 ล้านตัน ก่อนการเก็บเกี่ยวมีวาระซ่อนเร้นหรือไม่
นายกรัฐมนตรี ยังเข้าไปแทรกแซงองค์กรในกระบวนการยุติธรรมที่ดำเนินคดีผู้กระทำผิดในคดีอาญาในข้อหาแสดงภาษีอันเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี กรณีบริษัทฟิลิป มอร์ริสไทยแลนด์ ลิมิเต็ด ซึ่งทำให้รัฐเสียประโยชน์ในการจัดเก็บภาษีเป็นเงิน 68,881,394,278.69 บาท ทำให้รัฐเสียหาย เรื่องนี้ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง ประธานส.ส.พรรคเพื่อไทยจะเป็นผู้อภิปราย ซึ่งหากนายกฯตอบเรื่องนี้ไม่ได้ต้องลาออกกลางสภาฯ
พร้อมทั้งระบุว่าในการอภิปรายครั้งนี้จะมีการอภิปรายการทุจริตในหลาย ๆ เรื่อง ทั้ง การทุจริต รถเมล์เอ็นจีวี หวยกาชาด รวมถึงเรื่องการออกพ.ร.ก.เงินกู้ไทยเข้มแข็ง 400,000 ล้าน ซึ่งเป็นการเบี่ยงเบนการใช้งบประมาณเพิ่มเติมที่ใช้เงินเกินงบประมาณ ซึ่งถือว่าเป็นการทำนิติกรรมอำพราง นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่นายกฯสั่งสลายม๊อบ ซึ่งเป็นการฆ่าประชาชน ใครทำอะไรไว้ต้องรับ สิ่งเหล่านั้นต้องได้รับการเปิดเผย
สุดท้ายนี้อยากฝากบอกนายกฯ และขึ้นภาพฉายบนจอ ว่า “หมดเวลาก่อหนี้ หมดเวลาอยู่ต่อไป และหมดเวลาของนายอภิสิทธิ์แล้ว”
**มาร์คท้า“เผาไทย”หาเสียงยกเลิกนโยบายปชป.
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ลุกขึ้นชี้แจงว่า รู้สึกแปลกใจไม่นึกว่านายมิ่งขวัญจะมีความแค้นกับตนขนาดนี้ ข้อมูลที่ยกมามีการตกแต่งตัดต่อ ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ไม่นำข้อมูลข้อเท็จจริงทุกอย่างมาพูดให้ครบถ้วน ดีที่ท่านเสนอตัวเป็นนายกฯจะได้มีการเปรียบเทียบกันถึงวิสัยทัศน์ของคนที่จะมาเป็นผู้นำว่าท่านคิดอย่างไรกับเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองที่ผ่านมา การโจมตีว่ารัฐบาลนี้ก่อแต่หนี้และกู้เงิน ไม่รู้วิธีหาเงิน ทำไมไม่เอาตัวเลขการส่งออกและการท่องเที่ยวช่วงปี 53 ที่เป็นตัวเลขสูงสุดในประวัติศาสตร์การบริหารประเทศ ต่างจากการบริหารธุรกิจ ดุลบัญชีของประเทศจะไปคิดแบบธุรกิจไม่ได้ เมื่อประเทศประสบปัญหา ประชาชนเดือดร้อน เราก็ต้องยอมเป็นหนี้ และยืนยันว่าตั้งแต่ปลายปี 51 จนถึงขณะนี้สถานะการเงินการคลังของประเทศไม่ได้แย่ลง ที่เรากู้มาก็เป็นการสร้างงาน สร้างรายได้ สร้างอาชีพให้ประชาชน การที่รัฐบาลทำอย่างนี้ผิดหรือ และสิ่งสุดท้ายที่จะดูคือหนี้สาธารณะเมื่อเทียบกับรายได้มวลรวมของประเทศ ซึ่งตนมีตัวเลขว่าในสมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในยุคที่พวกท่านเชิดชูว่ารุ่งเรืองที่สุดมีหนี้สาธารณะเทียบกับจีดีพีอยู่ที่ร้อยละ 42.75 ขณะที่รัฐบาลชุดนี้ตัวเลขล่าสุดเมื่อเดือนม.