ASTVผู้จัดการรายวัน - ปริญสิริ เร่งสางปัญหาคอนโดฯ หลังลูกค้าสมาร์ทคอนโด พระราม2 ถูกปฏิเศษสินเชือ่กว่า60%จากผลกระทบมาตรการ LTV เล็งเจรจาแบงก์ปล่อยกู้100% แก้ปัญหาลูกค้ากำลังซื้อต่ำ เตรียมโล๊ะแคมเปญฟูลลี่เฟอร์นิตลดภาระ เพื่อกำลังซื้อ พร้อมเดินหน้ารีแบรนด์”ปริญสิริ” ตอกย้ำแบรนด์อสังหาฯชูคอนเซ็ปต์ใหม่ “We love, We care, We share” เน้น “ความสุข...สร้างจากการใส่ใจทุกรายละเอียด” เผยแผนปี54เปิดตัวโครงการใหม่ 12 โครงการ มูลค่าโดยรวมกว่า 10,000 ล้านบาท ตั้งเป้ารับรู้รายได้กว่า 5,000 ล้านบาท
นายวีระ ศรีชนะชัยโชค กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลังจากเปิดขายโครงการสมาร์ทคอนโด พระราม2 ซึ่งมีจำนวนยูนิตรวมกว่า 2,000ยูนิตเศษ ในช่วง2ปีที่ผ่านมามล่าสุดโครงการดังกล่าวมียอดขายแล้วกว่า 1,400 ยูนิต ส่วนที่เหลืออีก600ยูนิตคาดว่าจะปิดการขายให้ได้ในช่วงไตรมาสที่2ของปีนี้ ทั้งนี้ ความต้องการที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมในตลาดพระราม2 นั้นมีจำนวนค่อนข้างมาก ในขณะที่ซับพลายในตลาดมีอยู่ไมากนัก ซึ่งในช่วงที่มีการเปิดให้ลูกค้าจองซื้อนั้นมีความต้องการซื้อห้องชุดมากกว่ายูนิตในโครงการ
แต่อย่างไรก็ตาม กลุ่มลูกค้าที่จองซื้อโครงการห้องชุดดังกล่าวเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อค่อนข้างต่ำ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกค้าที่ไม่มีประวัติทางการเงิน หรือได้รับเงินเดือนเป็นเงินสดทำให้ไม่มีสเตทเมนท์หรือหลักฐานการเงินยืนยันรายได้ของลูกค้า ทำให้ถูกสถาบันการเงินปฏิเสธสินเชื่อเป็นจำนวนมาก โดยในโครงการดังกล่าวลูกค้าถูกปฏิเศษสินเชื่อกว่า60% ของลูกค้าที่จองซื้อ ทำให้บรัทต้องนำห้องชุดกว่า600 ยูนิตกลับมารีเชลล์ใหม่อีกครั้งในปีนี้
นอกจากนี้ การทีรัฐบาลออกมาตรการ LTV เพื่อคุมสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อลูกค้าในโครงการคอนโดมิเนียมให้มีการปล่อยกู้ไม้เกิน90% ของราคาประเมินยังส่งผลโดยตรงต่อกำลังซื้อของลูกค้าในกลุ่มนี้ด้วย ซึ่งในส่วนนี้บริษัทก็ได้รับผลกระทบอย่างมากเนื่องจากลูกค้ากลุ่มนี้ไม่มีเงินเก็บ ประกอบกับขณะนี้งานก่อสร้างโครงการดังกล่าวก็ใกล้เสร็จสิ้นแล้วงทำให้ระยะเวลาในการผ่อนดาวน์ลูกค้าสั่นลงดังนั้นบริษัทจึงเข้าไปให้การช่วยเหลือลูกค้าให้สามารถซื้อห้องชุดในโครงการได้
