ภาพยนตร์ดีๆ มีบทเรียน “คืนความสุขให้บ้านเรา” 3 เรื่อง An Unfinished Life
เดือนกุมภาพันธ์ เป็น “เดือนแห่งความรัก” มีวันที่ 14 กลางเดือนเป็น “วันแห่งความรัก” ผมมีภาพยนตร์ดีๆ ที่ให้บทเรียน “คืนความสุขให้บ้านเรา” อีกเรื่อง คือ เรื่อง An unfinished Life
เป็นเรื่องของคาวบอยวัยชรา (น่าจะเรียกว่า “คาวโอลด์แมน” แทน) ไอนาร์ (แสดงโดย โรเบิร์ต เรดฟอร์ด) เขามีชีวิตที่จมอยู่กับความหลังที่ขมขื่นกว่าสิบปี ที่ลูกชายของเขาต้องเสียชีวิตไปในอุบัติเหตุรถยนต์ เขารักลูกชายเขามาก ลูกชายของเขาเป็นคาวบอยคนเก่ง ไม่มีใครจะทดแทนลูกชายเขาได้เลย เขาโทษอยู่เสมอว่าเป็นความผิดของลูกสะใภ้ของเขา คือ จีน (แสดงโดย เจนนิเฟอร์ โลเปซ) ซึ่งเป็นคนขับรถในคืนนั้น
จีนทนกับความโกรธ และการไม่ยอมรับของพ่อสามีไม่ได้ เธอจึงได้จากมา เธอเองก็ต้องจมอยู่กับความคิดถึงสามีเช่นกัน นอกจากนั้น ยังอดโทษตัวเองไม่ได้ ที่อาจมีส่วนให้สามีที่รักของเธอต้องเสียชีวิตไป แต่เธอยังต้องอยู่ เพราะในขณะที่สามีเธอได้จากไปนั้น เขาได้ฝากทายาทไว้ในท้องของเธอ คือ กรีฟ
... เพื่อเขา และเพื่อลูกสาว เธอต้องสู้ชีวิต เธอต้องเลี้ยงดูลูกให้ดีที่สุด
จีนมีชีวิตที่ลำบาก เขามีแฟนใหม่ คือ แกรี่ เป็นคนเส็งเคร็ง รังแกผู้หญิงด้วยกำลัง ปากบอกว่ารัก แต่กลับมีชีวิตที่เมามาย คิดเห็นแก่ตัวเองฝ่ายเดียว รังแกผู้หญิง แต่เพราะจีนถูกดูถูกเหยียดหยามมาตลอด จนเธอเองก็เริ่มเชื่อเช่นนั้น ทำให้เธอไม่คิดว่า เธอจะเหมาะสมกับใครที่ดีกว่านั้น เธอจึงต้องทนอยู่กับแกรี่อยู่ยาวนาน จน กริฟ ลูกสาวต้องทวงสัญญาว่า หากแกรี่ทำร้ายแม่อีก แม่ควรจะจากเขาไปได้สักที อย่าได้ทนกับเขาต่อไปอีกเลย
จีนจึงพากริฟหนีจากแกรี่แฟนใหม่จอมเกเร แต่เธอไม่มีสตางค์พอเพียง เธอจึงพากริฟไปหาปู่ไอนาร์ ปู่ก็แทบจะไล่เธอออกไปทันที แต่ก็ต้องยั้งคิด เมื่อได้รับรู้ว่า หลานในสายเลือดของเขามาด้วย เขาจะทอดทิ้งสายเลือดของเขาไปได้อย่างไร จึงให้ลูกสะใภ้และหลานไปอยู่ในห้องเก็บของ
แล้วเขาต้องใช้เวลากันอยู่นาน กว่าจะสามารถเข้าใจกันได้ ผมได้รับบทเรียนหลายประการดังนี้ครับ
1. ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีสุข เมื่อครอบครัวอยู่ด้วยกัน เข้าใจกัน เมื่อนั้นก็มีความสุข แต่เมื่อไม่เข้าใจกัน จดจำความผิดกัน ตัดสินกัน ด้วยมาตรฐานมนุษย์ก็มักจะตัดสินว่า “ฉันถูก เขาผิด” เสมออยู่แล้ว แม้การจากไปของลูกชาย ก็ไม่ใช่เพราะ “การมีรัก ทำให้มีทุกข์” เมื่อเขาต้องจากไปด้วยเหตุสุดวิสัย หากยังรักเขาจริง ก็ควรรู้ว่า ลูกก็ไม่ได้อยากให้ไอนาร์ต้องมัวแต่ทุกข์ใจ และอยากให้รักดูแลจีนภรรยาของเขา และกริฟลูกสาวของเขาด้วยความรักแทนเขาต่อไป และอีกด้าน กริฟฟินก็คงอยากให้จีนดูแลพ่อของเขา และลูกสาวได้ดูแลปู่ต่อไปด้วย