ค.54 อยู่ที่ร้อยละ 41.94 ซึ่งฐานะประเทศมั่นคงกว่าท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจจากทั่วโลก ในขณะที่รัฐบาลที่พวกท่านบอกว่าบริหารได้วิเศษสุด เป็นช่วงที่ไม่ได้เจอวิกฤตเลย
ถ้าบ้านเมืองนี้กำลังจะล่มสลายจริงอย่างที่ท่านพูดความน่าเชื่อถือของประเทศก็คงไม่มี แต่วันนี้สถาบันจัดอัดนับเครดิตที่สากลให้การยอมรับได้ปรับอันดับประเทศไทยดีขึ้น ซึ่งนายมิ่งขวัญทราบดีแต่ไม่พูด ถ้าการบริหารของรัฐบาลชุดนี้ทำให้ประเทศหายนะจริงตนยินดีรับผิดชอบ แต่มั่นใจว่าแนวทางการแก้ปัญหาและการบริหารประเทศชาติให้มั่นคงทางเศรษฐกิจ ขณะนี้ยังเป็นแนวทางที่เราจะเดินต่อไปได้ กรณีปัญหาการจัดเก็บภาษีบุหรี่ต่างประเทศนายมิ่งขวัญก็ทำธุรกิจมาก่อนน่าจะรู้ว่าไม่สามารถเอาตัวเลขการนำเข้าของร้านค้าปลอดภาษีกับผู้สั่งนำเข้าสินค้ามาขายปกติมาเทียบกันได้ นายมิ่งขวัญท้าว่าถ้าตนตอบไม่ได้ต้องลาออก ตนจะตอบในช่วงต่อไป ถ้าชี้แจงได้ไม่ขอให้นายมิ่งขวัญลาออกให้อยู่เพื่อแข่งกับตนต่อไป แต่ยืนยันได้ว่าไม่มีการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมใด ๆ ที่สั่งเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นเรื่อง WTO ไม่ใช่เรื่องในประเทศอย่าจับมาชนกัน
สำหรับเรื่องข้าวรู้สึกว่านายมิ่งขวัญจะมั่นใจในนโยบายที่เคยทำมาว่าประสบผลสำเร็จ แต่ตนมีรายงานข้อมูลยืนยันว่าในยุคทองขณะนั้นเกิดจากภาวะตลาดโลกอันเนื่องมาจากความต้องการของทั่วโลก รวมถึงการเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ ทำให้เกิดวิกฤตขาดแคลนอาหารหลายประเทศต้องห้ามส่งออกข้าว ดังนั้นใครจะซื้อก็ต้องวิ่งมาซื้อที่เรา ถามเป็นฝีมือของท่านหรือที่ทำให้ราคาข้าวทั่วโลกสูงขึ้นอย่างนี้ วันนี้พร้อมจะสู้เมื่อถึงการเลือกตั้งเมื่อไหร่ พรรคประชาธิปัตย์ยังยืนยันที่จะประกาศนโยบายประกันรายได้ พรรคท่านประกาศไปเลยว่าไม่เอา แล้วดูว่าประชาชนจะเลือกใคร เพราะโครงการจำนำข้าวของพวกท่านเป็นตัวบิดเบือนกลไกราคาอย่างแท้จริง ซื้อแพงขายขาดทุน ตอนที่เป็นรมว.