“ต้องยอมรับว่าลูกค้าในโครงการมีกำลังซื้อต่ำ และไม่มีสเตทเมนท์ ดังนั้นจึงได้เตรียมแนวทางการแก้ปัญหาให้แก่ลูกค้าดดยบริษัทได้เข้าไปให้คำแนะนำลูกค้าที่มีรายได้ไม่ตามเกณฑ์ของแบงก์ ดดยแนะนำให้หาผู้กู้ร่วม นอกจากนี้ยังได้กันห้องชุดกว่า200ยูนิตไว้เป้นห้องเปล่าเพื่อลดราคาขายจากห้องเดิมที่มีการตกแต่งพร้อมอยู่ นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับสถาบันการเงินหลายๆ แห่งให้ปล่อยกู้ลูกค้า100% เพื่อเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ลูกค้าด้วย”
ทั้งนี้ แม้ว่าบริษัทยังมีปัญหาสต๊อกห้องชุดในที่มือเหลืออยู่ ทั้งในโครงการย่านวัชระพล โครงการระราม2 แต่ด้วยจำนวนดีมานด์ที่ยังมีอย่างต่อเนื่อง บริษัทจึงไม่ไม่มีนโยบายให้เบรกแผนการพัฒนาโครงการแนวสูงซึ่งล่าสุดได้ซื้อที่ดินเลียบถนนรัตนาธิเบศร์ จำนวน18 ไร่ ใกล้สะพานพระนั่งเกล้าเพื่อรอพัฒนาโครงการแนวสูง แต่ต้องรอดูภาวะที่เหมาะสมจึงจะมีการพัฒนาโครงการใหม่
นายวีระกล่าวว่า สำหรับแผนธุรกิจของ ปริญสิริฯ จะลงทุนพัฒนาโครงการใหม่12โครงการในช่วง1-2ปีนี้ มูลค่ารวมกว่า10,000ล้านบาท โดยในปีนี้จะพยายามเปิดตัวให้ได้ 5-8โครงการ โดยเตรียมงบซื้อที่ดินไว้และสร้างแบรนด์ไว้ประมาณ 2,000 ล้านบาท สำหรับจัดหาที่ดินเพิ่ม 4-8 แปลง ซึ่งขณะนี้ได้ซื้อที่ดินเข้ามาแล้ว 6 แปลง ประกอบด้วยที่ดินย่านบางบอน ซึ่งจะพัฒนาเป้นดครงการทาวน์โฮม3ชั้น ที่ดินย่านรัตนาธิเศร์18ไร่ รอพัฒนาคอนโดฯ ที่ดินย่านเลี่ยงเมืองนนทบุรี 20ไร่ พัฒนาเป็นทาวน์โฮม3ชั้น ที่ดินย่านตลิ่งชัน 60ไร่ รอพัฒนาเป็นทาวน์โอมและบ้านเดี่ยว ที่ดินเลียบถนนราชพฤกษ-เพชรเกษม รอพัฒนาบ้านเดี่ยวพรีเมี่ยม50ไร่ และที่ดินย่านหัวกระบือ 62 ไร่ รอพัฒนาบ้านเดี่ยวขนาดเล็ก
สำหรับในปีนี้บริษัทตั้งเป้าว่าจะมียอดการรับรู้รายและยอดขายกว่า 5,000 ล้านบาท ส่วนในปีที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้รับรู้รวม 4,200ล้านบาท จากยอดขายรวม4,300ล้านบาท
“เพื่อเป็นการตอกย้ำ แบรนด์ภายใต้แนวคิด “We love, We care, We share” ดังกล่าว บริษัทฯ ได้วางแผนการตลาดและประชาสัมพันธ์ เพื่อเร่งสร้างการรับรู้ไปยังกลุ่มเป้าหมาย ด้วยกลยุทธ์การตลาดแบบ “มิวสิค มาร์เก็ตติ้ง” โดยร่วมมือกับคลื่นวิทยุชั้นนำของประเทศไทยอย่าง “Green Wave” พร้อมการร่วมกิจกรรมพิเศษที่จัดขึ้นตลอด 9 เดือน เพื่อสร้างแบรนด์ลอยัลตี้กับกลุ่มลูกบ้าน รวมทั้งได้วางกลยุทธ์ “ดิจิทอล มาร์เก็ตติ้ง” ผ่านเครือข่ายโซเชียลเน็ตเวิร์คด้วยสื่อออนไลน์ เป็นแรงขับเคลื่อนหลักด้วย ”ด้านนางสาวสิริลักษณ์ โกวิทจินดาชัย ประธานกรรมการบริหารกล่าว
