ASTVผู้จัดการรายวัน - “ลุงจำลอง” รับผิดคาด บช.น.ยื่นหนังสือไล่ม็อบภายใน 15 มี.ค. เชื่อรัฐบาลจวนตัวหาทางแกล้งม็อบ แย้มย้ายเข้าไปชุมนุมอาคารใกล้ๆ “ปานเทพ” โชว์แผนผังงาน ชี้ไม่มีพื้นที่ม็อบ ซัดวิชามารแอบอ้างสภากาชาดทำลาย ฉะเผด็จการลุแก่อำนาจ ชี้หากสภารับรอง JBC ส่อยอมรับสูญดินแดน เตรียมฟ้อง ป.ป.ช.ฟันข้อหาขายชาติ
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ให้สัมภาษณ์
วานนี้ (11 มี.ค.) พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวยอมรับว่าถือหนังสือของคืนพื้นที่ก่อน 15 มี.ค. ของ ศอ.รส.เป็นเรื่องที่ผิดคาด เพราะคาดไว้ว่า กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) จะมาเจรจาขอคืนพื้นที่บางส่วน แต่ปรากฎว่าตำรวจมายื่นคำขาดเป็นลายลักษณ์อักษรให้พวกเราออกจากที่ชุมนุมภายในวันที่ 15 มี.ค. หมายความว่าต้องออกไปให้หมด ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้เราตระหนกตกใจ เพราะรู้ดีว่ารัฐบาลอยู่ในภาวะที่จวนตัวต้องหาทางกลั่นแกล้งผู้ชุมนุมให้ได้ มิเช่นนั้นเขาก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน
“รัฐบาลทำเพื่อตำแหน่ง แต่พวกเราทำเพื่อแผ่นดิน แตกต่างกันมาก เหตุผลการจัดงานกาชาด ก็เป็นเหตุผลเก่าๆที่เราเคยเจอมาแล้ว โดยใช้เพียงพื้นที่ ถ.ราชดำเนินนอกบางส่วน ซึ่งเราก็ไม่ขัดขวาง แต่กลับนำมาอ้างเป็นเหตุผลบังหน้า” พล.ต.จำลอง กล่าวและว่า การอ้างถึงการใช้น้ำใช้ไฟฟ้าในพื้นที่การชุมนุมมากดดันบีบคั้น หากรัฐบาลเห็นว่าเราทำไม่ถูกกฎระเบียบ ก็ขอให้ส่งผู้แทนเข้ามาสำรวจ และชี้ให้เห็นว่าผิดตรงไหน หากมีความผิดและมีค่าปรับเราก็ยินดี หาดจะหาผู้รับผิดชอบทั้งทางอาญาและแพ่ง ก็ให้เอามาเอาผิดกับตน เพราะตนเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องการอำนวยความสะดวกในการชุมนุมแต่เพียงผู้เดียว
ที่ประชุมลงมติเป็นเอกฉันท์ว่า หากตำรวจมาสลายการชุมนุมเมื่อไร ขอให้ประชาชนที่รักชาติรักแผ่นดินออกมาร่วมการชุมนุมมากๆ เช่น สมมติว่าเรามาอยู่กลางถนนแล้วใช้กำลังไล่เรา ก็อาจพิจารณาเข้าไปอยู่ในอาคารใกล้ๆนี้ก็เป็นได้ สิ่งอำนวยความสะดวกก็มีเยอะ ซึ่งเราก็เคยอยู่มาแล้ว ส่วนการยื่นคำขาดของตำรวจนั้นจะยับยั้งการชุมนุมของเราไม่ได้ เพราะใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ อีกทั้งเมื่อถามความเห็นของผู้ชุมนุมก็เห็นตรงกันว่าจะอยู่ที่นี่ต่อไป
“การที่เรามาลำบากกินนอนกลางถนน แล้วยังมาหาเรื่องให้เราอยู่ไม่ได้ เราก็ต้องไปอยู่ในอาคาร ไปนอนในห้องทำงานนายกรัฐมนตรี ก็เคยทำมาแล้ว หรืออาจจะมีสิ่งที่เหนือกว่านั้นก็ได้” พล.ต.จำลอง กล่าว
**ขุดหลักฐานตบหน้า ตร.อ้างขอพื้นที่คืน
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า ส่วนที่ตำรวจอ้างถึงการจัดงานกาชาด โดยสภากาชาดในพระบรมราชูปถัมป์ เพื่อขอพื้นที่จากกลุ่มพันธมิตรฯ สร้างความสับสนให้แก่สังคมว่าทางกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ยอมคืนพื้นที่ให้งานกาชาด ซึ่งถือเป็นวิชามารแอบอ้างองค์กรในพระบรมราชูปถัมป์ เพื่อหวังทำลายความชอบธรรมของการชุมนุมโดยประชาชนผู้รักชาติที่ออกมาปกป้องแผ่นดิน
