แทบจะกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วสำหรับพรรคประชาธิปัตย์ที่ไม่ยอมลงทุนทางการเมือง แต่มักใช้สำนวนโวหาร ตีฝีปากฉกฉวยโอกาส เก็บเกี่ยวหาประโยชน์ตามหลังคนอื่นเสมอ รวมไปถึงปล่อยข่าวทำลายฝ่ายตรงกันข้ามก็มักมีให้เห็นอยู่บ่อยครั้งตั้งแต่อดีตต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
หากย้อนอดีตก็จะเห็นว่าเคยมีกรณีคนไปตะโกนในโรงหนังเพื่อทำลาย ปรีดี พนมยงค์ ที่เป็นคู่แข่งทางการเมืองในยุคนั้น
ถัดมาก็ใช้คำพูดทำลาย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ว่า “พาคนไปตาย” เมื่อเหตุการณ์เดือนพฤษภาคมปี 35 ทั้งที่หากมีการต่อสู้ของภาคประชาชนอย่างสุดใจขาดดิ้น ยอมเสียสละชีวิต เลือดเนื้อรับรองว่าจนถึงขณะนี้อาจยังอยู่ภายใต้การสืบทอดอำนาจของเผด็จการ” รสช.ก็เป็นได้
ด้วยคำพูดที่ใส่ร้ายโดยที่ไม่ต้องลงทุนอะไรมาก เพียงแค่ “น้ำลาย” ไม่กี่หยดก็ทำให้ พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดตั้งรัฐบาล
มาจนถึงการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเพื่อขับไล่ ทักษิณ ชินวัตร ให้พ้นจากอำนาจ หลังจากทนไม่ไหวกับพฤติกรรม “โคตรโกง” หรือ “โกงทั้งโคตร” พรรคประชาธิปัตย์ ที่นำโดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ออกโรงสนับสนุนเต็มที่ มี ส.ส.มายืนเกาะขอบเวทีกันหน้าสลอน แม้แต่ เลขาธิการพรรค อย่างสุ เทพ เทือกสุบรรณ ก็เคยเห็นดีเห็นงาม หลังจากที่อภิปรายในสภาถล่มมาหลายรอบไม่ได้ผล
แม้กระทั่งกรณีเขตแดนไทย-กัมพูชา อภิสิทธิ์ เคยทั้งอภิปรายในสภาว่าสนับสนุนแนวเส้นแบ่งสันปันน้ำ ไม่ยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนของกัมพูชาเป็นอันขาด หรือใช้สำนวนโวหารโก้เก๋ทำนองว่าคนที่เป็นผู้นำแม้มีคนไม่เห็นด้วยและออกมาชุมนุมเพียงแค่คนเดียวก็ต้องฟัง หรือหากออกมาเป็นจำนวนไม่มากแต่หากไม่ชอบธรรมก็ต้องลาออก ซึ่งก็ได้ผลมี “ภาพพระเอกรูปหล่อติดตัว” ชาวบ้านปรบมือชื่นชมกันดังลั่น
หรือหลังเหตุการณ์วิปโยค 7 ตุลาคม 2551 รัฐบาล “นอมินี” ของทักษิณ คือ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ สั่งปราบปรามประชาชน อภิสิทธิ์ ก็ไม่รอช้าที่จะต้อง “กระโดด” เข้ามา คราวนี้ได้ยื่นเรื่องให้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ปปช.) เข้ามาสอบสวนการใช้อำนาจหน้าที่มิชอบ แต่เมื่อผลสรุปออกมาว่าทั้ง สมชาย และ อดีตรองนายกฯ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ มีความผิด โดยเฉพาะอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ มีความผิดและประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง แต่เมื่อเขาเป็นนายกฯกลับ “ใบ้กิน” ได้แต่มองตาปริบๆ เมื่อคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.)ที่มี สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นประธานมีมติให้กลับเข้ารับราชการคืนความชอบธรรมพร้อมกับนายตำรวจชั่วอีกสอง-สามคนที่ทำร้ายประชาชน
เหตุผลไม่มีอะไรมากไปกว่า พล.ต.อ.พัชรวาท เป็นน้องชายของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม “ขาใหญ่” ในกลุ่ม “บูรพาพยัฆค์” ที่มีขุมกำลังในกองทัพกำลัง “เชิด” ให้ตัวเองได้อยู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปได้เท่านั้น