พาณิชย์ทำให้เกิดความเสียหายมาก มีการเก็บไว้ในสต๊อคกว่า 2 ล้านตัน แต่สุดท้ายท่านเก็งตลาดผิด ราคาข้าวตก ซึ่งตนเคยอภิปรายสมัยเป็นฝ่ายค้านว่าคนที่ตัดสินใจท่านได้ดีที่สุดคือคนในรัฐบาลท่านเอง โดยนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯขณะนั้น ได้กล่าวตำหนิท่านกลางสภาต้อนอภิปรายไม่ไว้วางใจ และสุดท้ายก็ปลดท่านออกจากตำแหน่ง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ด้านพลังงานก็แปลกใจว่าทำไมไม่อภิปรายรมว.พลังงาน แต่ก็เข้าใจในฐานะที่ดูแลนโยบายที่บอกว่าตนจะทำให้กองทุนน้ำมันติดลบแต่ ท่านลืมแล้วหรือประวัติกองทุนน้ำมันติดลบเกือบ 9 หมื่นล้านบาทเกิดในสมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ จนรัฐบาลพล.อ.สุรยุธท์ จุลานนท์ ต้องคอยใช้หนี้ให้ จนตัวเลขกลับมาเป็นบวกได้ ยืนยันในหลักการบริหารของตนว่าไม่ต้องการให้กองทุนน้ำมันติดลบ ยังยึดหลักการบริหารที่ว่าช่วงไหนน้ำมันดิบราคาแพงเราก็ยอมชดเชย แต่เมื่อราคาถูกลงต้องจัดเก็บเข้ากองทุน เพื่อจะได้เอาไว้ชดเชยในช่วงแพง ไม่ใช่จะจ่ายชดเชยอย่างเดียว นั่นไม่ใช่การช่วย แต่เป็นการบริหารโดยไม่มีความรับผิดชอบ และที่รัฐบาลนี้ตรึงราคาเบนซิน แต่ชดเชยดีเซลก็เป็นการช่วยคนจนและภาคการเกษตร มั่นใจว่าจะตรึงได้จนถึงสิ้นเดือนเม.ย.นี้แน่ โดยอาศัยการบริหารกองทุน และปรับระบบการจัดเก็บภาษีอีกเล็กน้อย เพราะถ้าตนไม่สนใจก็คงปล่อยให้ขาดทุนเหมือนรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณไปแล้ว แต่ไม่ทำเพราะมีความรับผิดชอบ และตัดสินใจที่จะไม่ขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม จะไม่ปล่อยลอยตัวแอลพีจี ตนจะบริหารแบบของตนและจะนำนโยบายนี้ไปหาเสียงด้วย ก็ต้องไปถามประชาชนว่าจะเอาอย่างไร
ส่วนเรื่องปาล์มท่านบอกว่ารัฐบาลให้ขึ้นราคาจาก 38 บาทเป็น 47 บาท เหมือนปล้นประชาชนนั้น แต่ตนมีตัวเลขสมัยท่านเป็นรมว.พาณิชย์ชาวสวนปาล์มได้ราคา 5.90 บาท น้ำมันปาล์มดิบอยู่ที่ 35.98 บาท ตนมาเป็นนายกฯชาวสนปาล์มได้ 8.73 บาท น้ำมันปาล์มดิบขึ้นไป 51.48 บาท ต้นทุนห่างกันเยอะมาก แต่สมัยตนให้ขายน้ำมันพืชปาล์มขวดละ 47 บาท ขณะที่สมัยท่าน 47.50 บาท ใครกันแน่ที่ปล้น ใครกันที่บริหารไม่เป็น ดังนั้นข้อมูลที่นายมิ่งขวัญเสนอมานี้เป็นการตัดต่อ ตัดตอน แต่งเติม แต่ตนเอาความจริงมาพูดก็หวังว่าจะไม่เพิ่มความแค้นให้ท่านมากขึ้น.
