xs
xsm
sm
md
lg

"วีระ"ถูกทอดทิ้งปางตาย! น้องชายโวยบัวแก้ว พธม.ฟ้องอาญามาร์ค-ครม.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการรายวัน - ทีมกฎหมายพันธมิตรฯ เดินหน้า ฟ้องอาญา-ละเว้น “อภิสิทธิ์-ครม.” กล่าวโทษฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทำให้ประเทศไทยเสียดินแดน ละเว้นการช่วยเหลือ 7 คนไทย ก่อนยกคณะยื่น ปปช. 8 มี.ค.นี้ ส่วน“จำลอง” ซัดรัฐบาล กดดันตำรวจซ้อม กลั่นแกล้งพธม. หวังให้จบมี.ค.เพื่อยุบสภา น้องชายวีระโผล่ เผยพี่ชายป่วย "ปางตาย" ซัด "ชวนนท์" ที่ไม่เคยสอบถาม-แถลงข่าวเอาแต่ได้

วานนี้ (6 มี.ค) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เปิดเผยว่า วันนี้(7 มี.ค.)ทีมกฎหมายของกลุ่มพันธมิตรฯ จะเดินทางไปยื่นฟ้องกล่าวโทษนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ต่อสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อให้นายอภิสิทธิ์รับรู้ ว่าได้กระทำความผิดแล้ว และเพื่อให้เป็นไปตามขั้นตอน

“ในวันที่ 8 มี.ค.จะไปยื่นฟ้องกล่าวโทษนายอภิสิทธิ์ ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ฐานกระทำความโดยมิชอบ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทำให้ประเทศไทยเสียดินแดน รวมถึงยังมีเหตุผลหลายประการ เช่นละเว้นการช่วยเหลือ 7 คนไทย ที่เข้าข่ายการละเว้นการปฏิบิตหน้าที่ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา157 และกฎหมายอาญา มาตรา 119 -120 ส่วนเรื่องถอดถอนจะทำให้ขั้นตอนต่อไป โดยจะไปยื่นต่อรัฐสภาและจะออกมาล่าชื่อที่คล้ายกับกฎหมายนิรโทษกรรมของภูมิใจไทย”

นายประพันธ์ คูณมี โฆษกการชุมนุมฯ กล่าวว่า ขณะนี้นายปานเทพ นายสุวัฒน์ อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรฯ ได้ร่างคำร้องเพื่อกล่าวหากล่าวโทษแล้ว

ทั้งนี้ การยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช. หรือศาลรัฐธรรมนูญ และยื่นถอดถอนต่อรัฐสภานั้น ก็เพื่อเป็นการฟ้องประชาชนว่ารัฐบาลทำผิดหฎหมายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศ แม้ว่าวันนี้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์จะมีพฤติกรรมแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ไม่ได้แตกต่างจากรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นการแทรกแซงเริ่มตั้งแต่เข้าไปกดดันศาลให้ประกันตัวแกนนำทั้ง 7 คน ของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เพื่อหวังลดแรงต้านพรรคประชาธิปัตย์ หวังดึงคนเสื้อแดงเข้ามาเป็นพวกเดียวกัน

**แฉเร่งประมูลรถไฟฟ้าหาทุนซื้อเสียง

นอกจากนี้ยังมีการร้องเรียนประเด็นการทุจริตของนักการเมืองไปยัง ป.ป.ช.ในหลายเรื่อง แต่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีการชี้มูลไม่เอาผิดกับนักการเมืองเลย เช่น กรณีซิตี้ การ์เด้นท์ไลท์ บาร์ บริเวณสนามบินสุวรรณภูมิ ของนายวิชัย ศรีรักอักษร ประธานกรรมการบริหาร บริษัทคิง พาวเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนลกรุ๊ป ซึ่งนำพื้นที่การท่าของสนามบินมาจัดสรรเป็นโรงแรมและสำนักงานออฟฟิศ แต่เมื่อมีบุคคลไปยื่นร้องต่อป.ป.ช.ที่มีนายภักดี โพธิศิริ กรรมการ ป.ป.ช.เป็นผู้รับเรื่อง ได้ชี้มูลไม่มีความผิดทางอาญา และให้ทำสัญญากับการท่าเพื่อจ่ายค่าเช่าพื้นที่ย้อนหลังเท่านั้นเอง