2. ที่ใดขาดรัก ที่นั่นมีทุกข์ เมื่อไอนาร์ไม่เลือกที่จะเข้าใจ ให้ความรัก ให้อภัย เขาก็อยู่ในความทุกข์ ความอึดอัด ความกดดัน ความเจ็บแค้น เขาอารมณ์เสีย จนลูกสะใภ้ต้องจากไปพร้อมกับหลานของเขาในท้อง และในเวลาต่อมา ภรรยาของไอนาร์ก็รับเขาไม่ได้ด้วย จึงจากไปเช่นกัน ครอบครัวจากไปกันหมด เหลือแต่เขาเพียงคนเดียว และนั่นไม่ใช่เพราะ “ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์” แต่เป็นเพราะ “ที่ใดขาดรัก ที่นั่นมีทุกข์” นั่นเอง
3. มอบการตัดสินพิพากษาให้เป็นเรื่องของพระเจ้า ไอนาร์จมอยู่กับความเศร้า ในสิ่งที่แก้ไขกลับมาไม่ได้แล้ว คือการจากไปของลูกชาย ส่วนใหญ่ เขาโทษลูกสะใภ้เขา ทำให้เขาอารมณ์เสียกับเธอ และทำให้เขาต้องเสียทั้งลูกสะใภ้และหลานสาวไปอีกหลายครั้ง เขาก็โทษตัวเอง ที่ไม่ได้รั้งลูกชายไว้ หรือไม่ได้ทำอะไรที่จะช่วยให้ลูกไม่ต้องเสียชีวิต นั่นก็ทับถมตัวเองให้จมอยู่กับความทุกข์เศร้าและมีความรู้สึกผิดยิ่งขึ้น
ผลของการคิดว่าตัวเองอาจจะผิด หลายๆ ครั้งก็จะยิ่งพาลไปเพิ่มการ “ตัดสินความผิดของคนอื่น” มากขึ้น เพื่ออธิบายตัวเองว่าเราไม่ผิด เธอนั่นแหละผิด ยิ่งคิด ก็ยิ่งโกรธแค้น เกลียด ชัง และทำให้ความรักยิ่งหายไป ความสุขก็ยิ่งหายไป เรื่องถูกผิดจึงควรเป็นเรื่องของพระเจ้าผู้ทรงบริสุทธิ์และทรงเมตตาให้เป็นผู้ตัดสิน ในบ้านเมือง ก็ขอให้เป็นเรื่องของภาครัฐ หรือศาลยุติธรรมตัดสิน ด้วยข้อมูลและหลักฐาน ไม่ใช่เป็นเรื่องที่กลุ่มคนจะนำการตัดสินเรื่องต่างๆ ด้วยอารมณ์ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
4. พระเจ้าทรงทอดพระเนตรมองคนที่จิตใจ ชีวิตของเราจะดีหรือไม่ดี จะผ่านเข้าแผ่นดินสวรรค์ได้หรือไม่นั้น พระเจ้าทรงพิจารณาจากจิตใจ เรื่องบางเรื่อง เป็นเรื่องอุบัติเหตุ สุดวิสัย คืนนั้นดึก สามีภรรยาหนุ่มสาวอยู่ในวัยคะนอง ง่วงกันทั้งคู่ ต้องโยนเหรียญเลือกคนขับ จีนแพ้ จึงเป็นผู้ขับ กาแฟฤทธิ์ไม่พอเพียง ฝนตกหนัก ถนนลื่น รถพลิกคว่ำ 6 ตลบ แต่หากมองลึกถึงจิตใจ ไอนาร์ก็จะรู้ถึงความรักที่จีนมีต่อกริฟฟินสามีของเธอ ที่เธอเข้มแข็ง ต้องดำเนินชีวิตต่อ ก็ด้วยแรงแห่งรักที่มีต่อกริฟฟิน แม้ลูกกริฟจะกลายเป็นภาระในชีวิต จะหาสามีใหม่ก็ไม่ง่าย แต่เธอยังรักห่วงใยดูแลอย่างดี ก็ด้วยความรักที่เธอมีต่อกริฟฟินและลูกรักที่เธออุ้มท้องจนให้กำเนิดมา เลี้ยงลูกด้วยความรัก สอนให้เธอเป็นเด็กดี
