00 น่าจะแน่ชัดแล้วว่าสิ่งที่นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กำลังดำเนินการอยู่ในเวลานี้เพียงเพื่อรักษา “เอ็มโอยู 43” เท่านั้น ส่วนเจตนาเรื่องการรักษาอธิปไตยและดินแดนในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร และชายแดนตลอดแนวนั้นเป็นเรื่องรองลงมา เหตุผลก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า “ความดื้อด้าน” ต้องการเอาชนะคะคานฝ่ายตรงข้ามที่เปิดโปง และที่สำคัญต้องการกลบเกลื่อนความผิดพลาดของพรรคประชาธิปัตย์ในอดีตเอาไว้เท่านั้น
00 ขณะเดียวกันยังเป็นการสมรู้ร่วมคิดกับ “กลุ่มอำนาจ” ในลักษณะ “สวมตอ-ต่อยอด” ผลประโยชน์มาจากยุคทักษิณ ซึ่งลักษณะเวลานี้เขาถึงกับยอมเป็น “หุ่นเชิด” เพียงเพื่อตัวเองได้ชื่อว่า “เป็นนายกฯ” ไปวันๆ ซึ่งถือว่าไม่มีประโยชน์อะไรต่อชาติ เพราะนาทีนี้เราได้เห็น “ธาตุแท้” แล้วว่า เขาไม่อาจสร้างความหวังอะไรให้กับชาวบ้านทั่วไปได้เลยแม้แต่น้อย
00 สิ่งที่รัฐบาลของเขากำลังตื่นตัวในเรื่องปัญหาชายแดนที่กัมพูชารุกล้ำเข้ามาในปัจจุบันเป็นเพราะภาคประชาชนได้กดดันอย่างต่อเนื่อง ทั้งในกรณีปัญหา 7 คนไทยถูกเขมร “ลักพาตัว” มาจนถึงกรณี “วัดแก้วศิขาคีรีสวาระ” มาจนถึงการยิงโจมตีข้ามฝั่งมาจากกัมพูชา ล้วนแล้วมีต้นตอมาจากเรื่องการ “ปล่อยปละละเลย” ของทั้งนายทหารระดับสูงบางคนในกองทัพ ที่มีผลประโยชน์ตามแนวชายแดน กับผู้นำรัฐบาลที่ “อ่อนแอ” ไร้อำนาจในการบริหาร จนสร้างความเสียหายจนทุกวันนี้
00 รับรองว่าถ้าไม่มีการชุมนุมของพันธมิตรฯ และกรณี 7 คนไทย คงไม่มีการตื่นตัวของทางการแบบนี้ แต่เมื่อเกิดเหตุขึ้นมา สิ่งที่รัฐบาลและผู้นำกองทัพในยุคนี้ทำก็คือ “เล่นปาหี่” โต้ตอบกับเขมรเพื่อลดแรงกดดันภายในประเทศเท่านั้น และมาแนวเดิมที่ถนัดนั่นคือ “โยนบาป” ให้คนอื่น ว่าต้องการให้เกิดความรุนแรง
00 พิสูจน์กันให้เห็นชัดๆ อีกครั้งก็ได้ว่า เอ็มโอยู 43 ที่ นายกฯอภิสิทธิ์ ยึดเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ นั้นใช้ไม่ได้ผล เพราะฝ่าย ฮุนเซน เขาฉีกทิ้งเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่กัมพูชาต้องการไม่ใช่ทวิภาคี แต่ต้องการดึง “ประเทศที่ 3” หรือ “ยูเอ็น” เข้ามาแทรกแซง ขณะเดียวกันแม้ว่าเวลานี้ มาร์ค และคนในรัฐบาล รวมไปถึง กษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ จะรู้เบื้องหลังดี แต่เมื่อ “ถลำลึก” เข้ามาแล้วก็ต้องดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ เพราะมาถึงขั้นนี้จะยกเลิก เอ็มโอยู เลิก “เจบีซี” และถอนตัวจากมรดกโลกก็กลัวจะเสียหน้า เกรงจะถูกมองว่า “หน่อมแน้ม” ทำตามข้อเรียกร้องพันธมิตรฯ ทั้งที่ผลสัมฤทธิ์ที่เกิดขึ้นประเทศชาติเสียหายจนกู่ไม่กลับแล้ว