อย่างไรก็ตามรัฐบาลพยายามที่จะเร่งโครงการเพื่อให้ตนเองเกิดประโยชน์สูงสุด ที่จะเตรียมไว้ในการเลือกตั้ง เช่น การฮั้วการประมูลโครงการรถไฟฟ้าใต้ดิน 3 สาย มีมูลค่ากว่าแสนล้านบาท ให้กับบริษัทพรรคพวกของตนเอง ส่วนกรณีน้ำมันปาล์มความจริงรัฐบาลสามารถประกาศนโยบายนำเข้าเสรีได้ เพื่อให้มีปริมาณเพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศ แต่ที่นำเข้าไม่ได้ เพราะว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ได้อนุมัตินำเข้าแบบไม่เต็มที่ รวมถึงบุคคลใดจะได้โควตานำเข้าก็ต้องไปวิ่งเต้นกับนักการเมือง เรื่องนี้ถือว่า เป็นความเสียหายมากต่อประเทศชาติ ถ้าการเมืองระบอบนายอภิสิทธิ์ หรือระบอบนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทยยังคงอยู่ทุกเรื่องจะเกี่ยวกับการทุจริตต่อไป แม้จะมีการตรวจสอบความให้มีความผิดจากคณะกรรมการแล้ว พวกเขาก็จะมีการล็อบบี้แทรกแซงศาล หรือองค์กรอิสระต่างๆ รัฐบาลนี้ได้ทำหนักหน่วงไม่แพ้รัฐบาลของทักษิณเลย

**“ประพันธ์”ซัด รบ.มุ่งแต่เลือกตั้ง

นายประพันธ์ กล่าวด้วยว่า ตลอดการชุมนุมที่ผ่านมาสามารถยืนยันได้ว่ารัฐบาลโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ทำให้ประเทศได้สูญเสียดินแดนไปแล้ว ภายใต้ความตกลงที่ไปยอมรับกระบวนการของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) และอาเซียน ที่ส่งกองกำลังอินโดนีเซียเข้ามาสังเกตการณ์ในพื้นที่ และทำให้มีการหยุดยิง โดยที่กัมพูชายึดครองพื้นที่ 4.6 ตร.กม.รอบปราสาทพระวิหารอยู่ ซึ่งถึงขณะนี้ก็ยังมีการส่งกำลังทหารเข้ามายึดครองพื้นที่ตลอดแนวชายแดนอย่างต่อเนื่อง โดยที่มหารไทยไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่ได้เลย ซึ่งรัฐบาลไม่กล้าพูดความจริงตรงนี้ และคาดว่าหากผู้แทนทหารอินโดนีเซียเข้ามาในพื้นที่ฝั่งกัมพูชา ทางกัมพูชาก็จะให้เข้ามาอยู่ในพื้นที่ 4.6 ตร.กม.แน่นอน เพื่อยืนยันกับอาเซียนว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของกัมพูชาตามแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ซึ่งรวมไปถึงพื้นที่ในทะเลที่มีทรัพยากรธรรมชาติมหาศาล

“วันนี้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ไม่สนใจเกี่ยวกับปัญหาชายแดนของประเทศเลย ทั้งที่ปราสาทพระวิหาร และตลอดตะเข็บชายแดยไทย-กัมพูชา ทำให้ประชาชนจะได้รับผลกระทบในอนาคตที่ไทยต้องสูญเสียดินแดนอีกกว่า 1.8 ล้านไร่ เป็นผลจากการทำงานของรัฐบาลที่ล้มเหลว ไปทำข้อตกลงที่เสียเปรียบกัมพูชา จึงพยายามกลบเกลื่อนโดยการสลายการชุมนุม เพื่อปิดปากประชาชนไม่ให้นำเสนอข้อเท็จจริงเช่นนี้” นายประพันธ์ กล่าว