นายวีระ ศรีชนะชัยโชค กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลังจากเปิดขายโครงการสมาร์ทคอนโด พระราม2 ซึ่งมีจำนวนยูนิตรวมกว่า 2,000ยูนิตเศษ ในช่วง2ปีที่ผ่านมามล่าสุดโครงการดังกล่าวมียอดขายแล้วกว่า 1,400 ยูนิต ส่วนที่เหลืออีก600ยูนิตคาดว่าจะปิดการขายให้ได้ในช่วงไตรมาสที่2ของปีนี้ ทั้งนี้ ความต้องการที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมในตลาดพระราม2 นั้นมีจำนวนค่อนข้างมาก ในขณะที่ซับพลายในตลาดมีอยู่ไมากนัก ซึ่งในช่วงที่มีการเปิดให้ลูกค้าจองซื้อนั้นมีความต้องการซื้อห้องชุดมากกว่ายูนิตในโครงการ
แต่อย่างไรก็ตาม กลุ่มลูกค้าที่จองซื้อโครงการห้องชุดดังกล่าวเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อค่อนข้างต่ำ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกค้าที่ไม่มีประวัติทางการเงิน หรือได้รับเงินเดือนเป็นเงินสดทำให้ไม่มีสเตทเมนท์หรือหลักฐานการเงินยืนยันรายได้ของลูกค้า ทำให้ถูกสถาบันการเงินปฏิเสธสินเชื่อเป็นจำนวนมาก โดยในโครงการดังกล่าวลูกค้าถูกปฏิเศษสินเชื่อกว่า60% ของลูกค้าที่จองซื้อ ทำให้บรัทต้องนำห้องชุดกว่า600 ยูนิตกลับมารีเชลล์ใหม่อีกครั้งในปีนี้
นอกจากนี้ การทีรัฐบาลออกมาตรการ LTV เพื่อคุมสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อลูกค้าในโครงการคอนโดมิเนียมให้มีการปล่อยกู้ไม้เกิน90% ของราคาประเมินยังส่งผลโดยตรงต่อกำลังซื้อของลูกค้าในกลุ่มนี้ด้วย ซึ่งในส่วนนี้บริษัทก็ได้รับผลกระทบอย่างมากเนื่องจากลูกค้ากลุ่มนี้ไม่มีเงินเก็บ ประกอบกับขณะนี้งานก่อสร้างโครงการดังกล่าวก็ใกล้เสร็จสิ้นแล้วงทำให้ระยะเวลาในการผ่อนดาวน์ลูกค้าสั่นลงดังนั้นบริษัทจึงเข้าไปให้การช่วยเหลือลูกค้าให้สามารถซื้อห้องชุดในโครงการได้