ขณะที่นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย ในฐานะหัวหน้าทีมอภิปรายฝ่ายค้าน เป็นผู้อภิปรายคนแรกว่า รัฐบาลมีล้มเหลวในการบริหาราชการแผ่นดิน ก่อให้เกิดการกู้หนี้ยืมสิน สร้างปัญหาข้าวยากหมากแพงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเฉพาะประเด็นปาล์มน้ำมัน ที่มีผลต่อประชาชนอย่างมาก และมีผลกระทบต่อกองทุนน้ำมันด้วย เหลือไม่ถึง 4,800 ล้านบาท ซึ่งผลที่จะตามมาก็คือน้ำมันดีเซล จะเข้าสู่ภาวะวิกฤต โดยน้ำมันปาล์มลดระดับอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือน ก.ย.2553 และสงสัยว่าทำไมให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ มั่นคงดูแลแทนที่จะเป็นรองนายกฯ ด้านเศรษฐกิจ
ทั้งนี้น้ำมันปาล์มวิกฤตสุดเดือน ธ.ค. แต่มีการสั่งน้ำเข้าตอนเดือน ม.ค. ประเทศไทยเป็นผู้ปลูกปาล์มรายใหญ่ของโลก และ ทำไมรัฐบาลไทยกลับนำเข้าน้ำมันปาล์มจากพ่อค้าคนกลางจากสิงคโปร์ แทนที่จะเป็นพ่อค้าจากอินโอนีเซีย หรือ มาเลเซีย ที่เป็นผู้ปลูกปาล์มมากกว่า
“ทำไมรัฐบาลอนุมัติขายน้ำมันปาล์ม 47 บาท ราคาส่วนต่าง 30%ตรงนี้ใครได้ประโยชน์ มีผลกระทบต่อการครองชีพ เหมือนการถูกเรียกรับเงินจากรัฐบาล เพราะปี 2553 เราส่งออกปาล์มถึง 2.3 แสนตัน แล้วอยู่ๆ น้ำมันปาล์มหายไปไหน เพราะต้องมีการนำเข้าถึง 6หมื่นตัน และมีการผลิตได้ 44 ล้านขวด แทนที่จะเป็น 60 ล้านขวด อีก 14 ล้านขวดหายไปไหน นายกฯบริหารไม่เป็นหรือปล้นประชาชน”นายมิ่งขวัญกล่าว
นายมิ่งขวัญ กล่าวว่า วิกฤตน้ำมันปาล์มส่งผลถึงระบบพลังงานของชาติ โดยเฉพาะกระทบต่อกองทุนน้ำมัน กระทบต่อราคาน้ำมันดีเซล และไม่มีเงินอุดหนุนเพื่อตรึงราคาก๊าซแอลพีจี ที่จะเพิ่มขึ้น ซึ่งหากรัฐบาลจะตรึงไว้ต้องไปกู้หนี้มาชดเชยและตอนนี้กองทุนน้ำมันเงินเหลือแค่ 4,800 ล้านบาท ใช้ได้เพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น
นายกฯตรึงน้ำมันดีเซลให้อยู่ในราคาลิตรละ 30 บาท โดยจ่ายวันละ 300 ล้านบาท หากเป็นแบบนี้เชื่อว่ารัฐบาลจะเลือกชักดาบไม่ใข้หนี้และราคาน้ำมันดีเซลจะสูงกว่า 30 บาทแน่นอน
“รัฐบาลอ่อนด้อยในการบริหารมาก เพราะทั้งในตอนที่ตนเองเป็น รัฐมนตรีพาณิชย์ น้ำมันดิบราคาบาเรลละ 150 เหรียญสหรัฐ ยังสามารถประคองได้ราคาลิตรละ 35 บาท แต่ของรัฐบาลอภิสิทธิ์ราคาบาเรลละ 70เหรียญเท่านั้น แต่ราคาน้ำมันกลับแพงขึ้นทุกวัน ถ้าต้องการตรึงราคาอีกรับรองเป็นหนี้แน่นอน และเคยได้น้ำมันต่ำสุด 32 เหรียญ แต่กลับไม่คืนความสุขให้กับประชาชน เพราะถ้าตนเองเป็นรัฐมนตรีจะขายน้ำมันราคาลิตรละ 15 บาทเท่านั้น เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะรัฐบาลอภิสิทธิ์ขึ้นภาษีสรรพสามิตรทำให้ข้าวของขึ้นราคา”