5. เราจึงควร “เติมรัก” ให้แก่กัน ถึงจุดหนึ่ง แทนที่จะโทษกัน ไอนาร์น่าจะเข้าใจกันว่า คนที่ทั้งคู่รักที่สุด ได้จากไป หัวใจของพ่อและภรรยาก็คงเศร้าพอๆ กัน น่าจะ “เติมความรัก” ห่วงใยกัน เข้าใจกัน ให้อภัยกัน เป็นกำลังใจให้กัน ปลอบใจกันและกัน และเพื่อกริฟฟินที่จากไป ช่วยดูแลกันและกัน เพราะกันและกันก็คือคนที่ กริฟฟินรักและห่วงใยทั้งนั้น
สังคมเราก็อาจจะต้องสูญเสียบางคนที่เราไม่ควรสูญเสีย แต่สังคมเราก็ยังคงควรเดินหน้าด้วยความรักและความเข้าใจกันมากขึ้น “เติมความรัก” ให้แก่กัน มิใช่ “เติมความเกลียดชัง” เพราะหลายคนที่จากไป ก็ด้วยความรักชาติรักแผ่นดิน อยากเห็นชาติไทยเดินหน้าก้าวไกล รักใคร่กัน และรักษาชาติไทยเป็นหนึ่งเดียวตลอดไป
6. ชีวิตต้องเดินหน้า เพื่อกันและกัน เราทุกคนเป็นดังอวัยวะของกายเดียวกัน การมีกันและกัน ก็เพื่อกันและกัน คาวบอยชรายังเลี้ยงวัวดูแลครอบครัวได้ ลูกสะใภ้ดูแลความเป็นอยู่ทุกๆ คน และช่วยทำงานหาเงินได้ด้วย หลานสาวช่วยงานได้ทุกอย่าง และเป็นความสดชื่นและกำลังใจให้กับทุกๆ คน เพื่อนของไอนาร์ที่แม้ประสบอุบัติเหตุ ร่างกายไม่แข็งแรง ก็ยังปกป้องครอบครัวได้ในบางครั้ง เราทุกคนจึงควรเข้าใจบทบาทที่มีต่อกัน และดำเนินชีวิตเพื่อกันและกัน
7. ทุกสิ่งเกิดขึ้น “มีเหตุผล” ในตอนท้าย ไอนาร์ได้เริ่มเข้าใจว่า หากเรามองชีวิตในมุมสูงจากเบื้องบน เราจะรู้ว่าทุกอย่างมีเหตุผล คำว่า “Unfinished Life” ปักอยู่ที่หลุมศพของกริฟฟิน ราวกับเป็นความหมายที่พ่อเสียดายว่า ลูกไม่สามารถอยู่จนแก่และตายเมื่อถึงเวลาอันควร แต่จริงๆ แล้ว กลับให้แง่คิดว่า ชีวิตของพ่อไอนาร์นั่นแหละ เมื่อยังเลือกอยู่ในทางมืด อยู่ในความโกรธเกลียดชิงชัง ก็เป็นชีวิตที่ไม่สมบูรณ์ จนเมื่อรู้จักให้ความรัก ให้อภัย เข้าใจคนรอบข้าง พยายามช่วยให้คนรอบข้างมีชีวิตที่ดีขึ้น ไม่สร้างความทุกข์ใจให้ ปรารถนาให้คนรอบข้างมีความสุข ก็เป็นชีวิตที่เติมเต็ม อยู่อย่างมีความหมาย และจะมีความสุขแท้ในที่สุดครับ
แล้วสังคมไทยเราจะเลือกใช้ชีวิตแบบ “Unfinished Life” ที่ไม่ยอมเข้าใจผู้อื่น ไม่ให้อภัยผู้อื่น ใช้ชีวิตนำความทุกข์ลำบากมาให้ผู้อื่น เพียงเพื่อตัวเอง หรือพรรคพวกตัวเอง หรือจะใช้ชีวิตที่เติมเต็ม เติมความรักให้แก่กัน รู้รักสามัคคีกัน เข้าใจกัน เป็นกำลังใจให้กัน ก็แล้วแต่เราจะเลือกครับ