ทั้งนี้นายปานเทพ ได้นำผังการจัดงานกาชาดมาแสดงต่อสื่อมวลชน พร้อมระบุว่า ตั้งแต่ปี 51 เป็นต้นมาได้มีผังการใช้บริเวณจัดงานเหมือนกันทุกปี ซึ่งใช้เพียงบางพื้นที่ของ ถ.ศรีอยุธยา และ ถ.ราชดำเนินนอก เพียงบางส่วน สิ้นสุดที่สี่แยกมิสกวัน แสดงว่าพื้นที่การชุมนุมของพันธมิตรฯตั้งแต่สะพานมัฆวานรังสรรค์ถึงสี่แยกมิสกวันไม่กระทบพื้นที่การจัดงานกาชาดแต่อย่างใด ไม่เพียงเท่านั้น ตนได้ตรวจสอบย้อนไปในอดีตก็พบว่า พันธมิตรฯได้เคยใช้พื้นที่นี้การชุมนุมมาก่อนในปี 49 ซึ่งวันนั้นเวทีปราศณัยอยู่ที่บริเวณแยกมิสกวัน แต่เมื่อมีการจัดงานกาชาด เราก็ได้ให้ความร่วมมือโดยย้ายเวทีปราศรัยมาอยู่ด้านสะพานมัฆวานฯอย่างเช่นในปัจจุบัน ไม่มีเหตุที่เป็นอุปสรรคใดๆทั้งสิ้น ทางกลุ่มผู้ชุมนุมยังได้เข้าร่วมงานกาชาดเป็นจำนวนมาก
ที่สำคัญยังพบข้อมูลที่ระบุว่า ในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อปี 53 ได้กินพื้นที่ตั้งลานพระรูปทรงม้า เมื่อใกล้ถึงกำหนดการจัดงาน ทาง พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 ก็เป็นผู้ไปเจรจาเพื่อให้แกนนำคนเสื้อแดงย้ายกลุ่มผู้ชุมนุมจากแยกมิสกวันถึงลานพระบรมรูปทรงม้า ให้มาอยู่ที่ ถ.พิษณุโลก ข้างทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเป็นพื้นที่การชุมนุมของกองทัพธรรมในปัจจุบัน ทั้งยังให้พื้นที่ยาวไปถึงแยกยมราช รวมทั้งให้ย้ายบางส่วนมาอยู่ที่แยกมิสกวันไปจนถึงแยกวังแดง ซึ่งกินพื้นที่มากกว่าที่พันธมิตรฯและกองทัพธรรมใช้อยู่ตอนนี้ด้วยซ้ำ การแอบอ้างงานกาชาดถือเป็นวิชามารที่ถูกจับได้ไล่ทัน เพราะมีหลักฐานแล้วว่าพื้นที่การชุมนุมในสตอนนี้ไม่กนระทบการจัดงานแต่อย่างใด
“สะท้อนให้เห็นว่าการชุมนุมของพวกเราไม่กระทบงานกาชาดอย่างแน่นอน ทางตำรวจต้องหยุดแอบอ้างสภากาชาดในพระบรมราชูปถัมป์ เพราะสภากาชาดฯไม่เคยทำหนังสือมาถึงกลุ่มผู้ชุมนุมเพื่อขอพื้นที่ จึงเป็นการไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะนำองค์กรสาธารณประโยชน์มาอ้างเพื่อใช้กำลังสลายผู้ชุมนุม ” นายปานเทพ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าการยื่นคำขาดของตำรวจให้ออกจากพื้นที่ภายในวันที่ 15 มี.ค.นี้มีผลกับการชุมนุมหรือไม่ นายปานเทพ กล่าวว่า ฝ่ายรัฐบาลพยายามหาเหตุในการสลายการชุมนุมทั้งหมด โดยรู้อยู่แก่ใจว่าการใช้ พ.ร.บ.