“ต้องยอมรับว่าลูกค้าในโครงการมีกำลังซื้อต่ำ และไม่มีสเตทเมนท์ ดังนั้นจึงได้เตรียมแนวทางการแก้ปัญหาให้แก่ลูกค้าดดยบริษัทได้เข้าไปให้คำแนะนำลูกค้าที่มีรายได้ไม่ตามเกณฑ์ของแบงก์ ดดยแนะนำให้หาผู้กู้ร่วม นอกจากนี้ยังได้กันห้องชุดกว่า200ยูนิตไว้เป้นห้องเปล่าเพื่อลดราคาขายจากห้องเดิมที่มีการตกแต่งพร้อมอยู่ นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับสถาบันการเงินหลายๆ แห่งให้ปล่อยกู้ลูกค้า100% เพื่อเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ลูกค้าด้วย”
ทั้งนี้ แม้ว่าบริษัทยังมีปัญหาสต๊อกห้องชุดในที่มือเหลืออยู่ ทั้งในโครงการย่านวัชระพล โครงการระราม2 แต่ด้วยจำนวนดีมานด์ที่ยังมีอย่างต่อเนื่อง บริษัทจึงไม่ไม่มีนโยบายให้เบรกแผนการพัฒนาโครงการแนวสูงซึ่งล่าสุดได้ซื้อที่ดินเลียบถนนรัตนาธิเบศร์ จำนวน18 ไร่ ใกล้สะพานพระนั่งเกล้าเพื่อรอพัฒนาโครงการแนวสูง แต่ต้องรอดูภาวะที่เหมาะสมจึงจะมีการพัฒนาโครงการใหม่
นายวีระกล่าวว่า สำหรับแผนธุรกิจของ ปริญสิริฯ จะลงทุนพัฒนาโครงการใหม่12โครงการในช่วง1-2ปีนี้ มูลค่ารวมกว่า10,000ล้านบาท โดยในปีนี้จะพยายามเปิดตัวให้ได้ 5-8โครงการ โดยเตรียมงบซื้อที่ดินไว้และสร้างแบรนด์ไว้ประมาณ 2,000 ล้านบาท สำหรับจัดหาที่ดินเพิ่ม 4-8 แปลง ซึ่งขณะนี้ได้ซื้อที่ดินเข้ามาแล้ว 6 แปลง ประกอบด้วยที่ดินย่านบางบอน ซึ่งจะพัฒนาเป้นดครงการทาวน์โฮม3ชั้น ที่ดินย่านรัตนาธิเศร์18ไร่ รอพัฒนาคอนโดฯ ที่ดินย่านเลี่ยงเมืองนนทบุรี 20ไร่ พัฒนาเป็นทาวน์โฮม3ชั้น ที่ดินย่านตลิ่งชัน 60ไร่ รอพัฒนาเป็นทาวน์โอมและบ้านเดี่ยว ที่ดินเลียบถนนราชพฤกษ-เพชรเกษม รอพัฒนาบ้านเดี่ยวพรีเมี่ยม50ไร่ และที่ดินย่านหัวกระบือ 62 ไร่ รอพัฒนาบ้านเดี่ยวขนาดเล็ก
สำหรับในปีนี้บริษัทตั้งเป้าว่าจะมียอดการรับรู้รายและยอดขายกว่า 5,000 ล้านบาท ส่วนในปีที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้รับรู้รวม 4,200ล้านบาท จากยอดขายรวม4,300ล้านบาท
“เพื่อเป็นการตอกย้ำ แบรนด์ภายใต้แนวคิด “We love, We care, We share” ดังกล่าว บริษัทฯ ได้วางแผนการตลาดและประชาสัมพันธ์ เพื่อเร่งสร้างการรับรู้ไปยังกลุ่มเป้าหมาย ด้วยกลยุทธ์การตลาดแบบ “มิวสิค มาร์เก็ตติ้ง” โดยร่วมมือกับคลื่นวิทยุชั้นนำของประเทศไทยอย่าง “Green Wave” พร้อมการร่วมกิจกรรมพิเศษที่จัดขึ้นตลอด 9 เดือน เพื่อสร้างแบรนด์ลอยัลตี้กับกลุ่มลูกบ้าน รวมทั้งได้วางกลยุทธ์ “ดิจิทอล มาร์เก็ตติ้ง” ผ่านเครือข่ายโซเชียลเน็ตเวิร์คด้วยสื่อออนไลน์ เป็นแรงขับเคลื่อนหลักด้วย ”ด้านนางสาวสิริลักษณ์ โกวิทจินดาชัย ประธานกรรมการบริหารกล่าว
