ศึกซักฟอกยกแรก “เจ๊มิ่ง” ถล่ม “มาร์ค” อ่อนด้อยบริหารงาน ล้มเหลวแก้ปัญหาประชาชน มีวาระซ้อนเร้นทุกนโยบาย ทำข้าวยากหมากแพง กู้หนี้ยืมสินหนักที่สุดในประวัติศาสตร์ เจอ “อภิสิทธิ์” โต้กลับสุดแสบ ระบุที่ต้องกู้ก็เพราะนำมาฟื้นฟูเศรษฐกิจที่พรรคเพื่อไทยก่อเอาไว้ ยืนยันมีหนี้น้อยกว่ายุค “นช.แม้ว” ย้ำ การประกันราคาข้าวเป็นนโยบายที่ดีที่สุด ช่วยเกษตรกรให้มีรายได้เพิ่ม ท้าแน่จริงให้ประกาศยกเลิก ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ยันบริหารเศรษฐกิจถูกทางแล้ว ดีกว่าสมัย “ทักษิณ”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เช้าวันนี้ (15 มี.ค.) มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เป็นพิเศษ โดยมี นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม เพื่อพิจารณาวาระสำคัญคือ ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล โดยมีรัฐมนตรี 9 ท่านที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ประกอบด้วย 1.นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี 2. นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง 3.นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ 4.นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 5.นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 6.นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย 7.นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม 8.นายศุภชัย โพธิ์สุ รมช.เกษตรและสหกรณ์ 9.นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ
โดย นายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) เป็นผู้เสนอญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี
ต่อจากนั้น นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย ในฐานะหัวหน้าทีมอภิปรายฝ่ายค้าน ได้กล่าวอภิปรายเป็นคนแรก โดยกล่าวว่า รัฐบาลล้มเหลวในการบริหาราชการแผ่นดิน ก่อให้เกิดการกู้หนี้ยืมสิน สร้างปัญหาข้าวยากหมากแพงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเฉพาะประเด็นปาล์มน้ำมัน ที่มีผลต่อประชาชนอย่างมาก และมีผลกระทบต่อกองทุนน้ำมันด้วย โดยน้ำมันปาล์มลดระดับอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือน ก.ย.2553 และสงสัยว่า ทำไมให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงดูแลแทนที่จะเป็นรองนายกฯ ด้านเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ น้ำมันปาล์มวิกฤตสุดเดือน ธ.ค.แต่มีการสั่งน้ำเข้าตอนเดือน ม.ค.ประเทศไทยเป็นผู้ปลูกปาล์มรายใหญ่ของโลก และทำไมรัฐบาลไทยกลับนำเข้าน้ำมันปาล์มจากพ่อค้าคนกลางจากสิงคโปร์ แทนที่จะเป็นพ่อค้าจากอินโดนีเซีย หรือ มาเลเซีย ที่เป็นผู้ปลูกปาล์มมากกว่า
“ทำไมรัฐบาลอนุมัติขายน้ำมันปาล์ม 47 บาท ราคาส่วนต่าง 30% ตรงนี้ใครได้ประโยชน์ มีผลกระทบต่อการครองชีพ เหมือนการถูกเรียกรับเงินจากรัฐบาล เพราะปี 2553 เราส่งออกปาล์มถึง 2.3 แสนตัน แล้วอยู่ๆ น้ำมันปาล์มหายไปไหน เพราะต้องมีการนำเข้าถึง 6 หมื่นตัน และมีการผลิตได้ 44 ล้านขวด แทนที่จะเป็น 60 ล้านขวด อีก 14 ล้านขวดหายไปไหน นายกฯบริหารไม่เป็นหรือปล้นประชาชน” นายมิ่งขวัญ กล่าว