จราจรมาอยู่เหนือสิทธิตามรัฐธรรมนูญไม่ได้ พอใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง พวกเราก็ไปตามหมายเรียก หากจะใช้กำลังสลายการชุมนุมอีก ก็ถือว่าลุแก่อำนาจ เมื่อประชาชนยืนหยัดให้รัฐบาลทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติจึงอ้างงานกาชาด เป็นวิชามารที่ต้องการสลายการชุมนุมเท่านั้น ต้องถือว่ารัฐบาลนี้มีบรรยากาศความเป็นเผด็จการอย่างมาก มากกว่าสมัยรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร หรือสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช หรือนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เสียอีก เพราะมีการใช้ พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินมากที่สุด และประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง โดยเกินกว่าเหตุ
“กลายเป็นยุคที่รัฐบาลลุแก่อำนาจมากที่สุด ซึ่งครั้งนี้คนที่เป่านกหวีดเรียกมวลชนจะไม่ใช่แกนนำการชุมนุม แต่เป็นการตัดสินใจของรัฐบาล เมื่อรัฐบาลลงมือเมื่อไร ก็จะมีผู้ชุมนุมเพิ่มขึ้นโดยปริยาย” โฆษกพันธมิตรฯ กล่าว
**เตือนส.ส.-ส.ว.ผ่านบันทึกเจบีซี
ส่วนการประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อพิจารณาบันทึกผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) ที่คาดว่าจะมีขึ้นในวันที่ 22 มี.ค.นี้ พล.ต.จำลองกล่าวว่า พันธมิตรฯเคยไปชุมนุมและเตือนแล้วว่าจะส่งผลเสียหายต่อประเทศ ยังมีความพยายามทำให้ประเทศไทยเสียดินแดนอีก ดังนั้นใครที่ร่วมลงนามถือเป็นคนขายชาติ และเราจะดำเนินการฟ้องร้องต่อไป อย่างไรก็ตามตนขอเตือนไปก่อนว่าหากมีการรับรองเมื่อไร จะเจอการดำเนินการทางคดีอาญาอย่างหนัก
เมื่อถามว่าจะมีการเคลื่อนมวลชนไปกดดันที่รัฐสภาหรือไม่ พล.ต.จำลอง กล่าวตอบว่า ยังไม่มีการประชุมหารือกัน แต่เรื่องการดำเนินการฟ้องนั้นทำแน่นอน โดยอาจจะมีการทำหนังสือเพื่อเตือน ส.ส.และ ส.ว.ก่อนหน้าที่จะมีการพิจารณาในรัฐสภา
นายปานเทพ กล่าวว่า ครั้งนี้จะเป็นการเห็นชอบผลบันทึกการประชุมเจบีซีโดยรัฐสภาเป็นครั้งแรก ทั้งที่ในบันทึกการประชุมทั้ง 3 ฉบับมีเหตุที่เป็นอันตรายต่อประเทศ 3 ประการ คือ 1.คำปราศรัยของนายวาร์ คิม ฮง ประธานเจบีซีฝ่ายกัมพูชา ที่กล่าวหาว่าไทยรุกล้ำดินแดนกัมพูชา ตามแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน ทั้งที่ปราสาทพระวิหาร ปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย ซึ่งล้วนแต่เป็นแผ่นดินไทยทั้งสิ้น แต่ไม่มีคำปราศรัยโต้แย้งจากฝ่ายไทย
**เล็งยื่น ป.ป.ช.โทษถึงประหารชีวิต
ประการที่ 2.ข้อตกลงชั่วคราวให้ถอนกำลังทหารทั้ง 2 ฝ่าย ออกจากพื้นที่วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ทั้งที่เป็นแผ่นดินไทย ซึ่งล่อแหลมว่าหากไม่มีกำลังทหารประจำการอยู่ กัมพูชาสามารถนำปราสาทพระวิหารเข้ากระบวนการขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้ต่อไป และ 3.ได้เปิดช่องให้มีการจัดทำหลักเขตแดนใหม่บริเวณปราสาทพระวิหาร ตามเอ็มโอยู 43 และทีโออาร์ 46 จากพื้นที่เดิมซึ่งมีการปักปันกันเรียบร้อยแล้วเมื่อ 100 กว่าปีก่อน โดยยึดขอบหน้าผาเป็นสันปันน้ำ ถือเป็นอันตรายอย่างมาก หากผ่านบันทึกในลักษณะนี้จะเป็นการยอมรับการสูญเสียดินแดนโดยมติรัฐสภาเป็นครั้งแรก