หากกล่าวถึงคนในพรรคประชาธิปัตย์คนอื่นหลายคนก็มีพฤติกรรมไม่ต่างกันนั่นคือ การ “โยนบาป” ให้คนอื่น อย่างกรณีที่เพิ่งเกิดขึ้นกับ สนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชนเพื่อประชาธิปไตย โดยสมคบกับ “สื่อผลประโยชน์” ทำลายโดยปล่อยข่าวว่า “รับเงิน” ทักษิณ มาล้มล้างรัฐบาลประชาธิปัตย์ มีการอ้างอิงวันเวลาเที่ยวบินในทำนองว่าออกเดินทางจากประเทศไทยไปฮ่องกงพร้อมกับคนสนิทของทักษิณ เมื่อวันที่ 22 มกราคมจากนั้นก็ไปแวะคูเวตแล้วกลับเข้ามาประเทศไทยวันที่ 24 มกราคม แล้วมีการตั้งข้อสังเกตให้เห็นว่าเกิดขึ้นก่อนการชุมนุมใหญ่ของพันธมิตรฯในวันที่ 25 มกราคมเพียงแค่หนึ่งวันเท่านั้น
ซึ่งถ้าเป็นคนอื่นคง “เดี้ยง” ไปกับ “วิชามาร” โบราณ แบบนี้ไปแล้ว แต่สำหรับสนธิ นอกจากมีหลักฐานชี้แจงและนำมาแสดงได้ชัดเจน แถมยังตอบโต้ด่ากราดสั่งสอนไปถึงสื่อ “ห้อยโหน” อย่าง “เครือเนชั่น” จนต้องเงียบกันไปทั้งคู่
กรณีล่าสุดปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ที่พอได้โอกาส ทั้งนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หรือ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง สุเทพ เทือกสุบรรณ ก็มัก “โยนขี้” ให้คนอื่นโดยเฉพาะกับพันธมิตรฯ หาว่าทำให้เกิดการปะทะ รวมทั้งทำให้การช่วยเหลือ วีระ สมความคิด และ ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ เกิดความยุ่งยาก ทั้งที่ในกรณีแรกเป็นเพราะความ “ล้มเหลว” ของบันทึกความเข้าใจไทย-กัมพูชาว่าด้วยการปักปันเขตแดนทางบก ปี 2543(เอ็มโอยู43) ที่กัมพูชาละเมิด และกรณีของสองคนไทยดังกล่าวที่ต้องติดคุกเพราะรัฐบาลไม่ช่วยเหลือ โดยเฉพาะการไป “รับรองเขตแดน”ให้กัมพูชา ไปยอมรับตั้งแต่แรกว่าทั้งสองคน(7 คน) รุกล้ำแดนเขาตั้งแต่ต้น หรือแม้แต่กรณีที่ยูเนสโกยุติการส่งตัวแทนมาตรวจสอบปราสาทพระวิหาร นายกฯก็จะระบุว่าเป็นความสำเร็จ ทั้งที่ภาคประชาชนเคลื่อนไหวคัดค้านทุกรูปแบบ แม้กระทั่งไปยื่นหนังสือประท้วงที่สำนักงานในกรุงเทพฯก็ทำ
รวมไปถึงกรณีปัญหาการรุกล้ำแดนเข้ามาของกัมพูชาก็ล้วนเป็นผลมาจากความ “ไม่เอาไหน”ของรัฐบาล และผู้นำกองทัพบางคนที่มีผลประโยชน์ตามแนวชายแดน โดยเฉพาะแม่ทัพภาคที่ 2 พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร ที่กำลังถูกกล่าวหาอย่างหนักในขณะนี้
สดๆร้อนๆที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กษิต ภิรมย์ ออกมาคุยโม้ว่ารัฐบาลไทยประสบความสำเร็จในเวทีคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ให้ทั้งสองฝ่ายได้เจรจาทวิภาคี และหยุดยิงถาวร ทั้งในรายละเอียด ไทยยังเป็นฝ่ายเสียเปรียบเพราะเป็นการหยุดยิงบนดินแดนไทย เหมือนกับเข้ามายึดแล้วขอแบ่งพื้นที่ของเรานั่นเอง ซึ่งผ่านมาสองปีกว่ารัฐบาลไม่เคยกระตือรือร้น จนภาคประชาชนผู้รักชาติทนไม่ไหวต้องออกมาชุมนุม แต่สุดท้ายก็มีกล่าวหาว่าสร้างความวุ่นวายจนทำให้แก้ปัญหาลำบาก
หรือแม้แต่กรณีการกักตุน-น้ำมันปาล์มแพง ทั้งนายกฯและรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง สุเทพ เทือกสุบรรณ ก็พยายาม โยนให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พรทิวา นาคาศัย รับเคราะห์เพียงคนเดียวทั้งที่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน เพราะ “ห่วย” ด้วยกันทั้งแก๊งค์ แต่เอาตัวรอด มิหนำซ้ำตัวเองยังน่าสงสัยว่าเอื้อ “กลุ่มทุน” มีผลประโยชน์จากการ “นำเข้า” และ “สวมโควตา” นำเข้าเถื่อน ที่หลายฝ่ายกำลังตรวจสอบในขณะนี้
ความเคลื่อนไหวและพฤติกรรมของคนในพรรคประชาธิปัตย์ และรัฐบาลภายใต้การนำของ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ได้ชี้ให้เห็นมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันคนกลุ่มกลุ่มนี้ล้วนถนัดในการใช้สำนวนโวหารในการทำลายฝ่ายตรงข้าม หรือ “เหยียบบ่า” คนอื่นขึ้นไปเสวยสุข !!