นายมิ่งขวัญ กล่าวว่า วิกฤตน้ำมันปาล์มส่งผลถึงระบบพลังงานของชาติ โดยเฉพาะกระทบต่อกองทุนน้ำมัน กระทบต่อราคาน้ำมันดีเซล และไม่มีเงินอุดหนุนเพื่อตรึงราคาก๊าซแอลพีจี ที่จะเพิ่มขึ้น ซึ่งหากรัฐบาลจะตรึงไว้ต้องไปกู้หนี้มาชดเชยและตอนนี้กองทุนน้ำมันเงินเหลือแค่ 4,800 ล้านบาท ใช้ได้เพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น
“นายกฯตรึงน้ำมันดีเซลให้อยู่ในราคาลิตรละ 30 บาท โดยจ่ายวันละ 300 ล้านบาท หากเป็นแบบนี้เชื่อว่ารัฐบาลจะเลือกชักดาบไม่ใช้หนี้และราคาน้ำมันดีเซลจะสูงกว่า 30 บาทแน่นอน”
นายมิ่งขวัญ กล่าวว่า รัฐบาลอ่อนด้อยในการบริหารมาก เพราะทั้งในตอนที่ตนเองเป็น รัฐมนตรีพาณิชย์ น้ำมันดิบราคาบาเรลละ 150 เหรียญสหรัฐฯ ยังสามารถประคองได้ราคาลิตรละ 35 บาท แต่ของรัฐบาลอภิสิทธิ์ราคาบาเรลละ 70 เหรียญเท่านั้น แต่ราคาน้ำมันกลับแพงขึ้นทุกวัน ถ้าต้องการตรึงราคาอีกรับรองเป็นหนี้แน่นอน และเคยได้น้ำมันต่ำสุด 32 เหรียญ แต่กลับไม่คืนความสุขให้กับประชาชน เพราะถ้าตนเองเป็นรัฐมนตรีจะขายน้ำมันราคาลิตรละ 15 บาทเท่านั้น เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะรัฐบาลอภิสิทธิ์ขึ้นภาษีสรรพสามิตทำให้ข้าวของขึ้นราคา
“ทั้งหมดนี้สรุปได้ว่า นายกฯมีความอ่อนด้อยและล้มเหลวในการบริหาร โดยเฉพาะเรื่องพลังงานที่เป็นต้นทุนชีวิตของประชาชนและระบบเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้คนไทยเผชิญกับภาวะข้าวยากหมากแพงในประวัติศาสตร์”
นายมิ่งขวัญ กล่าวว่า นอกจากนี้ รัฐบาลยังล้มเหลวเรื่องการปัญหาราคาข้าว ที่รัฐบาลมีการปรับราคาประกันเป็น 1.1 หมื่นบาท ทั้งที่ราคาที่ชาวบ้านขายได้ 6,000-7,000 บาท บางจังหวัดได้ 5,700 บาท ทำให้ชาวบ้านเอาข้าวมาเทที่ถนนก่อนที่รัฐบาลจะแถลงนโยบาย 3 วันเท่านั้น ถามว่าอีก 4,000-5,000 บาทหายไปไหน เพราะในสมัยรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี มีการรับจำนำ 1.4 หมื่นบาท โดยราคาขายจริงมากกว่า 1.4 หมื่นบาท สถานการณ์แบบนี้พ่อค้าคนกลางกดราคาใช่หรือไม่
อีกทั้งยังมีปัญหาสต็อกลมที่ นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ บอกว่า มี 6 ล้านตัน แต่กลับไม่มีข้าวจริง และการประกาศขายข้าว 4 ล้านตัน ก่อนการเก็บเกี่ยวมีวาระซ่อนเร้นหรือไม่
นายมิ่งขวัญ กล่าวว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ล้มเหลวเรื่องการบริหารการเงินการคลัง เพราะทำให้เกิดหนี้สาธารณะสูงที่สุดในประวัติการ โดยเฉพาะการตั้งงบ 2.07 ล้านบาทในปีงบประมาณล่าสุดที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ เพราะรัฐบาลฟุ่มเฟือย โดยมีงบลงทุนเพียง 16% เพียง 3.4 แสนบาท สร้างเศรษฐกิจให้เติบโตไม่ได้
ทั้งนี้ เพราะทุกรัฐบาลที่ผ่านมา ก่อหนี้ไว้ 8.6 แสนล้านบาท แต่นายกฯอภิสิทธิ์ กู้และก่อหนี้ 1.4 ล้านล้านบาท สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย นายกฯจะใช้หนี้อย่างไร เพราะมีแต่การกู้และการทุจริตเท่านั้น นอกจากนี้ รัฐบาลยังสร้างหนี้นอกระบบ โดยผ่านโครงการไทยเข้มแข็ง และตอนนี้ดอกเบี้ยทะลุ 2 แสนล้านบาทแล้ว ดังนั้น นายกฯไม่เหมาะกับตำแหน่งนี้อีกต่อไปแล้ว"