montree4life@yahoo.com
เดือนกุมภาพันธ์ เป็น “เดือนแห่งความรัก” มีวันที่ 14 กลางเดือนเป็น “วันแห่งความรัก” ผมมีภาพยนตร์ดีๆ ที่ให้บทเรียน “คืนความสุขให้บ้านเรา” อีกเรื่อง คือ เรื่อง An unfinished Life
เป็นเรื่องของคาวบอยวัยชรา (น่าจะเรียกว่า “คาวโอลด์แมน” แทน) ไอนาร์ (แสดงโดย โรเบิร์ต เรดฟอร์ด) เขามีชีวิตที่จมอยู่กับความหลังที่ขมขื่นกว่าสิบปี ที่ลูกชายของเขาต้องเสียชีวิตไปในอุบัติเหตุรถยนต์ เขารักลูกชายเขามาก ลูกชายของเขาเป็นคาวบอยคนเก่ง ไม่มีใครจะทดแทนลูกชายเขาได้เลย เขาโทษอยู่เสมอว่าเป็นความผิดของลูกสะใภ้ของเขา คือ จีน (แสดงโดย เจนนิเฟอร์ โลเปซ) ซึ่งเป็นคนขับรถในคืนนั้น
จีนทนกับความโกรธ และการไม่ยอมรับของพ่อสามีไม่ได้ เธอจึงได้จากมา เธอเองก็ต้องจมอยู่กับความคิดถึงสามีเช่นกัน นอกจากนั้น ยังอดโทษตัวเองไม่ได้ ที่อาจมีส่วนให้สามีที่รักของเธอต้องเสียชีวิตไป แต่เธอยังต้องอยู่ เพราะในขณะที่สามีเธอได้จากไปนั้น เขาได้ฝากทายาทไว้ในท้องของเธอ คือ กรีฟ
... เพื่อเขา และเพื่อลูกสาว เธอต้องสู้ชีวิต เธอต้องเลี้ยงดูลูกให้ดีที่สุด
จีนมีชีวิตที่ลำบาก เขามีแฟนใหม่ คือ แกรี่ เป็นคนเส็งเคร็ง รังแกผู้หญิงด้วยกำลัง ปากบอกว่ารัก แต่กลับมีชีวิตที่เมามาย คิดเห็นแก่ตัวเองฝ่ายเดียว รังแกผู้หญิง แต่เพราะจีนถูกดูถูกเหยียดหยามมาตลอด จนเธอเองก็เริ่มเชื่อเช่นนั้น ทำให้เธอไม่คิดว่า เธอจะเหมาะสมกับใครที่ดีกว่านั้น เธอจึงต้องทนอยู่กับแกรี่อยู่ยาวนาน จน กริฟ ลูกสาวต้องทวงสัญญาว่า หากแกรี่ทำร้ายแม่อีก แม่ควรจะจากเขาไปได้สักที อย่าได้ทนกับเขาต่อไปอีกเลย
จีนจึงพากริฟหนีจากแกรี่แฟนใหม่จอมเกเร แต่เธอไม่มีสตางค์พอเพียง เธอจึงพากริฟไปหาปู่ไอนาร์ ปู่ก็แทบจะไล่เธอออกไปทันที แต่ก็ต้องยั้งคิด เมื่อได้รับรู้ว่า หลานในสายเลือดของเขามาด้วย เขาจะทอดทิ้งสายเลือดของเขาไปได้อย่างไร จึงให้ลูกสะใภ้และหลานไปอยู่ในห้องเก็บของ
แล้วเขาต้องใช้เวลากันอยู่นาน กว่าจะสามารถเข้าใจกันได้ ผมได้รับบทเรียนหลายประการดังนี้ครับ
1. ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีสุข เมื่อครอบครัวอยู่ด้วยกัน เข้าใจกัน เมื่อนั้นก็มีความสุข แต่เมื่อไม่เข้าใจกัน จดจำความผิดกัน ตัดสินกัน ด้วยมาตรฐานมนุษย์ก็มักจะตัดสินว่า “ฉันถูก เขาผิด” เสมออยู่แล้ว แม้การจากไปของลูกชาย ก็ไม่ใช่เพราะ “การมีรัก ทำให้มีทุกข์” เมื่อเขาต้องจากไปด้วยเหตุสุดวิสัย หากยังรักเขาจริง ก็ควรรู้ว่า ลูกก็ไม่ได้อยากให้ไอนาร์ต้องมัวแต่ทุกข์ใจ และอยากให้รักดูแลจีนภรรยาของเขา และกริฟลูกสาวของเขาด้วยความรักแทนเขาต่อไป และอีกด้าน กริฟฟินก็คงอยากให้จีนดูแลพ่อของเขา และลูกสาวได้ดูแลปู่ต่อไปด้วย