ทั้งหมดนี้สรุปได้ว่า นายกฯมีความอ่อนด้อยและล้มเหลวในการบริหาร โดยเฉพาะเรื่องพลังงานที่เป็นต้นทุนชีวิตของประชาชนและระบบเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้คนไทยเผชิญกับภาวะข้าวยากหมากแพงในประวัติศาสตร์
นายมิ่งขวัญ กล่าวว่านอกจากนี้รัฐบาลยังล้มเหลวเรื่องการปัญหาราคาข้าว ที่รัฐบาลมีการปรับราคาประกันเป็น 1.1 หมื่นบาท ทั้งที่ราคาที่ชาวบ้านขายได้ 6,000-7,000 พันบาท บางจังหวัดได้ 5,700 บาท ทำให้ชาวบ้านเอาข้าวมาเทที่ถนนก่อนที่รัฐบาลจะแถลงนโยบาย3วันเท่านั้น ถามว่าอีก 4,000-5,000 บาทหายไปไหน เพราะในสมัยรัฐบาลสมัคร มีการรับจำนำ 1.4 หมื่นบาท โดยราคาขายจริงมากกว่า 1.4 หมื่นบาท สถานการณ์แบบนี้พ่อค้าคนกลางกดราคาใช่หรือไม่
อีกทั้งยังมีปัญหาสต็อกลมที่ นางพรทิวา นาคาศรัย รมว.พาณิชย์บอกว่ามี 6 ล้านตัน แต่กลับไม่มีข้าวจริง และการประกาศขายข้าว 4 ล้านตัน ก่อนการเก็บเกี่ยวมีวาระซ่อนเร้นหรือไม่
นายกรัฐมนตรี ยังเข้าไปแทรกแซงองค์กรในกระบวนการยุติธรรมที่ดำเนินคดีผู้กระทำผิดในคดีอาญาในข้อหาแสดงภาษีอันเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี กรณีบริษัทฟิลิป มอร์ริสไทยแลนด์ ลิมิเต็ด ซึ่งทำให้รัฐเสียประโยชน์ในการจัดเก็บภาษีเป็นเงิน 68,881,394,278.69 บาท ทำให้รัฐเสียหาย เรื่องนี้ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง ประธานส.ส.พรรคเพื่อไทยจะเป็นผู้อภิปราย ซึ่งหากนายกฯตอบเรื่องนี้ไม่ได้ต้องลาออกกลางสภาฯ
พร้อมทั้งระบุว่าในการอภิปรายครั้งนี้จะมีการอภิปรายการทุจริตในหลาย ๆ เรื่อง ทั้ง การทุจริต รถเมล์เอ็นจีวี หวยกาชาด รวมถึงเรื่องการออกพ.ร.ก.เงินกู้ไทยเข้มแข็ง 400,000 ล้าน ซึ่งเป็นการเบี่ยงเบนการใช้งบประมาณเพิ่มเติมที่ใช้เงินเกินงบประมาณ ซึ่งถือว่าเป็นการทำนิติกรรมอำพราง นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่นายกฯสั่งสลายม๊อบ ซึ่งเป็นการฆ่าประชาชน ใครทำอะไรไว้ต้องรับ สิ่งเหล่านั้นต้องได้รับการเปิดเผย
สุดท้ายนี้อยากฝากบอกนายกฯ และขึ้นภาพฉายบนจอ ว่า “หมดเวลาก่อหนี้ หมดเวลาอยู่ต่อไป และหมดเวลาของนายอภิสิทธิ์แล้ว”