จากนั้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวชี้แจงการอภิปรายของ นายมิ่งขวัญ ว่า เหตุใดนายมิ่งขวัญไม่พูดถึงตัวเลขท่องเที่ยว หรือการส่งออก ซึ่งเมื่อปี 2553 ตัวเลขการส่งออก และท่องเที่ยวจัดว่าสูงสุดในประวัติศาสตร์ และที่รัฐบาลนี้ต้องกู้เงินก็เพื่อกอบกู้วิกฤติเศรษฐกิจหลังพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ซึ่งการกู้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และเป็นแนวทางที่ถูกต้องในการบริหารเศรษฐกิจ รัฐบาลนี้บริหารหนี้สาธารณะได้ดีกว่าสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แม้ตอนนี้จะอยู่ในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจโลกก็ตาม
นายอภิสิทธิ์ ยืนยันว่า การกู้เงินที่ผ่านมา ได้นำเงินมาฟื้นฟูเศรษฐกิจจนสภาพเศรษฐกิจดีขึ้น มีความมั่นคงทางการเงินการคลัง เป็นแนวทางที่ถูกต้อง โดยดูได้จากหนี้สาธารณะ ต่อจีดีพี ขณะนี้อยู่ที่ร้อยละ 41.50 ซึ่งดีกว่าเมื่อปี 2549 หลังการบริหารของ อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งมีสัดส่วนหนี้สาธารณะอยู่ที่ร้อยละ 42.75 และพร้อมรับผิดชอบตัวเลขเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ในขณะนี้ และขอยืนยัน จะเดินหน้าบริหารเศรษฐกิจต่อไป
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การประกันราคาข้าวยืนยันว่านโยบายที่ทำอยู่ตอนนี้ ช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรได้ดีที่สุดทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นดีกว่านโยบายรับจำนำข้าวยุครัฐบาลที่ผ่าน ถ้าเห็นว่าการจำนำข้าวของรัฐบาลที่ผ่านมาดี ตนเองขอท้าพรรคเพื่อไทยในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง กล้าประกาศยกเลิกประกันราคาข้าวหรือไม่
“ที่บอกว่า สมัยเป็นรัฐมนตรีพาณิชย์ บริหารงานดีทำให้ราคาข้าวสูงขึ้นแล้วทำไมรัฐบาลสมัยนั้นจึงปลดพ้นเก้าอี้รัฐมนตรีพาณิชย์”
นายกรัฐมนตรีตั้งข้อสังเกตว่า ข้อมูลที่นายมิ่งขวัญอภิปรายทำไมเสนอไม่หมด โดยเฉพาะกรณีหนี้กองทุนน้ำมันที่ว่ารัฐบาลชุดนี้เป็นหนี้มากที่สุด อยากถามว่า รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นหนี้กองทุนน้ำมันแสนล้านมากสุดในประวัติศาสตร์หรือไม่ จนรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ต้องมาใช้หนี้ เรื่องแบบนี้ทำไมนายมิ่งขวัญ ไม่พูด ข้อมูลของนายมิ่งขวัญไม่น่าผิดพลาดง่าย ๆอย่างนี้เลย
นายอภิสิทธิ์ ได้ตอบโต้นายมิ่งขวัญที่กล่าวหาว่าบริหารงานไม่เป็น ปล้นประชาชนต่อกรณีราคาน้ำมันปาล์ม โดยนำชาร์ตขึ้นมาประกอบการอภิปรายและเปรียบเทียบช่วงที่นายมิ่งขวัญเป็นรมว.พาณิชย์ พบว่า ราคาน้ำมันปาล์มขวดละ 47.50 บาท ขณะที่รัฐบาลชุดนี้อยู่ที่ราคา 47 บาท ถือว่าช่วงที่นายมิ่งขวัญเป็นรัฐมนตรีราคาน้ำมันปาล์มขวดแพงที่สุด นายอภิสิทธิ์ย้อนถามว่า อย่างนี้หรือทื่บอกว่าบริหารไม่เป็น ใครปล้นประชาชนกันแน่
“สิ่งที่นายมิ่งขวัญอภิปราย เรื่องหนี้ การบริหารพลังงาน เรื่องข้าว หรือปาล์มน้ำมัน ขอยืนยันว่าทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ประชาชน แต่ข้อมูลอภิปรายของนายมิ่งขวัญ ตัดต่อ ตัดตอน ซึ่งเมื่ออภิปรายอย่างนี้แล้วว่า คงไม่เพิ่มความแค้นให้ท่าน”