หากเป็นเช่นนนี้พันธมิตรฯจะยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)เพื่อให้ดำเนินการกับสมาชิกรัฐสภาทันที ฐานกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 119 ซึ่งมีโทษสูงสุดคือ ประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต จึงขอเตือนไปยังสมาชิกรัฐสภาว่าหากลงมติรับรองบันทึกการประชุมทั้ง 3 ฉบับจะเป็นอันตรายต่อแผ่นดินอย่างยิ่ง แม้จะมีการบิดเบือนโดยการตั้งข้อสังเกตในหลายจุดก็ตาม เพราะไม่มีผลกระทบต่อมติรัฐสภา ซึ่งรับรองไปแล้วถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่ามีส่วนทำใหประเทศสูญเสียดินแดนอย่างไม่มีกำหนด” นายปานเทพกล่าว
**สรส.วางหรีดประณาม ส.ส.-รัฐบาล
บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า นายสาวิทย์ แก้วหวาน เลขาธิการสมาพันธ์แรงงานสหภาพรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) พร้อมด้วยผู้แทนสหภาพแรงงานต่างๆ เดินทางมาที่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เพื่อมาแสดงจุดยืนคัดค้านการออกพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การชุมนุมสาธารณะ เมื่อวันที่ 10 มี.ค.ที่ผ่านมา สภาผู้แทนราษฎรมีมติรับหลักการในวาระที่ 1 ไปด้วยคะแนนเสียง 229 ต่อ 85 โดย นายสาวิทย์ ได้อ่านแถลงการณ์และกล่าวประณาม ส.ส.ที่ยกมือผ่านร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ รวมไปถึงรัฐบาลที่ใช้อำนาจโดยเผด็จการออกกฎหมายคุกคามประชาชนคนไทยอีกด้วย พร้อมระบุว่า ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ขัดต่อหลักการสิทธิมนุษยชน และหลักสิทธิเสรีภาพ ในเรื่องของการละเมิดสิทธิเสรีภาพการชุมนุม ปิดกั้นไม่รับฟังความคิดเห็นของของประชาชน.
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ให้สัมภาษณ์
วานนี้ (11 มี.ค.) พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวยอมรับว่าถือหนังสือของคืนพื้นที่ก่อน 15 มี.ค. ของ ศอ.รส.เป็นเรื่องที่ผิดคาด เพราะคาดไว้ว่า กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) จะมาเจรจาขอคืนพื้นที่บางส่วน แต่ปรากฎว่าตำรวจมายื่นคำขาดเป็นลายลักษณ์อักษรให้พวกเราออกจากที่ชุมนุมภายในวันที่ 15 มี.ค. หมายความว่าต้องออกไปให้หมด ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้เราตระหนกตกใจ เพราะรู้ดีว่ารัฐบาลอยู่ในภาวะที่จวนตัวต้องหาทางกลั่นแกล้งผู้ชุมนุมให้ได้ มิเช่นนั้นเขาก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน
“รัฐบาลทำเพื่อตำแหน่ง แต่พวกเราทำเพื่อแผ่นดิน แตกต่างกันมาก เหตุผลการจัดงานกาชาด ก็เป็นเหตุผลเก่าๆที่เราเคยเจอมาแล้ว โดยใช้เพียงพื้นที่ ถ.ราชดำเนินนอกบางส่วน ซึ่งเราก็ไม่ขัดขวาง แต่กลับนำมาอ้างเป็นเหตุผลบังหน้า” พล.ต.จำลอง กล่าวและว่า การอ้างถึงการใช้น้ำใช้ไฟฟ้าในพื้นที่การชุมนุมมากดดันบีบคั้น หากรัฐบาลเห็นว่าเราทำไม่ถูกกฎระเบียบ ก็ขอให้ส่งผู้แทนเข้ามาสำรวจ และชี้ให้เห็นว่าผิดตรงไหน หากมีความผิดและมีค่าปรับเราก็ยินดี หาดจะหาผู้รับผิดชอบทั้งทางอาญาและแพ่ง ก็ให้เอามาเอาผิดกับตน เพราะตนเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องการอำนวยความสะดวกในการชุมนุมแต่เพียงผู้เดียว