**ข้อมูลพธม.ทำ ปชป.เสียคะแนน

จากการเปิดโปงข้อเท็จจริงในการบริหารบ้านเมืองที่ล้มเหลวของพันธมิตรฯ ทำให้โอกาสของพรรคประชาธิปัตย์ และนายอภิสิทธิ์ในการชนะในการเลือกตั้ง ถูกปิดตามลงไปตามลำดับ เพราะประชาชนผิดหวังจากการทำงาน การที่นายอภิสิทธิ์ไปบรรยายที่สถาบันพระปกเกล้า แล้วระบุว่าการที่ประชาธิปไตยของไทยยังไม่พัฒนา เพราะนักการเมืองโกงกิน และคนบางกลุ่มมีการใช้ความรุนแรงนั้น ตนเห็นว่าปัญหาที่เกิดมาจากนักการเมือง ไม่ใช่จากประชาชน โดยเฉพาะตัวนายอภิสิทธิ์เองที่ไม่เคยแก้ปัญหา โดยไม่เคยแสดงบรรทัดฐานของความเป็นนักการเมืองที่ดี เมื่อทำผิดไม่แสดงสปิริตรับผิดชอบ ดื้อด้านดันทุรังอยู่ในตำแหน่ง ไม่ฟังเสียงประชาชน ทำให้ประชาธิปไตยของไทยถอยหลังลงคลอง ดังนั้นการมาโทษว่าการชุมนุมของประชาชนเป็นตัวถ่วงประชาธิปไตยนั้น จึงไม่เป็นความจริง

**“จำลอง” ลั่นไม่กลัว ตร.บุกสลาย

พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชนเพื่อประชาธิปไตย เปิดเผยถึงเหตุการณ์เมื่อช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา เวลาประมาณ 04.30 น. ของวันที่ 6 มี.ค. ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ จำนวน 6-7 กองร้อย เข้ามาในพื้นที่การชุมนุมของพันธมิตรฯ ว่า เป็นความพยายามที่จะให้มีการเปิดพื้นผิวจราจร และอาจจะต้องการให้มีการสลายการชุมนุมทั้งหมด แค้ผู้ร่วมชุมนุมก็ไม่ได้ตกใจ เพราะรู้ว่าตำรวจสามารถมาสลายการชุมนุมได้ตั้งแต่วันที่ 25 ม.ค.ที่เป็นวันแรกของการชุมนุม ซึ่งผู้ชุมนุมก็มิได้ต่อต้านแต่อย่างใด โดยหากตำรวจไล่ออกไป ก็ตกลงกันแล้วว่าจะเข้ามาชุมนุมใหม่ เนื่องจากประชาชนไม่มีทางเลือก จึงต้องมาชุมนุมกดดันในพื้นที่นี้ เพราะต้องกดดันให้รัฐบาลออกมาทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดิน ตามที่พันธมิตรฯได้เสนอวิธีแก้ไขปัญหาไป 3 ข้อ

รัฐบาลนี้ไม่สามารถอยู่ได้แล้ว เนื่องจากตลอดการชุมนุม 41 วันที่มีการถ่ายทอดสดผ่านโทรทัศน์ทั้งกลางวันละกลางคืน เปิดโปงว่ารัฐบาลทำผิดพลาดจนทำให้ประเทศไทยสูญเสียดินแดนไปแล้ว แต่หากทำตามที่เราเรียกร้องก็จะสามารถนำดินแดนคืนมาได้ และเป็นการป้องกันการเสียดินแดนในอนาคตได้อีกด้วย ประชาชนจึงต้องมาชุมนุมกดดันเช่นนี้ ทั้งที่ไม่มีใครอยากออกมาลำบาก แต่รัฐบาลไม่สนใจกลับหาวิธีมากลั่นแกล้งประชาชนเป็นระยะๆ เพราะทำให้รัฐบาลตกอยู่ในที่นั่งลำบาก