00 ไทยกำลังตกเป็นรองทุกด้าน คณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็น กำลังประชุมวันนี้ (14 ก.พ.) ซึ่งแม้ว่าจะเรียกสองฝ่ายคือ ไทย-กัมพูชา เข้าร่วมในฐานะคู่กรณี แต่ก็เป็นการประชุมตามข้อเรียกร้องของกัมพูชา จากนั้นทางยูเนสโก ก็ตั้ง “ตัวแทน” มาตรวจสอบ “ปราสาทพระวิหาร” ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ซึ่งลักษณะที่เข้ามาก็เหมือนกับการมาตรวจสอบความเสียหาย “มรดกโลก” ที่ได้จดทะเบียนเอาไว้แล้ว ว่ามีมากแค่ไหน และถ้าฝ่ายไทยไม่อาจยับยั้งการเข้าไปตรวจสอบได้ ก็ถือว่า “จบเห่” นั่นคือ ไทยได้เสียดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตร รอบปราสาทเรียบร้อยแล้ว ขณะที่มาร์ค ก็ใช้วิธีโต้วาที แถไปเรื่อยเช่นเคย ทุด !!
00 น่าเศร้า น่าเจ็บปวดที่สุดหลังจากได้เห็นภาพคณะ ส.ส.ปชป. นำโดย เจริญ คันธวงศ์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการพิจารณาบันทึกข้อตกลงเจบีซี แม่ทัพภาคที่ 2 พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร รองอธิบดีกรมสนธิสัญญา กระทรวงการต่างประเทศ ยกขบวนขึ้นไปที่วัดแก้วศิขาฯ ไปถ่ายรูป ไปกราบไหว้พระที่นั่น ลักษณะไม่ต่างจากการยอมรับเขตแดนโดยพฤตินัย และนี่แหละ คือสาเหตุที่ไม่อาจรื้อธง รื้อวัด เพราะได้ยอมรับดินแดนโดยสมบูรณ์แล้ว ที่สำคัญเป็นการ “สาดน้ำลาย” โดนหน้าตัวเองเต็มๆ เนื่องจากก่อนหน้านี้ กระทรวงต่างประเทศให้รื้อวัด-รื้อธง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เหตุผลก็อย่างที่เห็นนั่นแหละ !!
00 ขณะเดียวกันยังเป็นการสมรู้ร่วมคิดกับ “กลุ่มอำนาจ” ในลักษณะ “สวมตอ-ต่อยอด” ผลประโยชน์มาจากยุคทักษิณ ซึ่งลักษณะเวลานี้เขาถึงกับยอมเป็น “หุ่นเชิด” เพียงเพื่อตัวเองได้ชื่อว่า “เป็นนายกฯ” ไปวันๆ ซึ่งถือว่าไม่มีประโยชน์อะไรต่อชาติ เพราะนาทีนี้เราได้เห็น “ธาตุแท้” แล้วว่า เขาไม่อาจสร้างความหวังอะไรให้กับชาวบ้านทั่วไปได้เลยแม้แต่น้อย
00 สิ่งที่รัฐบาลของเขากำลังตื่นตัวในเรื่องปัญหาชายแดนที่กัมพูชารุกล้ำเข้ามาในปัจจุบันเป็นเพราะภาคประชาชนได้กดดันอย่างต่อเนื่อง ทั้งในกรณีปัญหา 7 คนไทยถูกเขมร “ลักพาตัว” มาจนถึงกรณี “วัดแก้วศิขาคีรีสวาระ” มาจนถึงการยิงโจมตีข้ามฝั่งมาจากกัมพูชา ล้วนแล้วมีต้นตอมาจากเรื่องการ “ปล่อยปละละเลย” ของทั้งนายทหารระดับสูงบางคนในกองทัพ ที่มีผลประโยชน์ตามแนวชายแดน กับผู้นำรัฐบาลที่ “อ่อนแอ” ไร้อำนาจในการบริหาร จนสร้างความเสียหายจนทุกวันนี้