ที่ประชุมลงมติเป็นเอกฉันท์ว่า หากตำรวจมาสลายการชุมนุมเมื่อไร ขอให้ประชาชนที่รักชาติรักแผ่นดินออกมาร่วมการชุมนุมมากๆ เช่น สมมติว่าเรามาอยู่กลางถนนแล้วใช้กำลังไล่เรา ก็อาจพิจารณาเข้าไปอยู่ในอาคารใกล้ๆนี้ก็เป็นได้ สิ่งอำนวยความสะดวกก็มีเยอะ ซึ่งเราก็เคยอยู่มาแล้ว ส่วนการยื่นคำขาดของตำรวจนั้นจะยับยั้งการชุมนุมของเราไม่ได้ เพราะใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ อีกทั้งเมื่อถามความเห็นของผู้ชุมนุมก็เห็นตรงกันว่าจะอยู่ที่นี่ต่อไป
“การที่เรามาลำบากกินนอนกลางถนน แล้วยังมาหาเรื่องให้เราอยู่ไม่ได้ เราก็ต้องไปอยู่ในอาคาร ไปนอนในห้องทำงานนายกรัฐมนตรี ก็เคยทำมาแล้ว หรืออาจจะมีสิ่งที่เหนือกว่านั้นก็ได้” พล.ต.จำลอง กล่าว
**ขุดหลักฐานตบหน้า ตร.อ้างขอพื้นที่คืน
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า ส่วนที่ตำรวจอ้างถึงการจัดงานกาชาด โดยสภากาชาดในพระบรมราชูปถัมป์ เพื่อขอพื้นที่จากกลุ่มพันธมิตรฯ สร้างความสับสนให้แก่สังคมว่าทางกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ยอมคืนพื้นที่ให้งานกาชาด ซึ่งถือเป็นวิชามารแอบอ้างองค์กรในพระบรมราชูปถัมป์ เพื่อหวังทำลายความชอบธรรมของการชุมนุมโดยประชาชนผู้รักชาติที่ออกมาปกป้องแผ่นดิน
ทั้งนี้นายปานเทพ ได้นำผังการจัดงานกาชาดมาแสดงต่อสื่อมวลชน พร้อมระบุว่า ตั้งแต่ปี 51 เป็นต้นมาได้มีผังการใช้บริเวณจัดงานเหมือนกันทุกปี ซึ่งใช้เพียงบางพื้นที่ของ ถ.ศรีอยุธยา และ ถ.ราชดำเนินนอก เพียงบางส่วน สิ้นสุดที่สี่แยกมิสกวัน แสดงว่าพื้นที่การชุมนุมของพันธมิตรฯตั้งแต่สะพานมัฆวานรังสรรค์ถึงสี่แยกมิสกวันไม่กระทบพื้นที่การจัดงานกาชาดแต่อย่างใด ไม่เพียงเท่านั้น ตนได้ตรวจสอบย้อนไปในอดีตก็พบว่า พันธมิตรฯได้เคยใช้พื้นที่นี้การชุมนุมมาก่อนในปี 49 ซึ่งวันนั้นเวทีปราศณัยอยู่ที่บริเวณแยกมิสกวัน แต่เมื่อมีการจัดงานกาชาด เราก็ได้ให้ความร่วมมือโดยย้ายเวทีปราศรัยมาอยู่ด้านสะพานมัฆวานฯอย่างเช่นในปัจจุบัน ไม่มีเหตุที่เป็นอุปสรรคใดๆทั้งสิ้น ทางกลุ่มผู้ชุมนุมยังได้เข้าร่วมงานกาชาดเป็นจำนวนมาก
ที่สำคัญยังพบข้อมูลที่ระบุว่า ในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อปี 53 ได้กินพื้นที่ตั้งลานพระรูปทรงม้า เมื่อใกล้ถึงกำหนดการจัดงาน ทาง พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 ก็เป็นผู้ไปเจรจาเพื่อให้แกนนำคนเสื้อแดงย้ายกลุ่มผู้ชุมนุมจากแยกมิสกวันถึงลานพระบรมรูปทรงม้า ให้มาอยู่ที่ ถ.พิษณุโลก ข้างทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเป็นพื้นที่การชุมนุมของกองทัพธรรมในปัจจุบัน ทั้งยังให้พื้นที่ยาวไปถึงแยกยมราช รวมทั้งให้ย้ายบางส่วนมาอยู่ที่แยกมิสกวันไปจนถึงแยกวังแดง ซึ่งกินพื้นที่มากกว่าที่พันธมิตรฯและกองทัพธรรมใช้อยู่ตอนนี้ด้วยซ้ำ การแอบอ้างงานกาชาดถือเป็นวิชามารที่ถูกจับได้ไล่ทัน เพราะมีหลักฐานแล้วว่าพื้นที่การชุมนุมในสตอนนี้ไม่กนระทบการจัดงานแต่อย่างใด