**ซัดกลั่นแกล้ง พธม.ให้จบมี.ค.

กรณีเมื่อเช้ามืดไม่ได้มีการแจ้งประสานงานมาแต่อย่างใด เมื่อสอบถามไปว่าเตรียมการสลายการชุมนุมหรือ กลับบอกว่าเป็นการซ้อม ทั้งที่ไม่มีความจำเป็น ทำให้ประชาชนเริ่มไม่พอใจกับทางตำรวจ เพราะผู้มาชุมนุมนั้นเสียสละเพื่อชาติ ไม่ได้ต้องการผลประโยชน์ส่วนตัว แต่กลับถูกกลั่นแกล้ง ซึ่งเราก็พยายามขอร้องให้ผู้ชุมนุมไม่แสดงความไม่พอใจหรือการกระทำที่รุนแรงกับเจ้าหน้าที่ อย่างไรก็ตามแม้ว่าเจ้าหน้าที่จะพยายามกดดันกลั่นแกล้งเราอย่างไร เราก็ไม่ถือโอกาสระดมมวลชนออกมา เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องปกติที่รัฐบาลพยายามทำอยู่

**ลือ ตร.เตรียมสลายเช้าวันนี้

รายงานข่าวแจ้งว่า ตลอดช่วงบ่ายที่ผ่านมาบนเวทีปราศรัยมีการระบุถึง กระแสการเตรียมความพร้อมของเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อเข้าสลายผู้ชุมนุมอยู่ตลอดเวลา ขณะที่กลุ่มแนวร่วมพันธมิตรฯได้จับกลุ่มพูดคุยกันระบุว่า ในเช้าตรู่ของวันนี้ ( 7 มี.ค.) จะมีกำลังเจ้าหน้าที่เข้ามาสลายการชุมนุม หรือขอพื้นที่บางส่วนบริเวณถนนพิษณุโลก

โดยพล.ต.จำลอง ได้ขึ้นชี้แจงบนเวทีในกรณีดังกล่าวต่อผู้ชุมนุมว่า ถ้าหากมีการเข้ามาสลายชุมนุมจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือมีการเข้ายึดพื้นที่ถนนพิษณุโลก ขอให้ผู้ชุมุนุมอย่าตื่นตกใจ หรือเกิดอาการหงุดหงิด จะนำไปสู่การกระทบกระทั่งกันได้ โดยได้ขอให้ผู้ชุมนุมเก็บของใช้ส่วนตัวแล้วมารวมกลุ่มกัน หากเจ้าหน้าที่พยายามไล่ขอให้ไปได้ เมื่อไล่เสร็จแล้วให้ทุกคนกลับมาอีกอย่างครั้ง

ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่บริเวณประตู 1 และ 2 หน้าทำเนียบรัฐบาล ได้มีการซ้อมการประกอบกำลัง การใช้หน้ากากและแก๊สน้ำตา เตรียมความพร้อมในการใช้อุปกรณ์ต่างๆอีกด้วย

**รบ.ลดความตึงเครียดผ่านแผนบริหาร

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการเชื่อมั่นประเทศไทย กับนายกฯ อภิสิทธิ์ ถึงกรณีนายโคจิอิโระ มัตซูระ ผู้แทนพิเศษองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก เข้าพบเมื่อวันที่ 1 มี.ค. ที่ผ่านมา และยังยืนยันในจุดยืนที่ขณะนี้น่าจะเห็นร่วมกันว่า จะต้องลดความตึงเครียด และความกดดันที่เกิดขึ้นจากปัญหาการเสนอแผนบริหารจัดการมรดกโลกของพระวิหาร และได้เดินทางกลับไปที่ฝรั่งเศสแล้ว ก็จะนำเอาข้อเสนอจากผู้อำนวยการของยูเนสโก แจ้งให้กับทุกฝ่ายทราบ เพื่อที่จะว่าจะได้มีแผนตรงกันในการที่จะลดปัญหาความตึงเครียด หรือปัญหาที่เกี่ยวข้องกับปราสาทพระวิหาร และพื้นที่รอบๆ ซึ่งที่ผ่านมานี้ทำให้เกิดการปะทะกัน