**มาร์คท้า“เผาไทย”หาเสียงยกเลิกนโยบายปชป.
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ลุกขึ้นชี้แจงว่า รู้สึกแปลกใจไม่นึกว่านายมิ่งขวัญจะมีความแค้นกับตนขนาดนี้ ข้อมูลที่ยกมามีการตกแต่งตัดต่อ ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ไม่นำข้อมูลข้อเท็จจริงทุกอย่างมาพูดให้ครบถ้วน ดีที่ท่านเสนอตัวเป็นนายกฯจะได้มีการเปรียบเทียบกันถึงวิสัยทัศน์ของคนที่จะมาเป็นผู้นำว่าท่านคิดอย่างไรกับเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองที่ผ่านมา การโจมตีว่ารัฐบาลนี้ก่อแต่หนี้และกู้เงิน ไม่รู้วิธีหาเงิน ทำไมไม่เอาตัวเลขการส่งออกและการท่องเที่ยวช่วงปี 53 ที่เป็นตัวเลขสูงสุดในประวัติศาสตร์การบริหารประเทศ ต่างจากการบริหารธุรกิจ ดุลบัญชีของประเทศจะไปคิดแบบธุรกิจไม่ได้ เมื่อประเทศประสบปัญหา ประชาชนเดือดร้อน เราก็ต้องยอมเป็นหนี้ และยืนยันว่าตั้งแต่ปลายปี 51 จนถึงขณะนี้สถานะการเงินการคลังของประเทศไม่ได้แย่ลง ที่เรากู้มาก็เป็นการสร้างงาน สร้างรายได้ สร้างอาชีพให้ประชาชน การที่รัฐบาลทำอย่างนี้ผิดหรือ และสิ่งสุดท้ายที่จะดูคือหนี้สาธารณะเมื่อเทียบกับรายได้มวลรวมของประเทศ ซึ่งตนมีตัวเลขว่าในสมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในยุคที่พวกท่านเชิดชูว่ารุ่งเรืองที่สุดมีหนี้สาธารณะเทียบกับจีดีพีอยู่ที่ร้อยละ 42.75 ขณะที่รัฐบาลชุดนี้ตัวเลขล่าสุดเมื่อเดือนม.ค.54 อยู่ที่ร้อยละ 41.94 ซึ่งฐานะประเทศมั่นคงกว่าท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจจากทั่วโลก ในขณะที่รัฐบาลที่พวกท่านบอกว่าบริหารได้วิเศษสุด เป็นช่วงที่ไม่ได้เจอวิกฤตเลย
ถ้าบ้านเมืองนี้กำลังจะล่มสลายจริงอย่างที่ท่านพูดความน่าเชื่อถือของประเทศก็คงไม่มี แต่วันนี้สถาบันจัดอัดนับเครดิตที่สากลให้การยอมรับได้ปรับอันดับประเทศไทยดีขึ้น ซึ่งนายมิ่งขวัญทราบดีแต่ไม่พูด ถ้าการบริหารของรัฐบาลชุดนี้ทำให้ประเทศหายนะจริงตนยินดีรับผิดชอบ แต่มั่นใจว่าแนวทางการแก้ปัญหาและการบริหารประเทศชาติให้มั่นคงทางเศรษฐกิจ ขณะนี้ยังเป็นแนวทางที่เราจะเดินต่อไปได้ กรณีปัญหาการจัดเก็บภาษีบุหรี่ต่างประเทศนายมิ่งขวัญก็ทำธุรกิจมาก่อนน่าจะรู้ว่าไม่สามารถเอาตัวเลขการนำเข้าของร้านค้าปลอดภาษีกับผู้สั่งนำเข้าสินค้ามาขายปกติมาเทียบกันได้ นายมิ่งขวัญท้าว่าถ้าตนตอบไม่ได้ต้องลาออก ตนจะตอบในช่วงต่อไป ถ้าชี้แจงได้ไม่ขอให้นายมิ่งขวัญลาออกให้อยู่เพื่อแข่งกับตนต่อไป แต่ยืนยันได้ว่าไม่มีการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมใด ๆ ที่สั่งเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นเรื่อง WTO ไม่ใช่เรื่องในประเทศอย่าจับมาชนกัน