2. ที่ใดขาดรัก ที่นั่นมีทุกข์ เมื่อไอนาร์ไม่เลือกที่จะเข้าใจ ให้ความรัก ให้อภัย เขาก็อยู่ในความทุกข์ ความอึดอัด ความกดดัน ความเจ็บแค้น เขาอารมณ์เสีย จนลูกสะใภ้ต้องจากไปพร้อมกับหลานของเขาในท้อง และในเวลาต่อมา ภรรยาของไอนาร์ก็รับเขาไม่ได้ด้วย จึงจากไปเช่นกัน ครอบครัวจากไปกันหมด เหลือแต่เขาเพียงคนเดียว และนั่นไม่ใช่เพราะ “ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์” แต่เป็นเพราะ “ที่ใดขาดรัก ที่นั่นมีทุกข์” นั่นเอง
3. มอบการตัดสินพิพากษาให้เป็นเรื่องของพระเจ้า ไอนาร์จมอยู่กับความเศร้า ในสิ่งที่แก้ไขกลับมาไม่ได้แล้ว คือการจากไปของลูกชาย ส่วนใหญ่ เขาโทษลูกสะใภ้เขา ทำให้เขาอารมณ์เสียกับเธอ และทำให้เขาต้องเสียทั้งลูกสะใภ้และหลานสาวไปอีกหลายครั้ง เขาก็โทษตัวเอง ที่ไม่ได้รั้งลูกชายไว้ หรือไม่ได้ทำอะไรที่จะช่วยให้ลูกไม่ต้องเสียชีวิต นั่นก็ทับถมตัวเองให้จมอยู่กับความทุกข์เศร้าและมีความรู้สึกผิดยิ่งขึ้น
ผลของการคิดว่าตัวเองอาจจะผิด หลายๆ ครั้งก็จะยิ่งพาลไปเพิ่มการ “ตัดสินความผิดของคนอื่น” มากขึ้น เพื่ออธิบายตัวเองว่าเราไม่ผิด เธอนั่นแหละผิด ยิ่งคิด ก็ยิ่งโกรธแค้น เกลียด ชัง และทำให้ความรักยิ่งหายไป ความสุขก็ยิ่งหายไป เรื่องถูกผิดจึงควรเป็นเรื่องของพระเจ้าผู้ทรงบริสุทธิ์และทรงเมตตาให้เป็นผู้ตัดสิน ในบ้านเมือง ก็ขอให้เป็นเรื่องของภาครัฐ หรือศาลยุติธรรมตัดสิน ด้วยข้อมูลและหลักฐาน ไม่ใช่เป็นเรื่องที่กลุ่มคนจะนำการตัดสินเรื่องต่างๆ ด้วยอารมณ์ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
4. พระเจ้าทรงทอดพระเนตรมองคนที่จิตใจ ชีวิตของเราจะดีหรือไม่ดี จะผ่านเข้าแผ่นดินสวรรค์ได้หรือไม่นั้น พระเจ้าทรงพิจารณาจากจิตใจ เรื่องบางเรื่อง เป็นเรื่องอุบัติเหตุ สุดวิสัย คืนนั้นดึก สามีภรรยาหนุ่มสาวอยู่ในวัยคะนอง ง่วงกันทั้งคู่ ต้องโยนเหรียญเลือกคนขับ จีนแพ้ จึงเป็นผู้ขับ กาแฟฤทธิ์ไม่พอเพียง ฝนตกหนัก ถนนลื่น รถพลิกคว่ำ 6 ตลบ แต่หากมองลึกถึงจิตใจ ไอนาร์ก็จะรู้ถึงความรักที่จีนมีต่อกริฟฟินสามีของเธอ ที่เธอเข้มแข็ง ต้องดำเนินชีวิตต่อ ก็ด้วยแรงแห่งรักที่มีต่อกริฟฟิน แม้ลูกกริฟจะกลายเป็นภาระในชีวิต จะหาสามีใหม่ก็ไม่ง่าย แต่เธอยังรักห่วงใยดูแลอย่างดี ก็ด้วยความรักที่เธอมีต่อกริฟฟินและลูกรักที่เธออุ้มท้องจนให้กำเนิดมา เลี้ยงลูกด้วยความรัก สอนให้เธอเป็นเด็กดี