**มาร์ครับหนังสือปธ.อาเซียนถึงมือแล้ว

นายอภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์กรณีที่นายมาร์ตี นาตาเลกาวา รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ระบุว่ากำลังเตรียมจัดการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (เจบีซี) ว่า ประธานอาเซียนได้ส่งหนังสือมาแล้วขณะนี้อินโดนีเซีย ในฐานะประธานอาเซียนยังต้องการให้ไทย - กัมพูชา พูดคุยในรูปแบบทวิภาคีเกิดขึ้น และพร้อมที่จะสนับสนุนให้เกิดขึ้นแต่ว่าต้องรอท่าทีของฝ่ายกัมพูชาก่อน

เมื่อถามว่า แต่กัมพูชาออกมาระบุว่าจะไม่ประชุมเจบีซีภายในเดือนนี้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนเข้าใจว่าทางประธานอาเซียน ก็คงจะพยายามที่จะพูดคุยกับทางกัมพูชาเพราะว่าเราเสนอชัดเจนไปอยู่แล้วว่าพร้อม

เมื่อถามต่อว่า คิดว่าทางกัมพูชา กำลังเล่นเกมกับฝ่ายไทยหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อย่างที่ตนเรียนว่าทางกัมพูชาเขาต้องการให้ประเด็นปัญหานี้หลุดออกจากกรอบทวิภาคี จะด้วยการหวังผลอะไรก็แล้วแต่ ความจริงแล้วเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะว่าปัญหานี้มีกรอบของการทำงานของ 2 ฝ่าย อย่างชัดเจน ก็น่าจะดำเนินการต่อไปได้

เมื่อถามว่า จะคุยกันภายในเดือนนี้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ทุกคนต้องการจะคุยกันให้เร็วที่สุด ไม่มีใครต้องการให้เรื่องมันทิ้งค้าง อยากจะเห็นกระบวนการที่หันหน้ามาพูดคุยกัน ซึ่งประเทศไทยพร้อม และประเทศอื่นก็ต้องคุยกับทางกัมพูชา

เมื่อถามต่อว่า กรณีที่จะมีการส่งผู้สังเกตการณ์เข้ามาจะมีการส่งมาเมื่อใด นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ยังครับ ตอนนี้กำลังส่งรายละเอียดเข้ามา เราได้แสดงความเห็นด้วยกับหลักการที่ทางประเทศอินโดนีเซียต้องการที่เข้ามาตรงนี้ ขณะเดียวกันก็ต้องระมัดระวังเพราะว่ารูปแบบของการเข้ามาในพื้นที่ไหน อย่างไร มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ดังนั้นจึงอยู่ในขั้นตอนที่จะให้เกิดความชัดเจนในรายละเอียดอีกทีหนึ่ง

**ยันอินโดฯแค่จัดเจบีซีไทยเขมร

นายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงรายงานข่าวจากฝ่ายกัมพูชาว่า ทางอินโดนีเซียจะส่งผู้แทนเข้าร่วมประชุมในการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (เจบีซี) ไทย-กัมพูชา ที่ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งอาจทำให้ขัดแย้งกับท่าทีการเจรจาภายใต้กรอบทวิภาคีของไทย ว่า เท่าที่ได้หารือกับฝ่ายอินโดนีเซียในเบื้องต้น ทราบมาว่า จะเพียงมาช่วยอำนวยความสะดวกในการจัดประชุมดังกล่าวเพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่ายเท่านั้น ไม่ได้เข้ามาไกล่เกลี่ยและร่วมประชุม ส่วนกำหนดวันเริ่มประชุมเจเบีซีนั้นยังต้องรอฝ่ายกัมพูชาซึ่งต้องการให้บันทึกการประชุมเจบีซีทั้ง 3 ฉบับผ่านการประชุมรัฐสภาไทยก่อน ขณะที่ฝ่ายไทยมองว่า สามารถประชุมได้เพราะมีหลายเรื่องที่เดินหน้าได้โดยไม่ต้องรอบันทึกการประชุมในข้างต้นผ่านรัฐสภา