00 รับรองว่าถ้าไม่มีการชุมนุมของพันธมิตรฯ และกรณี 7 คนไทย คงไม่มีการตื่นตัวของทางการแบบนี้ แต่เมื่อเกิดเหตุขึ้นมา สิ่งที่รัฐบาลและผู้นำกองทัพในยุคนี้ทำก็คือ “เล่นปาหี่” โต้ตอบกับเขมรเพื่อลดแรงกดดันภายในประเทศเท่านั้น และมาแนวเดิมที่ถนัดนั่นคือ “โยนบาป” ให้คนอื่น ว่าต้องการให้เกิดความรุนแรง
00 พิสูจน์กันให้เห็นชัดๆ อีกครั้งก็ได้ว่า เอ็มโอยู 43 ที่ นายกฯอภิสิทธิ์ ยึดเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ นั้นใช้ไม่ได้ผล เพราะฝ่าย ฮุนเซน เขาฉีกทิ้งเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่กัมพูชาต้องการไม่ใช่ทวิภาคี แต่ต้องการดึง “ประเทศที่ 3” หรือ “ยูเอ็น” เข้ามาแทรกแซง ขณะเดียวกันแม้ว่าเวลานี้ มาร์ค และคนในรัฐบาล รวมไปถึง กษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ จะรู้เบื้องหลังดี แต่เมื่อ “ถลำลึก” เข้ามาแล้วก็ต้องดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ เพราะมาถึงขั้นนี้จะยกเลิก เอ็มโอยู เลิก “เจบีซี” และถอนตัวจากมรดกโลกก็กลัวจะเสียหน้า เกรงจะถูกมองว่า “หน่อมแน้ม” ทำตามข้อเรียกร้องพันธมิตรฯ ทั้งที่ผลสัมฤทธิ์ที่เกิดขึ้นประเทศชาติเสียหายจนกู่ไม่กลับแล้ว
00 ไทยกำลังตกเป็นรองทุกด้าน คณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็น กำลังประชุมวันนี้ (14 ก.พ.) ซึ่งแม้ว่าจะเรียกสองฝ่ายคือ ไทย-กัมพูชา เข้าร่วมในฐานะคู่กรณี แต่ก็เป็นการประชุมตามข้อเรียกร้องของกัมพูชา จากนั้นทางยูเนสโก ก็ตั้ง “ตัวแทน” มาตรวจสอบ “ปราสาทพระวิหาร” ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ซึ่งลักษณะที่เข้ามาก็เหมือนกับการมาตรวจสอบความเสียหาย “มรดกโลก” ที่ได้จดทะเบียนเอาไว้แล้ว ว่ามีมากแค่ไหน และถ้าฝ่ายไทยไม่อาจยับยั้งการเข้าไปตรวจสอบได้ ก็ถือว่า “จบเห่” นั่นคือ ไทยได้เสียดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตร รอบปราสาทเรียบร้อยแล้ว ขณะที่มาร์ค ก็ใช้วิธีโต้วาที แถไปเรื่อยเช่นเคย ทุด !!
00 น่าเศร้า น่าเจ็บปวดที่สุดหลังจากได้เห็นภาพคณะ ส.ส.ปชป. นำโดย เจริญ คันธวงศ์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการพิจารณาบันทึกข้อตกลงเจบีซี แม่ทัพภาคที่ 2 พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร รองอธิบดีกรมสนธิสัญญา กระทรวงการต่างประเทศ ยกขบวนขึ้นไปที่วัดแก้วศิขาฯ ไปถ่ายรูป ไปกราบไหว้พระที่นั่น ลักษณะไม่ต่างจากการยอมรับเขตแดนโดยพฤตินัย และนี่แหละ คือสาเหตุที่ไม่อาจรื้อธง รื้อวัด เพราะได้ยอมรับดินแดนโดยสมบูรณ์แล้ว ที่สำคัญเป็นการ “สาดน้ำลาย” โดนหน้าตัวเองเต็มๆ เนื่องจากก่อนหน้านี้ กระทรวงต่างประเทศให้รื้อวัด-รื้อธง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เหตุผลก็อย่างที่เห็นนั่นแหละ !!