“สะท้อนให้เห็นว่าการชุมนุมของพวกเราไม่กระทบงานกาชาดอย่างแน่นอน ทางตำรวจต้องหยุดแอบอ้างสภากาชาดในพระบรมราชูปถัมป์ เพราะสภากาชาดฯไม่เคยทำหนังสือมาถึงกลุ่มผู้ชุมนุมเพื่อขอพื้นที่ จึงเป็นการไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะนำองค์กรสาธารณประโยชน์มาอ้างเพื่อใช้กำลังสลายผู้ชุมนุม ” นายปานเทพ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าการยื่นคำขาดของตำรวจให้ออกจากพื้นที่ภายในวันที่ 15 มี.ค.นี้มีผลกับการชุมนุมหรือไม่ นายปานเทพ กล่าวว่า ฝ่ายรัฐบาลพยายามหาเหตุในการสลายการชุมนุมทั้งหมด โดยรู้อยู่แก่ใจว่าการใช้ พ.ร.บ.จราจรมาอยู่เหนือสิทธิตามรัฐธรรมนูญไม่ได้ พอใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง พวกเราก็ไปตามหมายเรียก หากจะใช้กำลังสลายการชุมนุมอีก ก็ถือว่าลุแก่อำนาจ เมื่อประชาชนยืนหยัดให้รัฐบาลทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติจึงอ้างงานกาชาด เป็นวิชามารที่ต้องการสลายการชุมนุมเท่านั้น ต้องถือว่ารัฐบาลนี้มีบรรยากาศความเป็นเผด็จการอย่างมาก มากกว่าสมัยรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร หรือสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช หรือนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เสียอีก เพราะมีการใช้ พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินมากที่สุด และประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง โดยเกินกว่าเหตุ
“กลายเป็นยุคที่รัฐบาลลุแก่อำนาจมากที่สุด ซึ่งครั้งนี้คนที่เป่านกหวีดเรียกมวลชนจะไม่ใช่แกนนำการชุมนุม แต่เป็นการตัดสินใจของรัฐบาล เมื่อรัฐบาลลงมือเมื่อไร ก็จะมีผู้ชุมนุมเพิ่มขึ้นโดยปริยาย” โฆษกพันธมิตรฯ กล่าว
**เตือนส.ส.-ส.ว.ผ่านบันทึกเจบีซี
ส่วนการประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อพิจารณาบันทึกผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) ที่คาดว่าจะมีขึ้นในวันที่ 22 มี.ค.นี้ พล.ต.จำลองกล่าวว่า พันธมิตรฯเคยไปชุมนุมและเตือนแล้วว่าจะส่งผลเสียหายต่อประเทศ ยังมีความพยายามทำให้ประเทศไทยเสียดินแดนอีก ดังนั้นใครที่ร่วมลงนามถือเป็นคนขายชาติ และเราจะดำเนินการฟ้องร้องต่อไป อย่างไรก็ตามตนขอเตือนไปก่อนว่าหากมีการรับรองเมื่อไร จะเจอการดำเนินการทางคดีอาญาอย่างหนัก
เมื่อถามว่าจะมีการเคลื่อนมวลชนไปกดดันที่รัฐสภาหรือไม่ พล.ต.จำลอง กล่าวตอบว่า ยังไม่มีการประชุมหารือกัน แต่เรื่องการดำเนินการฟ้องนั้นทำแน่นอน โดยอาจจะมีการทำหนังสือเพื่อเตือน ส.ส.และ ส.ว.ก่อนหน้าที่จะมีการพิจารณาในรัฐสภา