ส่วนกำหนดการเดิมที่ทางการไทยเสนอไว้ที่ 7-8 มี.ค. นั้น นายธานี กล่าวว่า คงต้องขึ้นกับว่าทางรัฐสภาไทยจะผ่านการพิจารณาบันทึกการประชุมเจบีซีทั้ง 3 ฉบับได้เมื่อใด

**น้องชายวีระเผยพี่ชายป่วยปางตาย

นายปรีชา สมความคิด น้องชายนายวีระ สมความคิด กล่าวยืนยันว่าจากการเดินทางเข้าเยี่ยม นายวีระที่เรือนจำประเทศกัมพูชา เมื่อวันศุกร์4ม.ค. ที่ผ่านมา ทำให้ทราบว่า ตัวนายวีระมีอาการป่วยหนักชนิดที่เรียกว่า มีอาการ'ปางตาย' ป่วยหลายโรค เ ป็นไปตามที่ นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส. กทม. พรรคปชป. แถลงไว้ก่อนหน้านี้ทุกประการ แต่ยังไม่เปิดเผยว่า นายวีระพี่ชายได้กล่าวฝากอะไรมาให้ครอบครัวดำเนินการบ้าง โดยยอมรับเพียงว่า ขณะนี้ล่วงเลยเวลาที่จะอุทธรณ์คดีความแล้ว ตอนนี้ต้องมุ่งหน้าเข้าสู่กระบวนการขอพระราชทานอภัยโทษเพียงอย่างเดียว ส่วนรายละเอียดเป็นอย่างไร ขอให้รอนายการุณ ใสงาม อดีตสมาชิกวุฒิสภา จะเป็นผู้แถลงข่าวถึงความชัดเจนอีกครั้ง

**สับบัวแก้วปล่อยข่าวหวังประโยชน์

นายปรีชายังต่อว่า นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการ รมว.ต่างประเทศ ที่ไม่เคยมาสอบถามรายละเอียดกับญาติผู้ต้องโทษชาวไทย ทั้งนายวีระ และ นส.ราตรี พิพัฒนาไพบูลย์ ว่า ต้องการให้ดำเนินการอย่างไรกันแน่ แต่กลับไปแถลงข่าวโดยไม่มีการขออนุญาตก่อน

อย่างไรก็ตาม ขอร้องไปยังนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และรัฐบาล รวมไปถึง สมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โดยอยากให้ทั้ง2ฝ่าย เร่งช่วยเหลือ 2 คนไทยที่เหลือด้วย โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ ควรที่จะใช้อำนาจรัฐให้ความช่วยเหลือคนไทยทั้ง2คนด้วย เพราะญาติของทั้งนายวีระและนส.ราตรี ขณะนี้มีความเป็นห่วงทั้ง2 คนมาก

**คืบหน้าคดีพธม.ปิดล้อมรัฐสภา

วันเดียวกัน พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษก ตร. กล่าวถึง ความคืบหน้าคดีกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ปิดล้อมรัฐสภา โดยเหตุเกิดเมื่อ วันที่ 5 ตุลาคม 2551 ถึงวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ต่อเนื่องกัน สถานที่เกิดเหตุเป็นบริเวณโดยรอบอาคารรัฐสภา แขวงดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพฯ และบริเวณต่อเนื่อง ร่วมกันกระทำความผิดอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116, 215, 216, 309 และ 310

ในคดีดังกล่าว พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ที่ปรึกษา(สส) ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน ได้เรียกผู้ต้องหาทั้ง 21 คนมาพบเพื่อส่งตัวพร้อมสำนวนให้พนักงานอัยการเมื่อวันที่ 10 ก.พ.2554 แต่ผู้ต้องหาขอเลื่อนเป็นวันที่ 10 มี.ค.2554 นี้ ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้น พนักงานสอบสวนคาดว่า ผู้ต้องหาจะมารายงานตัวตามกำหนดครบทั้ง 21 คน.
กำลังโหลดความคิดเห็น