5. เราจึงควร “เติมรัก” ให้แก่กัน ถึงจุดหนึ่ง แทนที่จะโทษกัน ไอนาร์น่าจะเข้าใจกันว่า คนที่ทั้งคู่รักที่สุด ได้จากไป หัวใจของพ่อและภรรยาก็คงเศร้าพอๆ กัน น่าจะ “เติมความรัก” ห่วงใยกัน เข้าใจกัน ให้อภัยกัน เป็นกำลังใจให้กัน ปลอบใจกันและกัน และเพื่อกริฟฟินที่จากไป ช่วยดูแลกันและกัน เพราะกันและกันก็คือคนที่ กริฟฟินรักและห่วงใยทั้งนั้น
สังคมเราก็อาจจะต้องสูญเสียบางคนที่เราไม่ควรสูญเสีย แต่สังคมเราก็ยังคงควรเดินหน้าด้วยความรักและความเข้าใจกันมากขึ้น “เติมความรัก” ให้แก่กัน มิใช่ “เติมความเกลียดชัง” เพราะหลายคนที่จากไป ก็ด้วยความรักชาติรักแผ่นดิน อยากเห็นชาติไทยเดินหน้าก้าวไกล รักใคร่กัน และรักษาชาติไทยเป็นหนึ่งเดียวตลอดไป
6. ชีวิตต้องเดินหน้า เพื่อกันและกัน เราทุกคนเป็นดังอวัยวะของกายเดียวกัน การมีกันและกัน ก็เพื่อกันและกัน คาวบอยชรายังเลี้ยงวัวดูแลครอบครัวได้ ลูกสะใภ้ดูแลความเป็นอยู่ทุกๆ คน และช่วยทำงานหาเงินได้ด้วย หลานสาวช่วยงานได้ทุกอย่าง และเป็นความสดชื่นและกำลังใจให้กับทุกๆ คน เพื่อนของไอนาร์ที่แม้ประสบอุบัติเหตุ ร่างกายไม่แข็งแรง ก็ยังปกป้องครอบครัวได้ในบางครั้ง เราทุกคนจึงควรเข้าใจบทบาทที่มีต่อกัน และดำเนินชีวิตเพื่อกันและกัน
7. ทุกสิ่งเกิดขึ้น “มีเหตุผล” ในตอนท้าย ไอนาร์ได้เริ่มเข้าใจว่า หากเรามองชีวิตในมุมสูงจากเบื้องบน เราจะรู้ว่าทุกอย่างมีเหตุผล คำว่า “Unfinished Life” ปักอยู่ที่หลุมศพของกริฟฟิน ราวกับเป็นความหมายที่พ่อเสียดายว่า ลูกไม่สามารถอยู่จนแก่และตายเมื่อถึงเวลาอันควร แต่จริงๆ แล้ว กลับให้แง่คิดว่า ชีวิตของพ่อไอนาร์นั่นแหละ เมื่อยังเลือกอยู่ในทางมืด อยู่ในความโกรธเกลียดชิงชัง ก็เป็นชีวิตที่ไม่สมบูรณ์ จนเมื่อรู้จักให้ความรัก ให้อภัย เข้าใจคนรอบข้าง พยายามช่วยให้คนรอบข้างมีชีวิตที่ดีขึ้น ไม่สร้างความทุกข์ใจให้ ปรารถนาให้คนรอบข้างมีความสุข ก็เป็นชีวิตที่เติมเต็ม อยู่อย่างมีความหมาย และจะมีความสุขแท้ในที่สุดครับ
แล้วสังคมไทยเราจะเลือกใช้ชีวิตแบบ “Unfinished Life” ที่ไม่ยอมเข้าใจผู้อื่น ไม่ให้อภัยผู้อื่น ใช้ชีวิตนำความทุกข์ลำบากมาให้ผู้อื่น เพียงเพื่อตัวเอง หรือพรรคพวกตัวเอง หรือจะใช้ชีวิตที่เติมเต็ม เติมความรักให้แก่กัน รู้รักสามัคคีกัน เข้าใจกัน เป็นกำลังใจให้กัน ก็แล้วแต่เราจะเลือกครับ
montree4life@yahoo.com