นายปานเทพ กล่าวว่า ครั้งนี้จะเป็นการเห็นชอบผลบันทึกการประชุมเจบีซีโดยรัฐสภาเป็นครั้งแรก ทั้งที่ในบันทึกการประชุมทั้ง 3 ฉบับมีเหตุที่เป็นอันตรายต่อประเทศ 3 ประการ คือ 1.คำปราศรัยของนายวาร์ คิม ฮง ประธานเจบีซีฝ่ายกัมพูชา ที่กล่าวหาว่าไทยรุกล้ำดินแดนกัมพูชา ตามแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน ทั้งที่ปราสาทพระวิหาร ปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย ซึ่งล้วนแต่เป็นแผ่นดินไทยทั้งสิ้น แต่ไม่มีคำปราศรัยโต้แย้งจากฝ่ายไทย
**เล็งยื่น ป.ป.ช.โทษถึงประหารชีวิต
ประการที่ 2.ข้อตกลงชั่วคราวให้ถอนกำลังทหารทั้ง 2 ฝ่าย ออกจากพื้นที่วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ทั้งที่เป็นแผ่นดินไทย ซึ่งล่อแหลมว่าหากไม่มีกำลังทหารประจำการอยู่ กัมพูชาสามารถนำปราสาทพระวิหารเข้ากระบวนการขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้ต่อไป และ 3.ได้เปิดช่องให้มีการจัดทำหลักเขตแดนใหม่บริเวณปราสาทพระวิหาร ตามเอ็มโอยู 43 และทีโออาร์ 46 จากพื้นที่เดิมซึ่งมีการปักปันกันเรียบร้อยแล้วเมื่อ 100 กว่าปีก่อน โดยยึดขอบหน้าผาเป็นสันปันน้ำ ถือเป็นอันตรายอย่างมาก หากผ่านบันทึกในลักษณะนี้จะเป็นการยอมรับการสูญเสียดินแดนโดยมติรัฐสภาเป็นครั้งแรก
หากเป็นเช่นนนี้พันธมิตรฯจะยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)เพื่อให้ดำเนินการกับสมาชิกรัฐสภาทันที ฐานกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 119 ซึ่งมีโทษสูงสุดคือ ประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต จึงขอเตือนไปยังสมาชิกรัฐสภาว่าหากลงมติรับรองบันทึกการประชุมทั้ง 3 ฉบับจะเป็นอันตรายต่อแผ่นดินอย่างยิ่ง แม้จะมีการบิดเบือนโดยการตั้งข้อสังเกตในหลายจุดก็ตาม เพราะไม่มีผลกระทบต่อมติรัฐสภา ซึ่งรับรองไปแล้วถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่ามีส่วนทำใหประเทศสูญเสียดินแดนอย่างไม่มีกำหนด” นายปานเทพกล่าว
**สรส.วางหรีดประณาม ส.ส.-รัฐบาล
บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า นายสาวิทย์ แก้วหวาน เลขาธิการสมาพันธ์แรงงานสหภาพรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) พร้อมด้วยผู้แทนสหภาพแรงงานต่างๆ เดินทางมาที่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เพื่อมาแสดงจุดยืนคัดค้านการออกพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การชุมนุมสาธารณะ เมื่อวันที่ 10 มี.ค.ที่ผ่านมา สภาผู้แทนราษฎรมีมติรับหลักการในวาระที่ 1 ไปด้วยคะแนนเสียง 229 ต่อ 85 โดย นายสาวิทย์ ได้อ่านแถลงการณ์และกล่าวประณาม ส.ส.ที่ยกมือผ่านร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ รวมไปถึงรัฐบาลที่ใช้อำนาจโดยเผด็จการออกกฎหมายคุกคามประชาชนคนไทยอีกด้วย พร้อมระบุว่า ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ขัดต่อหลักการสิทธิมนุษยชน และหลักสิทธิเสรีภาพ ในเรื่องของการละเมิดสิทธิเสรีภาพการชุมนุม ปิดกั้นไม่รับฟังความคิดเห็นของของประชาชน.