สำหรับเรื่องข้าวรู้สึกว่านายมิ่งขวัญจะมั่นใจในนโยบายที่เคยทำมาว่าประสบผลสำเร็จ แต่ตนมีรายงานข้อมูลยืนยันว่าในยุคทองขณะนั้นเกิดจากภาวะตลาดโลกอันเนื่องมาจากความต้องการของทั่วโลก รวมถึงการเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ ทำให้เกิดวิกฤตขาดแคลนอาหารหลายประเทศต้องห้ามส่งออกข้าว ดังนั้นใครจะซื้อก็ต้องวิ่งมาซื้อที่เรา ถามเป็นฝีมือของท่านหรือที่ทำให้ราคาข้าวทั่วโลกสูงขึ้นอย่างนี้ วันนี้พร้อมจะสู้เมื่อถึงการเลือกตั้งเมื่อไหร่ พรรคประชาธิปัตย์ยังยืนยันที่จะประกาศนโยบายประกันรายได้ พรรคท่านประกาศไปเลยว่าไม่เอา แล้วดูว่าประชาชนจะเลือกใคร เพราะโครงการจำนำข้าวของพวกท่านเป็นตัวบิดเบือนกลไกราคาอย่างแท้จริง ซื้อแพงขายขาดทุน ตอนที่เป็นรมว.พาณิชย์ทำให้เกิดความเสียหายมาก มีการเก็บไว้ในสต๊อคกว่า 2 ล้านตัน แต่สุดท้ายท่านเก็งตลาดผิด ราคาข้าวตก ซึ่งตนเคยอภิปรายสมัยเป็นฝ่ายค้านว่าคนที่ตัดสินใจท่านได้ดีที่สุดคือคนในรัฐบาลท่านเอง โดยนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯขณะนั้น ได้กล่าวตำหนิท่านกลางสภาต้อนอภิปรายไม่ไว้วางใจ และสุดท้ายก็ปลดท่านออกจากตำแหน่ง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ด้านพลังงานก็แปลกใจว่าทำไมไม่อภิปรายรมว.พลังงาน แต่ก็เข้าใจในฐานะที่ดูแลนโยบายที่บอกว่าตนจะทำให้กองทุนน้ำมันติดลบแต่ ท่านลืมแล้วหรือประวัติกองทุนน้ำมันติดลบเกือบ 9 หมื่นล้านบาทเกิดในสมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ จนรัฐบาลพล.อ.สุรยุธท์ จุลานนท์ ต้องคอยใช้หนี้ให้ จนตัวเลขกลับมาเป็นบวกได้ ยืนยันในหลักการบริหารของตนว่าไม่ต้องการให้กองทุนน้ำมันติดลบ ยังยึดหลักการบริหารที่ว่าช่วงไหนน้ำมันดิบราคาแพงเราก็ยอมชดเชย แต่เมื่อราคาถูกลงต้องจัดเก็บเข้ากองทุน เพื่อจะได้เอาไว้ชดเชยในช่วงแพง ไม่ใช่จะจ่ายชดเชยอย่างเดียว นั่นไม่ใช่การช่วย แต่เป็นการบริหารโดยไม่มีความรับผิดชอบ และที่รัฐบาลนี้ตรึงราคาเบนซิน แต่ชดเชยดีเซลก็เป็นการช่วยคนจนและภาคการเกษตร มั่นใจว่าจะตรึงได้จนถึงสิ้นเดือนเม.ย.นี้แน่ โดยอาศัยการบริหารกองทุน และปรับระบบการจัดเก็บภาษีอีกเล็กน้อย เพราะถ้าตนไม่สนใจก็คงปล่อยให้ขาดทุนเหมือนรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณไปแล้ว แต่ไม่ทำเพราะมีความรับผิดชอบ และตัดสินใจที่จะไม่ขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม จะไม่ปล่อยลอยตัวแอลพีจี ตนจะบริหารแบบของตนและจะนำนโยบายนี้ไปหาเสียงด้วย ก็ต้องไปถามประชาชนว่าจะเอาอย่างไร
ส่วนเรื่องปาล์มท่านบอกว่ารัฐบาลให้ขึ้นราคาจาก 38 บาทเป็น 47 บาท เหมือนปล้นประชาชนนั้น แต่ตนมีตัวเลขสมัยท่านเป็นรมว.พาณิชย์ชาวสวนปาล์มได้ราคา 5.90 บาท น้ำมันปาล์มดิบอยู่ที่ 35.98 บาท ตนมาเป็นนายกฯชาวสนปาล์มได้ 8.73 บาท น้ำมันปาล์มดิบขึ้นไป 51.48 บาท ต้นทุนห่างกันเยอะมาก แต่สมัยตนให้ขายน้ำมันพืชปาล์มขวดละ 47 บาท ขณะที่สมัยท่าน 47.50 บาท ใครกันแน่ที่ปล้น ใครกันที่บริหารไม่เป็น ดังนั้นข้อมูลที่นายมิ่งขวัญเสนอมานี้เป็นการตัดต่อ ตัดตอน แต่งเติม แต่ตนเอาความจริงมาพูดก็หวังว่าจะไม่เพิ่มความแค้นให้ท่านมากขึ้น.